EP.5 LOVE LIE
“ป้าจันทร์ ป้าจันทร์จ้ะ???” ฉันร้องตะโกนเรียกป้าจันทร์ ญาติเพียงคนเดียวที่ฉันมี
แต่ก็ไร้ซึ่งสัญญาณตอบกลับมา ที่ดินของป้าจันทร์ทุกสิ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิม
ข้าวโพดก็ยังคงอยู่ในกระสอบ ยังไม่ได้เอาไปส่งขายเช่นเคย หลังจากงานศพของยายฉันก็ไม่ได้เจอป้าจันทร์อีกเลย เพราะฉันมัวแต่ยุ่ง ๆ กับเรื่องงานของยาย และค่าใช้จ่ายของงานทั้งหมด ที่ฉันเป็นคนออกเองจากรายได้พิเศษทั้งหมดที่มี โดยไม่เอ่ยปากขอทางครอบครัวป้าจันทร์แกให้ช่วยเหลือเลยแม้แต่บาทเดียว
ถ้าจะบอกว่าฉันโกรธหรือเคืองบ้างมั้ย ก็คงต้องตอบว่าใช่เพราะตั้งแต่ยายจากไป ป้าจันทร์ก็เหมือนออกห่างฉันไปทันที ไม่ต้องพูดถึงเพลิงกับลุงอิน เพราะสองคนนั้นแทบไม่เคยนับฉันเป็นญาติมาตั้งนานแล้ว
“บุกรุกบ้านคนอื่นแบบนี้ไม่ดีนะ” ขณะที่ฉันเดินวนไปรอบ ๆ บ้านปูนชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ของป้าจันทร์ ก็มีเสียงของใครอีกคนเอ่ยทักขึ้น
ทำเอาฉันตกใจถอยชนประตูบ้านเข้าอย่างจัง
ปัง!! แม้จะเจ็บแต่ก็ต้องทำเหมือนไม่เป็นอะไร
“คุณ ...อีกแล้ว?” ฉันหันไปทางเสียงและชะงักไป
“นาย..นายครับ" เสียงคนตะโกนดังมาจากทางหน้าประตูทางเข้าสวน
“นายครับ ให้ผมเริ่มเคลียร์ที่จากตรงไหนก่อนดีครับ?” เสียงของผู้ชายอีกคนเดินพูดกึ่งตะโกนมาทางเรา
ก่อนจะเดินเข้ามาหาเจ้านาย นั่นก็คือ ลูอิสตรงหน้าของฉัน
“ถ้าเรื่องแค่นี้คิดไม่ได้ ก็ไปตายเถอะ” ชายคนนั้นสวนกลับไปด้วยใบหน้านิ่ง ๆ
“เออ ครับ ๆ” ลูกน้องคนนั้นหน้าเสียเล็กน้อย
ก่อนจะวิ่งกลับไป ที่ดินฝั่งไร่ข้าวโพดทันที
เขาหันมาคุยกับฉันต่อ ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งไม่มีรอยยิ้มใด ๆ
“ว่าไง? เธอกำลังบุกรุกที่ดินของฉันอยู่” คนตรงหน้ากอดอกมองฉันอย่างเสียงแข็ง ๆ
“แต่นี่เป็นบ้านของป้าฉันนะ?”ฉันตอบอย่างเริ่มไม่มั่นใจแล้วจริง ๆ
ลูอิสหยิบกระดาษหนึ่งแผ่น กางออกตรงหน้าของฉันจนแผ่นกระดาษนั้นแทบจะชนกับปลายจมูก
“เธอ! อ่านหนังสือออกใช่มั้ย?” เขาถามด้วยสายตาเหยียด ๆ
ฉันไม่ตอบแต่ก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านอย่างละเอียด
ทั้งหมดระบุว่า ที่ดินพื้นนี้ได้ถูกขายให้กับบริษัทอสังหารายใหญ่ที่มา กวาดซื้อที่ดินพวกชาวบ้านไปจนเกือบหมดแล้วในละแวกนี้ และเหลือแค่ที่ของยายเท่านั้นที่พวกเขาไม่ได้มันไป
“บริษัท victory (วิคตอรี่)” ฉันอ่านชื่อนั้นอีกครั้งเพราะเคยเห็นยายบ่น ๆ ถึงอยู่บ้าง
“ตอนนี้ที่ดิน 10 ไร่ ในส่วนนี้เป็นของบริษัทฉันทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่ของป้าหรือยายเธออีกแล้ว”เขาตอบออกมาตามตรง
“ป้าจันทร์ ลุงอินทำแบบนี้ได้ยังไงกัน!” ฉันกำหมัดแน่นอย่างจุกอก จนพูดไม่ออก
ศพยายยังไม่ทันเผาก็ติดต่อจะขายที่ให้พวกหน้านาย
พอโฉนดตกอยู่ในมือได้ไม่ข้ามคืนก็ขายอย่างไม่คิดเสียดายเลย
พวกเขาทำกับยายแบบนี้ ได้ยังไงกัน?
