“คุณหนู อย่าบอกใครนะครับ นะครับคุณหนู” ลุงอ้ายหันมายกมือไหว้ เราจึงรีบรับไหว้จนเกือบจะไม่ทันเลย
“ครับ”
พูดแค่นั้นตะวันก็ลงจากรถไปเลย เรากับเมฆจึงรีบลงตามไปด้วย แต่ดูเหมือนเมฆนี่จะไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยนะ เพราะสีหน้านี่คือเซ็งมาก
“ตะวัน มันร้อนนะ แล้วก็ไกลนะเนี้ยกว่าจะเดินถึงในโรงเรียนอ่ะ”
“วันนี้ตะวันไม่เข้าเรียน เมฆจะเข้าก็เข้าไปละกัน”
“เอ้า แล้วตะวันจะไปไหนอ่ะ”
“ไปกับพี่ดวงใจ”
“หะ!!! ไปกับพี่ดวงใจ แล้วพี่ดวงใจจะไปไหนครับ”
ตกลง ไม่ได้รู้กันแค่ 2 คนเหรอตะวัน ไหงถึงบอกเมฆด้วยอีกคนแบบนี้ เรางี้ก็มหน้างุดเลย เพราะไม่รู้จะตอบคำถามเมฆยังไงดี
“บอกเมฆมาเดี๋ยวนี้นะพี่ว่าจะไปไหนอ่ะ”
“เมฆ จะโวยวายทำไม”
“ก็อยากรู้มั้ย ตกลงพี่ดวงใจจะไปไหน”
“ไปกับแฟน ส่วนเมฆวันนี้เมฆต้องไปเรียนตามปกติ แล้วไปบอกอาจารย์ด้วยว่า ตะวันกับพี่ดวงใจป่วย”
“อะไรเนี้ย ตะวัน นายพูดอะไร แล้วพี่ดวงใจอ่ะ จะปล่อยไปกับแฟนเหรอ”
“ใครบอก เราจะไปด้วยต่างหาก”
เรารีบหันไปมองตะวันอย่างไม่เชื่อหูตัวเองเลย นี่ตะวันจะไปกับเราเหรอ ปกติเห็นไม่ชอบยุ่งเรื่องใครเลยนะ
“อะไรกันเนี้ย 2 คนเนี้ย ก็ได้ๆ งั้นอย่าลืมไลน์มาบอกเป็นระยะด้วยละ และอย่าลืมว่าต้องกลับมาให้ทันเวลาเลิกเรียนด้วย”
“อืม”
แล้วเมฆก็เดินไปโรงเรียนโดยมีสาวๆค่อยๆมาห้อมล้อมกันเต็มไปหมด ส่วนเรา ก็หันไปมองตะวัน อย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่ว่าน้องชายตัวดีจะห่วงเราจนขอตามไปด้วยแบบนี้
“มองอะไรครับ”
“ก็มองตะวันไง นี่ตะวันห่วงพี่เหรอ”
“ครับ พี่ดวงใจรู้ตัวมั้ยว่าพี่อ่อนต่อโลกมาก และไม่ทันคนเลย มันก็คงเป็นผลมาจากการที่พ่อหวงพี่ และไม่ยอมให้พี่ได้เผชิญความลำบากหรือโชคชะตาที่เลวร้ายเลย ผมเลยห่วงพี่แบบนี้ไง”
“แต่พี่ดูแลตัวเองได้นะ”
“ยังไม่ได้ครับ จนกว่าตะวันจะเจอผู้ชายคนนั้น”
ตะวันเป็นเด็กหัวแข็ง ในเมื่อลงหัวไปแล้วว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจคนใจแข็งคนนี้ได้แน่นอน เราจึงเดินมานั่งที่ป้ายรถเมล์เพื่อรอพี่ไวยมารับ ส่วนตะวันก็ยืนบังแดดยามเช้าที่สาดส่องมาที่เราแทนที่จะนั่ง รู้แหละว่าเมื่อย แต่เราก็รู้ว่าถึงจะบอกให้ตะวันนั่ง ตะวันก็คงไม่นั่งหรอก
“รอพี่นานมั้ยครับดวงใจ”เสียงพี่ไวยดังขึ้นจากอีกทางเราจึงรีบหันไปดู พร้อมกับตะวันก็หันไปดูด้วยเหมือนกัน
“พี่ไวย เอ่อ ไม่นานค่ะ”
“ว่าแต่ เราจะไปกันเลยมั้ย พี่มีที่ที่จะพาดวงใจไปด้วยนะ”
“เอ่ออ พี่ไวยคะ พอดี น้องชายดวงใจขอไปด้วยนะคะ พี่ไวยคงจะไม่ว่าอะไรใช่มั้ยคะ”
เราก็ไม่รู้นะว่าพี่ไวยจะไม่พอใจรึเปล่า แต่ถ้าพี่ไวยไม่ให้ตะวันไปเราก็คงไปไม่ได้ เพราะตะวันตั้งใจไปกับเราจริงๆ และถ้าเราบอกว่าไม่ให้ไปด้วย ตะวันต้องเสียใจมากแน่ๆ
“น้องชายดวงใจงั้นเหรอ”
“ค่ะ”
“ได้ซิ ไปด้วยกันเลย พอดีวันนี้พี่ยืมรถของเพื่อนมานะ”
พี่ไวยชี้ไปทางรถเก๋ง สีดำที่จอดอยู่ข้างทาง โล่งอกค่อยยังชั่วหน่อย เราก็คิดอยู่นะว่าจะไปยังไงหมด
“ไป ตะวัน ไปขึ้นรถกัน”
เราหันไปยิ้มให้ตะวันที่ยืนมองพี่ไวยไม่วางตาเลย ก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะพากันขึ้นรถและออกตัวไปยังที่ที่พี่ไวยบอกว่าอยากพาเราไป
พี่ไวยขับมาที่สวนสนุก ซึ่งเราก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพี่ไวยจะพาเรามาที่นี่ มันสุดยอดไปเลยจริงๆนะ เพราะเราเคยขอให้พ่อพฤกพามาเที่ยวที่นี่ตั้งหลายครั้ง แต่ท่านบอกว่า ที่ไทยแดดมันร้อน ท่านอยากพาเราไปต่างประเทศมากกว่า แล้วท่านก็พาพวกเราไปจริงๆนะ ท่านพาไปดิสนี่แลนด์ที่ญี่ปุ่น ถามว่าดีใจมั้ยเราบอกเลยว่าไม่ เพราะว่าเรากับทุกๆคนจะมีการ์ดคอยประกบกันทุกคนเลย แต่เรากับคุณแม่จะเยอะหน่อย ประกบ 4 ต่อ 1 เลย แล้วเราจะหาความสนุกได้จากตรงไหนล่ะ
“ดวงใจคงไม่ว่าพี่เชยใช่มั้ยที่พี่พาดวงใจมาที่นี่”พี่ไวยพูดไปเขินไป ดูแบบนี้ รอยสักพี่ไวยไม่มีผลต่อความน่ารักเลยนะ ไม่โหดเหมือนหน้าตาเลยซักนิด
“ไม่ว่าค่ะ ดวงใจก็อยากมาเที่ยวสวนสนุกอยู่เหมือนกัน”
“เหรอ ปกติไม่ได้มาเหรอพี่ว่าพ่อแม่ทุกคนก็คงอยากพาลูกมานะ”
“เคยค่ะแต่ไม่ใช่ที่นี่ ดวงใจไปเที่ยวต่างประเทศนะคะ”
“เหรองั้นก็ต้องสวยกว่าที่นี่นะซิ”
“ค่ะสวยมาก แต่บอดดี้การ์ดตามติดจนแทบจะสิงดวงใจเลย ดวงใจเลยไม่สนุก พี่ไวยรู้มั้ยคะว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกเลยที่ดวงใจมาเที่ยวโดยไม่มีบอดี้การ์ด”
“แต่ก็ยังมีน้องชายมาคุม และดูเหมือนน้องชายดวงใจจะไม่ชอบพี่เอามากๆเลยนะดูซิจ้องพี่อย่างกับเกลียดมาแต่ชาติปางก่อน”
พี่ไวยชี้ให้เราดูตะวันที่จ้องมองเรากับพี่ไวยคุยกันแบบว่าไม่กลัวพี่ไวยด่าเลย จ้องอย่างกับเป็นกล้องวีดีโออย่างงั้นแหละ
“พี่ไวย อย่าถือตะวันเลยนะคะ พอดีตะวันเป็นคนพูดไม่เก่งนะคะ สายตาก็กวนๆแบบนี้ แต่จริงๆตะวันเป็นเด็กน่ารักนะคะ”
“เหรอครับ ดวงใจว่าน่ารักพี่ก็ว่าน่ารัก งั้นเราไปซื้อบัตรกันดีกว่า จะได้ไปเล่นเครื่องเล่นกัน”
“ดีค่ะ”
พี่ไวยพาเราไปซื้อบัตร ส่วนตะวัน ไม่ยอมเอาบัตรด้วย ซึ่งเราก็พอรู้อยู่แล้ว เพราะตะวันเป็นคนไม่ชอบความสูง เรียกได้ว่ากลัวมากก็ได้นะ ส่วนเรา พอเห็นว่าตะวันนั่งรอดีแล้ว เราจึงเลือกที่จะไปเล่นรถไฟเหาะเป็นที่แรก
