EP.3 LOVE LIE
พินัยกรรมของยายถูกเปิดทันที ที่พระสวดศพคืนสุดท้ายเสร็จสิ้นลง
“เอาละ มากันครบแล้วเนาะ” ผู้ใหญ่บ้านได้ถือโอกาสเรียกรวมญาติ และให้เกียรติเป็นคน อ่านจดหมายพินัยกรรมที่ยายเป็นคนเขียนทิ้งเอาไว้ โดยมีแกร่วมเป็นพยาน พร้อมกับกำนันคนเก่าอีกคนที่เป็นพ่อของแกนั่นแหละ
ซึ่งยายเคยเขียนเอาไว้นานมากแล้วจริง ๆ ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก
“อ่านเลยก็ได้จ้ะ พวกฉันมาพร้อมกันหมดแล้วพ่อผู้ใหญ่” ลุงอินเร่งทางผู้ใหญ่บ้าน จนป้าจันทร์เองยังต้องแอบสะกิดเอาไว้ ฉันก็ยังคงรั้งรอฟังอย่างไม่ได้มีปากมีเสียงอะไร เพราะการจากไปของยายมันไม่ง่ายเลยที่จะทำใจได้ในวันสองวันแบบนี้
“เออ ๆ ใจเย็น ๆ ไอ้อินเอ๋ย" ผู้ใหญ่ปรามเอาไว้ก่อน
"แม่ยายเอ็งเขียนพินัยกรรมเอาไว้แค่สองสามบรรทัดเท่านั้นแหละ” ลุงผู้ใหญ่บ้านกางจดหมายออก ต่อหน้าครอบครัวของฉัน
ลุงอินก็นั่งหน้าบึ้ง แต่ก็ทนรอฟัง จนพยานมานั่งกันครบสามคน
“ข้าพเจ้านางช่อเอื้อง ถ้าเกิดข้าพเจ้าได้จากโลกนี้ไปแล้วในวันใดวันหนึ่ง"
“ทรัพย์สมบัติติดตัวของข้าพเจ้าอันมี บ้านทรงไทยไม้สักภายในที่ดิน เครื่องแต่งกายอุปกรณ์เก่าแก่ของทางนาฏศิลป์ รวมไปถึงโฉนดที่ดิน 20 ไร่ อันเป็นที่ดินพื้นใหญ่ที่ส่งต่อมาตั้งแต่ของสามีอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า และบรรพบุรุษของฝั่งสามี ที่ดิน 20 ไร่ เริ่มต้นตั้งแต่ ริมแม่น้ำโขงตัดผ่าน เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างสามประเทศ ข้าพเจ้าขอมอบ ส่วนหน้าของที่ดิน ที่เป็นไร่สวนข้าวโพด 10 ไร่ให้แก่ นางจันทร์ บุตรสาวของข้าพเจ้าให้เป็นผู้ดูแลสืบต่อไป” ผู้ใหญ่หันไปทางป้าจันทร์ ซึ่งแกก็ยกมือไหว้รูปยายและร้องไห้ออกมาแบบพูดไม่ออก
“ส่วนที่ดินอีก10 ไร่ พร้อมกับบ้านทรงไทย และอุปกรณ์ดนตรีไทย และชุดนาฏศิลป์อันล้ำค่าทางจิตใจของข้าพเจ้า”
“ข้าพเจ้าขอยกให้กับ นางสาวเพลงพิณ หลานสาวของข้าพเจ้าทั้งหมด"
“อะไรนะ?” เสียงลุงอินพูดขึ้นเบา
“แล้วผมละ ผมก็หลานยายนะ”เพลิงขึ้นเสียงและโวยวายทันที
“ทำไมผมไม่ได้อะไรเลยวะ” เพลิงหันมาชี้หน้าใส่ฉัน
“แม่เอ็งได้ ก็เหมือนเอ็งได้นั่นแหละ ไอ้เพลิง” ลุงผู้ใหญ่บ้านขึ้นเสียงเล็กน้อย
“ที่ดินไร่สวนข้าวโพด ติดทั้งถนนใหญ่ทั้งท่าเรือ” ลุงผู้ใหญ่อธิบายต่อ
“เป็นทั้งทางเข้าทางออก ไม่ใช่ที่ดินตาบอดอย่างที่เพลงพิณมันได้ไป” พอลุงผู้ใหญ่พูดจบ ลูกพี่ลูกน้องจอมหัวร้อนของฉันถึงยอมหยุดโวยวาย