นั่นคือคำถามภายในใจของฉัน
“บริษัทที่คุณทำงานให้ ซื้อที่ดินส่วนนี้ไปเท่าไหร่เหรอคะ?” ฉันถามไปอย่างสงสัย
อีกฝ่ายจุดบุหรี่และ มองฉันผ่านแว่นตากันแดดนั้นนิ่ง ๆ
“50 ล้าน แค่นั้นเอง..” เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะสูบบุหรี่ต่อและพ่นควันใส่หน้ากันแบบไม่มีความเกรงใจฉันเลยแม้สักนิด
“50 ล้าน” ฉันพูดออกมาเบา ๆ แม้ว่าจะแอบตกใจเรื่องจำนวนเงิน แต่ก็ไม่ได้แปลกใจ ที่คนอย่างลุงอินจะรีบขายที่ดินตรงนี้ทันทีทันใด
ฉันตัดสินใจคืนกระดาษแผ่นนั้นให้เขาไป และยอมรับความจริงในเรื่องนี้ว่าที่ดินของยายได้ถูกขายไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ผู้ชายที่ชื่อลูอิส รับกระดาษไป แต่ก็มองฉันแบบหัวจรดปลายเท้า และหยุดตรงที่เท้าของฉันสักพัก
“ขอโทษด้วยที่มาบุกรุก เพราะไม่ทราบมาก่อนจริง ๆ ว่า../ ไม่เป็นไร พวกนั้นคงไม่ได้บอกเธอ” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ เขาก็สวนขึ้นมาก่อน
เสียงรถไถ รถกระบะอีกหลายคันพากันเข้ามาจากทางประตูด้านหน้าที่เปิดออก มีชายฉกรรจ์หลายคนเดินเข้าออกสวน เพื่อยกเอาของใช้ต่าง ๆ ของบ้านป้าจันทร์ออกไปขึ้นรถ เพื่อเอาไปทิ้งและเคลียร์ที่ดินให้โล่งเตียนเพื่อสร้างโรงแรมหรู
ในตอนที่ฉันหันหลังให้กับเขา เพื่อเตรียมจะเดินกลับบ้านตัวเอง ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า.. ฉันควรจะพูดอะไรบางอย่าง
“ที่ดินบ้านของฉัน มันเคยเป็นที่ดินผืนเดียวกับที่บริษัทคุณซื้อเอาไป” ฉันมองไปที่ทางเดินกลับไปยังบ้านของตัวเอง และพูดขึ้น
“ทางเข้า ทางออก มันก็คือทางเดียวกัน” ฉันชี้ไปทางประตูรั้ว และทางเดินที่ฉันเคยใช้ปกติทุกวัน
“ฉัน.." ฉันลำบากใจที่จะเอ่ยขอ เพราะเขาคือคนแปลกหน้า ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และยัง..