พอลงมาจากรถไฟเหาะ เราก็ขอไปเล่นเครื่องเล่นอื่นต่อ ซึ่งพี่ไวยไม่เคยขัดเราเลยซักนิด แถมยังพาเราไปเล่นด้วย และตลอดการเล่น พี่ไวยก็ได้แค่จับมือเราอย่างเดียว ไม่เคยล่วงเกินเราเลยทั้งๆที่พี่ไวยมีโอกาส จะว่าไป พี่ไวยก็เป็นคนดีคนนึง ไม่เสียแรงที่เราอุตส่าไว้ใจเนอะ
“พี่ว่าดวงใจจะแรงเยอะไปแล้วนะ เล่นได้ไม่หยุดเลย” พี่ไวยเริ่มบ่น สงสัยจะเหนื่อยละมั้งก็เราลากพี่ไวยไปเล่นด้วยทุกเครื่องเล่นเลยนี่
“ทำไมคะ พี่ไวยเหนื่อยเหรอคะ งั้นเราพักกันก่อนก็ได้”
“นี่ไม่ได้ประชดพี่ใช่มั้ย”
“ทำไมพี่ไวยคิดแบบนั้นละคะ ดวงใจพูดจริงๆ ในเมื่อพี่ไวยเหนื่อยเราก็แค่พัก”
“อืม ถ้างั้นพักก็ได้ ดวงใจก็ไปนั่งรอพี่ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพี่ไปซื้อของกินมาให้นะ”
“ได้ค่ะ”
เราพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะเดินไปหาตะวันที่นั่งรออยู่ที่เก็าอี้พักผ่อน แต่พอเราเดินมาสีหน้าตะวันก็เปลี่ยนไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น แหม ที่แท้ก็แอบมองเราตลอดเวลาแต่ทำเป็นเข้มนะตะวัน
“เมื่อกี้ทำอะไรอ่ะตะวัน อย่าบอกนะว่าแอบดูพี่อยู่ตลอดเลย”เราอดที่จะแอบแซวเจ้าน้องชายตัวดีไม่ได้เลย
“ป่าว ตะวันก็แค่มองอะไรไปเรื่อย”
“จริงอ่ะ งั้นใครโกหกก็ขอให้โดนพ่อตีเอามะ”
“เล่นอะไรอ่ะพี่ดวงใจ แล้วนี่ทำไมถึงมานั่งได้ละ ไม่เล่นของเล่นแล้วเหรอ”
ตะวันเปลี่ยนเรื่องทันที สงสัยกลัวจะโดนพ่อพฤกตีจริงๆแน่ๆ ยังไงก็ยังเป็นเจ้าเด็กน้อยซินะ
“ก็พี่คิดถึงตะวันไง เลยมาดูว่าตะวันกินอะไรบ้างรึยัง แต่เท่าที่ดูนี่คงไม่ได้กินอะไรนอกจากน้ำละซินะ เพราะมัวแต่จ้องมองพี่ไม่วางตา”
สีหน้าของตะวันดูเขินหนักมาก คงจะอายแหละที่โดนเราจับได้เลยทำเป็นเข้ม ยกเว้นแค่หน้าที่แดงเท่านั้นที่มันปิดไม่มิด
“ตะวันหิวแล้ว พี่ดวงใจรอตะวันอยู่นี่ละกัน เดี๋ยวตะวันไปซื้อะไรมาให้กิน”
“อะๆ ไม่ต้องเลยตะวัน เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้ ตะวันแหละที่ต้องนั่งรอพี่ที่นี่”
เราไม่รอให้ตะวันตอบ เรารีบแยกตัวออกไปเลือกดูของกินให้ตะวันเลย เพราะเราคิดว่าตะวันคงไม่ยอมให้เราออกไปซื้อของกินเองแน่ๆ แต่ถึงยังไง ในเมื่อได้ออกมาแล้ว เราก็อยากซื้อของกินเองบ้าง และอยากซื้อของให้น้องชายในฐานะพี่สาวด้วยเหมือนกัน อย่างว่าแหละ เราก็อยากดูแลน้อง อยากทำให้น้องรู้สึกว่าเรามีประโยชน์ ไม่ใช่แค่มีฐานะเป็นพี่แต่กลับต้องเป็นภาระให้น้องตลอด ยังไงวันนี้เราก็จะเป็นพี่ที่ดูแลน้องอย่างดีให้ได้เลย
เราจึงรีบเดินมาที่ร้านขายอาหาร ว่าแต่ตะวันชอบกินไส้กรอกชีสซินะ งั้นเราก็ควรจะซื้อไปเยอะๆตะวันจะได้อิ่ม
“แม่ค้าคะ อันนี้ขายยังไงคะ”เราชี้ไปที่ไส้กรอกชีสที่วางอยู่บนเตาย่าง
“อันละ 20 บาทจ้ะ เอากี่อันดีจ้ะ”