“ไม่รู้อะไรก็เงียบ ๆ ไว้ เป็นเด็กไม่ต้องยุ่ง” ป้าจันทร์หันไปดุ ๆ ลูกชายตัวเอง
"และที่ดิน ข้าไปแบ่งโฉนดมาให้พวกเอ็งหมดแล้ว มาเซ็นรับ ๆ กันไปตามพินัยกรรมระบุไว้”
"ยายเอ็งจะได้ตายตาหลับสักที” ผู้ใหญ่บ้านยื่นกระดาษให้ฉัน และพูดอย่างภาษาชาวบ้าน ๆ
“เพลงพิณมันก็ดูแลยายมันมาอย่างดี จนวันสุดท้ายที่แม่เอ็งมีลมหายใจ”
"ข้าว่าเอ็งคงไม่คิดว่า พินัยกรรมมันไม่ยุติธรรมหรอกนะ นังจันทร์” ผู้ใหญ่ออกปากพูดขึ้นทำให้ ลุงอินและเพลิงไม่กล้าพูดอะไร
ฉันหลบตาป้าจันทร์ และนั่งสงบนิ่งเพราะรู้สึกว่าทุกคนเริ่มมองฉันเปลี่ยนไปจริง ๆ
“ฉันจะไปอิจฉาอะไรมันละจ้ะ พ่อผู้ใหญ่"
“นังพิณมันก็หลานฉัน เห็นมันมาตั้งแต่เด็ก ๆ” ป้าจันทร์มองฉันทั้งน้ำตา
ฉันก็ทำได้แค่นั่งทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ในตอนนี้
เพราะว่าฉันก็ได้รับส่วนแบ่งมรดก ครึ่งต่อครึ่งกับลูกสาวแท้ ๆ อย่างป้าจันทร์ ฉันยังคิดเลยว่า ยายยกให้ฉันมากเกินไปด้วยซ้ำ
“โถ่เว้ย เสียเวลาเล่นไพ่ฉิบหาย” เพลิงสบถออกมาก่อนจะเดินออกไปทันที อย่างกระฟัดกระเฟียด
“เอ็งก็คุยกับหลานรักเอ็งไปแล้วกัน” ลุงอินเมินใส่ฉัน ก่อนจะคว้าโฉนดในมือของป้าจันทร์และเดินออกไปอีกคน
“ยายจากไปแล้ว เอ็งก็ดูตัวเองดี ๆ นะเพลง” ป้าจันทร์พูดขึ้นหลังจากรับโฉนดที่ดินนั้นไป
“จ้ะป้า” ฉันพยักหน้ารับ
ป้าจันทร์ดูกระอักกระอ่วนเหมือนมีอะไรจะพูดแต่แกก็เก็บเอาไว้ ไม่ได้ปริปากออกมาแต่อย่างไร
ในงานวันเผาศพของยายอันเป็นที่รักยิ่งของฉัน..
“หนูมาส่งยายได้เท่านี้นะคะ” ฉันพูดทั้งน้ำตา ก่อนจะวางดอกไม้จันทน์เป็นคนสุดท้าย
“ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอให้หนูได้ทดแทนบุญคุณของยายอีกนะ” ฉันยกมือไหว้น้ำตาอาบสองแก้ม
ควันไฟที่พ่นออกมาจากเตาเมรุสีดำค่อย ๆ จางเป็นสีเทาและหายวับไปบนท้องฟ้า
ไม่นาน สัปเหร่อก็เอาเถ้ากระดูกของยาย ใส่อัฐิมามอบให้ฉัน
“ยายเอ็งไปดีแล้ว เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาตินังหนูเอ๋ย” ลุงสัปเหร่อพูดให้กำลังใจ
“ขอบคุณนะคะ ลุงที่ช่วยเรื่องงานครั้งสุดท้ายของยาย” ฉันยกมือไหว้แกอย่างเคารพ
ฉันนำอัฐิและรูปของยาย ไปวางไว้ในวัด ข้าง ๆ กับของคุณตาที่จากไปนาน ก่อนที่ฉันจะเกิดซะอีก
“ยายจ๋า” ฉันเผลอร้องไห้คิดถึงท่านอย่างอดไม่ได้
ฉันแนบใบหน้าลงกับรูปอย่างคิดถึงท่านสุดใจ
......