“เธอสามารถใช้ทางเดินเข้าออกได้ตามปกติ ไม่ต้องลำบากไปร้องขอคำตัดสินของศาลหรอก” ลูอิสทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นและใช้เท้าเหยียบทับมันไป
“ฉันขี้เกียจให้มันวุ่นวาย” เขาพูดอย่างตัดความรำคาญ
“อื้ม” ฉันตอบไปสั้น ๆ
“คุณอนุญาตแล้วนะคะ” ฉันย้ำอีกครั้ง
ซึ่งชายคนนั้นก็พยักหน้ารับ
พอฉันจะเดินข้ามไปยังเขตของฝั่งตัวเอง
หมับ!! มือของเขาก็คว้าจับฉันเอาไว้ก่อน
ทำเอาฉันรีบชักมือคืนทันทีอย่างตกใจ
“แต่ถ้าให้ฉันแนะนำทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวแบบเธอ...” เขาเดินมาหยุดข้าง ๆ ฉัน และมองตรงไปที่บ้านทรงไทย ที่ป้ายสลักคำว่า จันทร์ผาแบบสวยงามนั้น
“ฉันจะขายที่ดินตาบอดนั้นซะ ในตอนที่ยังสามารถเสนอราคาขายได้" เขาพูดอย่างจ้องมาที่ฉัน นิ่ง ๆ
"และไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเงินที่ชาตินี้ทั้งชาติ เธอก็หามันมาเองไม่ได้” เขาพูดออกมาตรง ๆ ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย เขาค่อย ๆ ถอดแว่นกันแดดออกเพื่อมองมันชัด ๆ อีกครั้ง
มันเป็นการสบสายตากับผู้ชายคนหนึ่งที่นานมากที่สุดตั้งแต่ฉันเกิดมาเลยจริง ๆ
ฉันมองแววตาของเขาราวกับต้องมนต์สะกด แต่ก็พยายามรวบรวมสติไม่ให้คิดไปไกลกว่านั้น
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ” ฉันตอบไปแบบเรียบนิ่งและสู้สายตาคู่นั้นอย่างพยายามไม่หวั่นไหว
“แต่ต่อให้ชาตินี้ฉันไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น ฉันก็มีความสุขที่ได้อยู่บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำดี ๆ หลังนี้ เพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจมากมาย”
"จนเงินมากเท่าไหร่ก็ซื้อมันไม่ได้” ฉันสวนกลับไปทั้งที่เสียงสั่น ๆ
“ขอตัวนะคะ”
Louis part
“เอาไปเขียนนิยายเถอะ ถ้าโลกจะสวยขนาดนั้น” ผมพูดตามหลัง ผู้หญิงหน้าสวยใสแต่ไร้สมองคนนั้น
“นายครับ โทรศัพท์จากคุณท่านครับ” ลูกน้องอีกคนเดินถือโทรศัพท์เดินเข้ามาหายื่นให้ผม
....
“ฮัลโหล ครับพ่อ” ผมรับสายทันที
“เป็นไง เรียบร้อยดีมั้ย?"
“ไอ้พวกนักลงทุนโทรมาเร่งฉันทุกวัน” พ่อบ่นขึ้นด้วยเสียงที่รำคาญ ๆ
“เหลืออีก 10 ไร่สุดท้ายที่เจ้าของไม่ยอมขาย”
“พอดียายเจ้าของที่คนนั้นยกมรดกให้ลูกกับหลานคนละครึ่ง" ผมตอบไปอย่างถอนหายใจ
“เลยมีปัญหานิดหน่อยนะพ่อ” ผมอธิบายไปอย่างละเอียด
“ไงก็ฝากแกจัดการด้วยแล้วกัน” พ่อรู้จักผมดีว่า ผมจริงจังกับการทำงานมากแค่ไหน และรู้ดีว่า ไอ้ที่ตรงนี้เจ้าของเก่าก็ไม่ยอมขายง่าย ๆ เพราะท่านเองก็เคยมาด้วยตัวเองแล้วหลายครั้งหลายครา
“ไม่ต้องเลื่อนวันกำหนดก่อสร้างนะ” ผมพูดใส่โทรศัพท์
“เตรียมหาฤกษ์ตอกเสาเข็ม สร้างโรงแรมหรูที่สุดในภาคเหนือได้เลย” ผมตอบไปด้วยความมั่นใจ
“90 วัน มันก็นานเกินไปแล้ว (สำหรับผู้หญิงซื่อ ๆ แบบเธอ)” ผมมองไปที่บ้านทรงไทยเดิมนั้น ที่ยังคงเปิดไฟอยู่
“อื้ม ถ้าสร้างเสร็จจริง เราก็รับเละเลย ทั้งคาสิโน ทั้งโรงแรม” พ่อพูดต่อในเรื่องทางธุรกิจอย่างหัวเราะชอบอกชอบใจ
“แค่นี้แหละ ฉันไม่กวนเวลาของแกแล้ว” พ่อพูดก่อนสายโทรศัพท์จะตัดไป
ผมหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา ก่อนจะจดบันทึกระยะเวลา 90 วันเอาไว้ รวมถึงเขียนเป้าหมายเอาไว้
“โฉนดที่ดินของเพลงพิณ 10ไร่ 50ล้านบาท!"