“เอา 10 อันคะ”
“ใส่ซอสเลยมั้ยจ้ะ”
“ใส่เลยคะ”
แล้วแม่ค้าก็จัดการเอาไส้กรอกชีสใส่ถาดกระดาษ แล้วส่งให้เรา ก่อนที่เราจะจ่ายเงินและเดินออกมา แต่ยังไม่ทันออกจากร้านเลย ถาดใส่ไส้กรอกของเราก็เทกระจาดระเนระนาด เพราะเราดันไปชนใครก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เราก็กระเด็นล้มไปกองกับพื้นมือถลอกเป็นแผลเลือดไหลเป็นทางเลย เจ็บจังเลย
“อะไรวะเนี้ย ตาบอดรึไงอีเด็กนี่ เดินชนคนอื่นแบบนี้”เสียงกลุ่มชายที่โดนถาดไส้กรอกเราโวยวายเสียงดัง ทำให้แต่ละคนเเถวนั้นต่างพากันหยุดมอง เราอายนะ แต่ก็ต้องรีบขอโทษเขาเพราะเราเองที่เป็นคนผิด เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเองจริงๆ
“ขอโทษคะ พอดีดวงใจรีบไปหน่อย ดวงใจขอโทษนะคะ”
“ว้าวววสวยจริงๆ น้องนี่หน้าตาดีนะ เอาเป็นว่าพี่จะไม่ถือโทษโกรธน้องแล้วกัน”
ผู้ชายคนนั้นค่อยๆเอื้อมมือมาพยุงเราขึ้นจนตัวเราลอยเลย แต่เราไม่ชอบเลย ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเขาดูไม่เป็นได้มาดี เราจึงพยายามที่จะสะบัดมือเขาออก แต่มือเขาจับเราแน่นมาก
“ปล่อยดวงใจนะคะ”
“ปล่อยได้ไง ในเมื่อน้องทำเสื้อพี่เลอะน้องก็ต้องชดใช้ซิ แต่ต้องชดใช้ด้วยร่างกายนะ5555”
“ดวงใจจะจ่ายเป็นเงินให้พี่แล้วกันนะคะ แต่ปล่อยดวงใจก่อน”
“เงินเหรอ พอดีพี่ไม่อยากได้เงิน แต่พี่อยากได้น้องมากกว่า”
เรากลัวจนตัวสั่นเลย เอาไงดี เราควรทำไงดี ถ้าเราร้องให้คนช่วยจะมีใครมาช่วยเรารึเปล่า หรือว่าเราจะถูกคนพวกนี้จับตัวไปจริงๆ
พลัก!!!!!!
ผู้ชายที่จับเราไว้จู่ๆก็กระเด็นไปชนข้าวของร้านค้ากระจายหมดเลย เราจึงหลุดจากพันธนาการที่ชายคนนั้นจับอยู่ และคนที่มาช่วยเราก็คือ ตะวัน สีหน้าตะวันโกรธราวกับอยากจะฆ่าผู้ชายคนนั้นให้ตายคามืออย่างงั้นแหละ
“ตะวัน”เราร้องเรียกตะวันทั้งน้ำตาเลย
“พี่ดวงใจเป็นอะไรรึเปล่า”
ตะวันจับมือเราขึ้นมาดูเราจึงรีบกอดเจ้าน้องชายตัวแสบเอาไว้แน่น เพราะทำอะไรไม่ถูก และถึงแม้ว่าตะวันจะอายุแค่ 12 แต่ส่วนสูงนั้นสูงกว่าเราเยอะ
“พะ...พี่ไม่เป็นไร พี่แค่กลัว”
“ไม่เป็นไร แล้วนี่อะไร เลือดไหลจะหมดตัวแล้วมั้ง”
ตะวันรับเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมาพันมือเราที่ตอนนี้เลือดไหลออกมาไม่ยอม หยุด ว่าแต่มือเราไปโดนอะไรมานะทำไมมันถึงเลือดออกเยอะขนาดนี้ไม่ใช่แค่ถลอกอย่างงั้นเหรอ
“พี่ไม่เป็นไรจริงๆ แต่ตอนนี้พี่ว่าเรารีบหนีกันดีกว่ามันไม่ปลอดภัยนะตะวัน”
“จะหนีได้ไง ในเมื่อพวกมันเป็นคนทำให้พี่ดวงใจเจ็บขนาดนี้ ถ้าพวกมันไม่ได้เลือดบ้างเราก็ไปไม่ได้”
“ตะวัน พี่ไม่เป็นไรจริงๆ นะตะวัน เราไปกันเถอะ”