.......
“จริง ๆ เธอไม่ควรร้องไห้นะ”
"เพราะคนตายจะไปอย่างเป็นทุกข์” เสียงของชายแปลกหน้าคนนั้นที่เดินมายืนข้าง ๆ ฉันตอนไหนก็ไม่รู้ได้ วันนี้เขายังคงใส่สูทและสวมแว่นตากันแดดที่มืดสนิท
“คุณ?” ฉันแอบตกใจอยู่ไม่น้อย
แต่เขาได้ยื่นผ้าเช็ดหน้า สีดำสนิทให้กับฉัน
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันส่ายหน้าและเอามือปาดน้ำตาแบบลวก ๆ
แต่ขณะที่เขากำลังจะเดินจากไป ฉันอดไม่ได้ที่ถามไปอย่างสงสัยว่าเขาคือใครกันแน่..
“ขอถามได้มั้ยว่าคุณมาทำอะไรที่งานศพของยายฉัน?” ฉันเอ่ยถามเขาไปตามตรง เพราะแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่นี่ ไม่ใช่คนพื้นที่ ไม่ใช่คนต่างจังหวัดและบ้านนอกเหมือนฉันแน่ ๆ
เจ้าตัวหยุดชะงักและหันกลับมาทางฉันเล็กน้อย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจมางานศพใคร” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“แล้ว คุณมาทำอะไรกัน?”ฉันถามอย่างไม่เข้าใจเพราะงานของยายส่วนใหญ่ก็คือชาวบ้านแถว ๆ นี้ แขกไม่ได้เยอะขนาดที่จะนับจำนวนไม่ได้
“ป้าเธอบอกว่าหลังเสร็จงานเผาศพ จะพาฉันไปดูที่ดินทั้งหมด” เขาตอบก่อนจะขยับแว่นตากันแดดแบรนด์หรู
“ฉันก็เลยมารออยู่แถวนี้” เขาพูดและมองไปรอบ ๆ พลางดูนาฬิกาตัวเองไป
“พาไปดูทำไม?” ฉันถามไปแบบงง ๆ
“หรือว่าคุณอยากจะมาเหมาซื้อพวกผลไม้ในสวน ไปขาย?” ฉันถามไปอย่างคล้องใจ และใบหน้าที่สับสน
แต่อีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วกลับมา
“เธอไม่รู้ หรือแกล้ง..ไม่รู้?” เขาถามด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
“คะ?” ฉันยิ่งงงหนักกว่าเดิม
“ป้าเธอไม่ได้บอกเหรอ ว่าตกลงจะขายที่ 20 ไร่ให้กับฉัน?” ประโยคที่คนตรงหน้าพูดทำเอาฉันหน้าชาไปเลย
“ไม่จริง คุณเอาอะไรมาพูด” ฉันส่ายหน้าแบบ ไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด
“หวังว่าครอบครัวเธอจะไม่ทำให้ฉันเสียเวลาเรื่องงานไปมากกว่านี้นะ” คนตรงหน้า ถอดแว่นตากันแดดด้วยอาการฉุนเฉียว
“วุ่นวายตั้งแต่รุ่นยาย ยัน..” เขาบ่นแบบเบา ๆ และถอนหายใจใส่หน้าฉัน
“ป้าจันทร์ไม่มีทางขายที่ดินของยายให้คนอื่นแน่ ๆ” ฉันมองรูปของยายและพูดออกไป
“เธอมั่นใจมั้ยว่ารู้จักคนในครอบครัวตัวเองดี?"