ก่อนจะกดปิดโทรศัพท์ และเงยหน้ามองลูกน้องคนเดิม
“ไปสืบประวัติยัยนั่นมาทั้งหมด ฉันต้องการก่อนเที่ยงคืนวันนี้” ผมออกคำสั่งไปเพราะไม่มีเวลามากนักที่จะจัดการยัยซื่อบื้อนั่น
“ครับนาย” ลูกน้องพยักหน้ารับ
“ร้อนฉิบหาย” ผมถอดสูทออก ก่อนจะมองดูความเรียบร้อยไปรอบ ๆ
“พรุ่งนี้เอารถบ้าน มาตั้งที่นี่ด้วยนะ”
“กูขี้เกียจขับไปขับกลับโรงแรมในเมือง” ผมพูดทิ้งท้าย ก่อนจะคว้ากุญแจรถเพื่อขับกลับโรงแรมในตัวเมืองทันที
@ โรงแรม The city of north
ทันทีที่ผมก้าวขากลับมาที่ห้อง ก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งถอดเสื้อผ้ารออยู่บนโซฟาในห้องเรียบร้อยแล้ว
ผมทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตรงหน้าเธอคนนั้น ใบหน้าที่สวยเครื่องหน้าที่โดดเด่น และหุ่นที่เพรียวบาง ขัดกับหน้าอกขนาดใหญ่ที่เป็นทรงกลม ๆ
“ดารา?" ผมทวนถามอีกครั้ง เพราะผมคุ้น ๆ หน้าเธอ แต่ก็ไม่ได้ติดตามพวกวงการบันเทิงอะไรมากนัก
เธอคนนั้นพยักหน้ารับ และมองผมแบบยิ้ม ๆ
“แต่เธอไม่ใช่ดาราคนแรกหรอก ที่เสียพนันจนต้องเอาตัวเข้าแลกแบบนี้” ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อถอดเสื้อเชิ้ตออก และหาที่ระบายหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวัน
ดาราสาวตรงหน้าเหมือนจะเริ่มรู้งาน เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที
ก่อนจะเริ่มชดใช้หนี้การพนันด้วยริมฝีปากของเธอเอง
รวมไปถึง..ช่วงล่างที่ยังฟิตพร้อมใช้งาน
ตับ ตับ ตับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“อื้ออส์ อ่าส์ อื้อออ” เสียงครางดังไปทั่วห้อง อย่างน่ารำคาญ
ตับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ผมกระแทกแรงขึ้นและหนักขึ้น
"ซี้ดอื้อออส์ อ่ะ ๆ ๆ ๆ ” ค๊วบ!! ผมหยิบกางเกงในสีดำสนิทจากโคนขาของเจ้าตัว เอามายัดใส่ปากของยัยดารานั่น พร้อมกับกระแทกแบบหนักหน่วงอย่างไม่สนใจคนตรงหน้า
ตับบบ ตับบบบ
ตับ ๆ ๆ ๆ ๆ !! ตับ!!!!
ในแว๊บหนึ่งของความคิดใบหน้าของผู้หญิงซื่อ ๆ คนนั้นก็เข้ามาในหัวของผมแบบไม่ทันตั้งตัว
“เพลงพิณ--”ผมครางชื่อออกมาพร้อมทั้งหลับตาสนิท
ตับ ตับ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“อื้ออ อื้ออ อี้ดดด"คนตรงหน้ากระตุกไปสองสามครั้ง ก่อนที่ผมจะดึงออกทันทีที่เสร็จกิจกาม รวมถึงทิ้งถุงยางที่เต็มไปด้วยน้ำขาวขุ่นลงถังขยะ เป็นอันที่สาม
ดาราสาวนอนหมดสภาพ ลงกับเตียงที่ยับยู่ยี่ น้ำรักที่เลอะเทอะใบหน้ายังคงทิ้งคราบเอาไว้
ผมจุดบุหรี่สูบอย่างผ่อนคลายเช่นทุก ๆ ครั้ง
“จู่ ๆ ไปนึกถึงยัยซื่อบื้อนั่นเพื่อ?” ผมพ่นควันออกมาก่อนจะส่ายหน้าเพื่อสละใบหน้าของยัยนั่นออกไป
ก๊อก ๆ ๆ
“ประวัติของเด็กสาวคนนั้นที่นายต้องการครับ” ลูกน้องยื่น IPAD pro จอกว้างให้กับผม
“ตรงเวลาดี” ผมเอ่ยชมเมื่อมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
“ฝากเอายาคุมฉุกเฉิน ให้ยัยดารานั่นกินด้วย” ผมพูดไปอย่างรอบคอบ ไม่อยากพลาดกับใครทั้งนั้น
“แล้วนายไม่...” ลูกน้องมองไปที่หญิงสาวที่นอนเปลือยเปล่าบนเตียงอย่างหมดสภาพ
ก่อนที่ลูกน้องจะเมินหน้าหนีทันทีอย่างไม่มองดาราสาวคนนั้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้อายต่อสายตาผู้ชายเลยก็ตาม
ดาราสาวคนนั้นเธอเองก็มองมาทางผมนิ่ง ๆ
“หนี้ที่เหลือ ฉันยกให้แล้วกัน" ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“พอดีฉันมีธุระต้องทำ” ผมหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำสวมใส่ และถือไอแพดย้ายไปนอนอีกห้องที่จองเผื่อเอาไว้..
แน่นอนว่ามีผู้หญิงอีกเป็นร้อยที่อยากจะใช้หนี้ด้วยร่างกายของเธอ แต่ถ้าไม่สวยและเด็ดพอ
ผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่ได้โชคดีแบบนี้ทุกคนหรอกนะ
มาเฟียอย่างผมจะทำอะไรคิดถึงผลประโยชน์ก่อนเสมอ
___________________
...เช้าวันต่อมา..
Pleng Pin part
เสียงดีดพิณ เพลงคีตาล้านนาดังขึ้นในยามเช้าตรู่ ของวันอาทิตย์..
ปกติยายจะนั่งตรงเก้าอี้โยกและร้องขอให้ฉันเล่นพิณอยู่เสมอ และเพลงโปรดที่ท่านชอบ ก็คือเพลงคีตาล้านนา
ในวินาทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นจากพิณ ก็เจอกับผู้ชายคนเดิมที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูไม้สักนั้น
เสียงเพลงพิณบรรเลงไปจนถึงช่วงสุดท้าย และจบลงโดยปราศจากเสียงสะล้อ
“ลูอิส?” ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย
เสียงปรบมือดังขึ้นทันทีที่เพลงจบลง..
“เพราะดีนะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” เขาพูดขณะที่ยืนพิงประตูแอบฟังฉันเล่นดนตรีมาสักพัก
ฉันรีบลุกขึ้นทันที
“คุณมาทำอะไรที่บ้านของฉัน?” ฉันถามไปอย่างไม่ค่อยพอใจหนัก
“ฉันไม่ได้จะมาบุกรุกบ้าน เก่า ๆ ของเธอหรอก” เขาพูดและมองไปรอบ ๆ บ้านของฉัน
“แต่มีเด็ก 6 คน มาร้องขอผ่านประตูที่ดินของฉัน"
“บอกว่าจะมาเรียนฟ้อนรำ บ้านครูเพลงพิณ” เขาพูดก่อนจะขยับตัวหลบ ทำให้ฉันเห็นพวกเด็ก ๆ ที่ยืนตัวเกร็ง ๆ อยู่ใต้ถุนบ้าน
“เด็ก ๆ” ฉันรีบเดินผ่านลูอิสและลงไปหาพวกลูกศิษย์ทันที
"ขอบคุณนะคะ ที่พาเด็ก ๆ มาส่ง” ฉันเอ่ยขอบคุณไปจากใจจริงและก้มหัวให้เขาเล็กน้อย
“ฝั่งโน้นคนงานเยอะ บางคนฉันก็จ้างมารายวันไม่รู้หัวนอนปลายเท้าหรอกนะ"
“ยังไง เธอระวังเด็กของเธอไว้หน่อยแล้วกัน” เขาพูดขึ้นอย่างเตือน ๆ
“ขอบคุณนะ” ฉันตอบไปอย่างมีมารยาท
“ไหน ๆ พี่เขาก็เดินมาส่งเราตั้งไกล"
“ให้เรารำให้เขาดู เป็นการตอบแทนดีมั้ยคะ?” ลูกแก้วเด็กสาวจอมแก่นก็เสนอความคิดออกมาอย่างไร้เดียงสา
“คุณลูอิสเขาคงยุ่งมากนะ ครูว่า..” ฉันหันไปมองทางเขาแบบเกรงใจ
“ฉันไม่เคยปฏิเสธ ถ้าใครจะอยากตอบแทนสิ่งที่ฉันทำให้” เขาตอบสั้น ๆ และหันไปมองทางลูกแก้ว
“หรือว่าเธอไม่สะดวกให้ฉันเข้าไป?” เขาหันมาถามฉันด้วยใบหน้านิ่ง
“ครูเพลงพิณคะ” สายไหมก็สะกิดเรียกฉันที่ทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ สะดวกค่ะ”
“เชิญค่ะ ฉันยินดีอยู่แล้ว”
“ถ้าคุณสนใจจะชมการแสดง นาฏศิลป์ของพวกเด็ก ๆ จริง ๆ” ฉันผายมือเชิญลูอิสเข้าบ้านเป็นครั้งแรก
“ฉันสนใจ..”