Ep.2 100+ Million ฿

3459 คำ
Ep.2 100+ Million ฿ “คุณคือใครกัน และมีสิทธิ์อะไรเข้ามาในบ้านฉัน” ฉันถามเขาด้วยเสียงสั่น ๆ และถอยหลังอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “เช็กของมีค่าทั้งหมดแล้วครับนาย ทรัพย์สินในบ้านรวมได้เกือบห้าล้านบาท ไม่รวมตัวบ้าน ไม่รวมที่ดิน และก็รถครับ” ชายชุดดำคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาโค้งให้ผู้ชายคนนี้ ก่อนจะอ่านสมุดโน้ตในมือของตัวเอง “หนี้มันตั้งร้อยกว่าล้าน แค่ทรัพย์สินโง่ ๆ ห้าล้านถึงสิบล้าน มันคงไม่พอกับที่บริษัทของฉันเสียไปหรอก!!!” ผู้ชายตรงหน้าพูดด้วยแววตาเหยียด ๆ และใบหน้าที่นิ่งแข็งราวรูปปั้น “นี่พวกคุณทำอะไรกันอะ ...มีสิทธิ์อะไรเข้ามาที่บ้านฉัน และยัง...” ฉันมองไปรอบ ๆ อย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเดินชนไหล่ของฉันออกไปอย่างไม่คิดจะแนะนำตัว หรือบอกอะไรเลย “เดี๋ยวสิ นี่มันอะไรกันอะ อย่างน้อยคุณควรอธิบายให้ฉันรับรู้ และพ่อฉันไปทำอะไรให้” ฉันหันไปขึ้นเสียงถามคนตรงหน้าอย่างหมดความอดทน เพราะว่าอย่างน้อยเขาควรจะบอกอะไรกับฉันบ้าง เขาหันหน้ามามองฉันอย่างนิ่ง ๆ “ข้อแรกก็คือ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธออีกต่อไป” เขาตอบอย่างปัด ๆ ฉันแต่ได้ยืนมองหน้าของหมอนั่นอย่างช็อก ๆ และไม่เข้าใจ “ข้อสอง พ่อเธอโกงบริษัทของฉัน ยักยอกเงิน เปิดเผยความลับของบริษัท รวม ๆ แล้ว เงินที่เขาต้องจ่ายคืนก็แค่ร้อยล้านกว่าบาทเท่านั้นเอง” เขาตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง “ร้อยล้าน????” ฉันแทบทรุดเมื่อรู้ถึงจำนวนเงินนั่น ฟุบบบ หมอนั่นโยนเอกสารฟ้องร้องและหมายศาลต่าง ๆ ลงกับพื้นอย่างไร้มารยาทที่สุด “สาบาน ว่าเธอไม่รู้เรื่องนี้” เขาเลิกคิ้วถามฉัน ก่อนจะพ่นลมหายใจ ฉันส่ายหน้าและหยิบเอกสารทั้งหมดขึ้นมาอ่านทีละใบ ด้วยจิตใจที่แทบแหลกสลาย “ส่งลูกสาวคนโตเรียนต่างประเทศ ลูกคนเล็กเรียนอินเตอร์ ขับรถโก้หรู บ้านราคายี่สิบล้าน รถ ของใช้ดี ๆ แพง ๆ เงินทั้งหมดก็คือเงินที่พ่อเธอ ตั้งใจโกงฉันมาไง?? ไม่รู้เลยสักนิดเหรอ???” เขาพูดเน้นย้ำและกดเสียงแข็ง แววตานั่นจ้องมาที่ฉันอย่างเกลียดชัง “มันไม่จริง พ่อฉันไม่ได้ทำแบบนั้น” ฉันส่ายหน้าและมองเอกสารเหล่านั้นอย่างไม่มั่นใจ “มันไม่จริงอะ” ฉันพูดกับตัวเองอย่างรับไม่ได้ “ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อถามว่าจริงหรือไม่จริง แต่ฉันมาที่นี่เพื่อทวงหนี้ หนี้ที่สูงถึงหนึ่งร้อยกว่าล้าน ที่พ่อเธอโกงฉันไป” เขาก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ และพูดเน้นย้ำกับฉัน ฉันเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ฉันต้องการมันคืน ทั้งหมด ทุกบาท ทุกสตางค์” เขาเอื้อมมือมาบีบที่ไหล่ของฉันและจ้องตาของฉันจนเป็นฉันเองที่หลบสายตาคู่นั้น “นายครับ เราเจอตัวภรรยากับลูกสาวคนเล็กของไอ้พสุธแล้วครับ” หนึ่งในลูกน้องอีกคนของผู้ชายคนนี้เดินเข้ามาบอกเขาทันที “จับตัวมา ทั้งแม่ทั้งลูกนั่นแหละ” เขาตอบกลับไปนิ่ง ๆ “นายจะทำอะไรพวกเขาอะ ฉันจะแจ้งตำรวจว่านาย...” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค... เพล้งงงง… คนตรงหน้าก็ปัดแจกันของเก่าโบราณที่มีราคาของบ้านฉันลงกับพื้นทันที “หุบปาก ฉันรำคาญ!!” เขาพูดนิ่ง ๆ แค่นั้น แต่ฉันกลับไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรต่ออีกเลย แม้แต่คำเดียว ทำได้แค่ยืนหลบสายตาคู่นั้น หลังจากที่ฉันเข้ามาในบ้านหลังนี้ ฉันก็ไม่สามารถออกไปไหนได้อีกเลย… หน้าบ้านมีบอดี้การ์ดคุ้มกัน ของใช้ในบ้านถูกรื้อกระจัดกระจาย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินมีค่าในบ้าน เราโดนยึดทุกสิ่งทุกอย่าง ไปทั้งหมด… ในชั่วพริบตาเดียว คนที่ฉันเป็นห่วงที่สุดก็คือพ่อ… รองมาก็คือน้าผึ้งกับแพรวดาว ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน... ของมีค่า โฉนดที่ดิน บ้าน หรือไร่ที่ต่างจังหวัด รวมไปถึงทะเบียนรถ กุญแจ และทองคำที่พ่อกับน้าผึ้งใส่เอาไว้ในเซฟ ถูกเอามาเรียงเอาไว้ในห้องรับแขกทั้งหมด รวมถึงฉันที่ถูกคุ้มคุมตัวมานั่งรอในห้องรับแขกบ้านของตัวเองราวกับเป็นนักโทษ “ปล่อยลูกสาวฉันไปเถอะจับฉันคนเดียวได้ไหม??” เสียงของน้าผึ้งที่พูดด้วยความสั่นเครือ และทั้งคู่ก็กำลังถูกคุมตัวมารวมกับฉัน “พริบพราว??” น้าผึ้งแอบตกใจเหมือนเห็นหน้าของฉัน ซึ่งฉันก็รีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาทุกคน ถึงแม้ลูกน้องของผู้ชายคนนั้นจะไม่ได้จับตัว หรือกระชาก แต่การเดินคุมตัวมาแบบนี้ก็สร้างความกลัวให้พวกเราไม่น้อยเลย “พี่พราว” ยัยแพรวดาวเดินเข้ามากอดฉันตัวสั่น ๆ “​น้าโทร. หาหนูไม่ติดเลย ส่งข้อความไปบอกแล้วหนูไม่ได้รับเหรอลูก?” น้าผึ้งถามด้วยใบหน้าที่กังวล “แบตหนูหมดน่ะค่ะ และที่ไม่ได้รับ คงเป็นตอนขับรถมาพอดี” ฉันตอบและกอดตอบยัยแพรวดาวที่ยังตัวสั่น ๆ “แต่ดีแล้ว ยังไงเรื่องนี้เราควรเผชิญมันด้วยกัน” ฉันหันไปพยักหน้าตอบรับกับน้าผึ้งไป “ตามตัวมาได้ครบแล้วครับ นาย” เสียงของผู้ชายที่ยืนด้านหลังตะโกนบอกเจ้านายของเขาที่ยืนกอดอกมองเรามาจากด้านบนบ้าน “คุณบลูไนท์” เสียงของน้าผึ้งเรียกชื่อผู้ชายคนนั้นอย่างสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ คุณบลูไนท์งั้นเหรอ?? ฉันได้แต่ทวนชื่อนั้นภายในใจ ขณะที่เจ้าตัวก้าวลงบันไดทีละขั้นมาด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบ แววตาที่ไร้ความรู้สึกและเย็นชา “เชิญนั่งสิ ทำตัวตามสบายนะคิดซะว่ายังเป็นบ้านของตัวเอง” เขาพูดขึ้นก่อนจะผายมือไปที่โซฟาชุดหรูของบ้านเราใจกลางห้องรับแขก ฉันหันไปมองหน้าน้าผึ้งซึ่งน้าผึ้งเองก็พยักหน้าเบา ๆ ให้ฉันทำตามที่เขาต้องการไป “เธอจะไปเก็บพวกตุ๊กตา หรืออุปกรณ์การเรียนของตัวเองก่อนก็ได้นะ” เขาหันไปพูดกับยัยแพรวดาวที่จับแขนของฉันไม่ปล่อย “งั้นแพรวดาวไปกับพี่พริบพราวก่อนเถอะลูก เดี๋ยวแม่อยู่คุยกับคุณบลูไนท์เอง” น้าผึ้งหันมาพูดด้วยเสียงที่ปกติเพื่อไม่ทำให้แพรวดาวรู้สึกกลัวไปมากกว่านี้ “พราวไปส่งน้องเก็บของก่อนนะ” น้าผึ้งพูดกับฉันเบา ๆ แต่ในจังหวะที่ฉันกำลังจะลุกขึ้น “แต่ผมว่าเธอโตมากพอที่จะรับรู้เรื่องเลว ๆ ของพ่อตัวเองแล้วนะ” บลูไนท์ตวัดสายตามองมาที่ฉันนิ่ง ๆ “ถ้าจะยังจะเอาหนังสือเรียนและของใช้ เธอก็เดินขึ้นไปคนเดียว!!!” บลูไนท์พูดเสียงแข็งกับยัยแพรวดาวที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา ฟุบบบ!! “แต่ถ้าจะไม่เอา ก็นั่งลง” เขาพูดก่อนจะหยิบปึกเอกสารกองโตขึ้นมาวางลงบนโต๊ะแรง ๆ “รีบไปสิลูก” น้าผึ้งรีบบอกกับแพรวดาว ซึ่งน้องเองก็รีบเดินออกไปเช่นกัน “นั่นคืออะไรเหรอคะ?” น้าผึ้งถามคุณบลูไนท์ด้วยใบหน้าที่งง ๆ “เอกสารหลักฐานที่รวบรวมการโกงเงินบริษัทของสามีคุณไงล่ะ” เขาปัดกองกระดาษนั่นส่งมาให้น้าผึ้ง ซึ่งฉันรู้ว่าน้าผึ้งคงอ่านไม่เข้าใจแน่ ๆ ฉันก็รับมันมาตรวจสอบดูเอง เท่าที่ฉันรู้คือพ่อทำงานให้บริษัทนี้มาตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะเกิดด้วยซ้ำ “พ่อเธอเป็นคนฉลาด และเก่งรอบด้าน เป็นคนที่ทางบริษัทไว้ใจ และให้ค่าตอบแทนที่สูงมาก มากจนไม่คิดว่ายังจะกล้าทรยศกัน” บลูไนท์พูดขึ้นพลางกดโทรศัพท์ไปด้วย “ยักยอกเงินบริษัทมาเกือบห้าปี ได้ไปราว ๆ ร้อยกว่าล้าน นี่ไม่นับกับที่เอาความลับของบริษัทเราไปขายให้กับคู่แข่งอีกนะ” เขาเงยหน้าจากโทรศัพท์และมองฉันสลับกับน้าผึ้ง “ไม่จริงอะ สามีของฉันไม่ใช่คนไม่ดี” น้าผึ้งดูเอกสารนั้นทั้งน้ำตาคลอ ฟุบบบบ... มือถือของเขาวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะเปิดคลิปที่พ่อของฉันถูกตำรวจจับกุมตัว พร้อมทั้งเสียงไล่โห่ และปาข้าวของ ปาเศษขยะใส่หน้าอย่างไร้ศักดิ์ศรี “พ่อ…” ฉันแทบช็อกเมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ทำกับพ่อฉันต่ำตมแค่ไหน “นี่คุณสั่งให้ลูกน้องของคุณทำแบบนี้กับพ่อของฉันได้ยังไง มันไม่เกินไปเหรอ??” ฉันถามด้วยเสียงสั่น ๆ ที่เต็มไปด้วยความโกรธ In video clip “ออกไปเลยไอ้ขี้โกง​ ไอ้โกง ไอ้เลว” เสียงพนักงานคนอื่น ๆ ตะโกนดังลั่น ไล่พ่อของฉันออกจากบริษัทโดยมีตำรวจกำลังจับกุม “แกต้องรับผิดชอบเงินที่โกงไปทั้งหมด แกต้องรับผิดชอบ” เสียงคนอื่น ๆ ยังคงฮึกเหิม “ใช่ หน้าด้านมาก ขอให้เจอแต่ความวิบัติฉิบหาย” คนมากมายรวมตัวกันสาปแช่ง “กูก็ว่า บริษัทเราโตขึ้น ๆ แต่เงินเดือนกูกลับเท่าเดิม ที่แท้มีคนสาระเลวแบบมึงเป็นหัวหน้านี่เอง” ทุกคนด่าทอพ่อฉันอย่างเจ็บใจและปาข้าวของใส่อย่างไร้ซึ่งความยำเกรง “หยุด ๆ ให้มันเป็นหน้าที่ตำรวจ!! กลับไปทำงานซะ” เสียงของใครบางคนพูดขึ้น และเดินมาห้ามปรามทุกคนในห้อง “ส่วนเงินเดือนที่หายไปฉันจะจ่ายคืนให้ทุกคน” เสียงนั้นทำให้หลาย ๆ คนยอมสงบลงได้ “ฉันจะทวงหนี้ของบริษัทและของทุกคนให้เองจนครบทุกบาท” เสียงที่คุ้น ๆ นั่นก็คือเสียงของคนตรงหน้าของฉันเอง ฟุบบ ยังไม่ทันที่ฉันจะดูได้จบดี เขาก็กระชากโทรศัพท์คืนไปทันที “ดิฉันกับเด็ก ๆ เราไม่รู้เรื่องนี้เลยจริง ๆ นะคะ คุณบลูไนท์โปรดเห็นใจด้วย” น้าผึ้งพูดและแทบจะยกมือไหว้เขา “พวกลูก ๆ ของคนอื่นก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกัน แต่พวกเขาก็ได้รับผลกระทบ” เขาตอบเสียงแข็ง ก่อนจะกวักมือเรียกให้หนึ่งในลูกน้องเดินเข้ามาหา “ตอนนี้นับรวมสินทรัพทย์ทั้งหมด ทั้งบ้าน รถ ที่ดิน และทองคำที่เก็บเอาไว้ ตีต่ำ ๆ ได้ราว ๆ 25 ล้านบาทครับ” ลูกน้องของเขาเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น “ดี ยึดให้หมด และขายทอดตลาดได้เลย ฉันจะเอาเงินไปคืนพวกพนักงานในบริษัท” เขาพูดก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา เขาหันมามองหน้าฉันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร “ส่วนหนี้อีกร้อยล้านที่เหลือ ถ้าภายในสามวันนี้หามาคืนไม่ได้ พ่อเธอก็แค่แก่ตายในคุก ส่วนเธอกับแม่และน้องก็ต้องรับกรรมชดใช้หนี้ไปจนหมด ทุกบาททุกสตางค์” เขาตอบอย่างหนักแน่น “นั่นมันหนี้ของคนเป็นพ่อ พวกลูกจะไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ” น้าผึ้งพยายามพูดออกมาอย่างทักท้วง ส่วนฉันที่รู้เรื่องกฎหมายดีก็ทำได้แค่ก้มหน้ารับฟังอย่างเจ็บปวด น้าผึ้งเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนฉันกับยัยแพรวดาว ก็นับเป็นผู้สืบสันดานโดยตรง ตามหลักของกฎหมาย เราคงหลีกเลี่ยงเรื่องหนี้น้ันไม่ได้ “ไปศึกษากฎหมายมาก่อน ฉันไม่เสียเวลาพูดกับคนที่... ไม่มีความรู้” นั่นคือคำพูดดูถูกจากเขาคำสุดท้ายที่ฉันทำได้เพียงกำหมัดแน่น “แต่เราไม่สามารถหาเงินขนาดนั้นได้ภายในหนึ่งวันหรือสามวันหรอกนะคุณ” ฉันพูดไปอย่างหมดทางเลือก “นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉัน” เขาตอบแค่นั้น ก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่สนใจใด ๆ เหลือเพียงแค่เหล่าลูกน้องของเขาที่เก็บข้าวของมีค่าในบ้านออกไปจนหมด แพรวดาวเดินลงมาพร้อมกับหนังสือและกระเป๋าของตัวเองด้วยใบหน้าที่เศร้า ๆ ทั้งน้ำตาคลอ “เดี๋ยวผมขอเชิญทุกคนออกจากบ้านหลังนี้ด้วยนะครับ เพราะเราจะทำการล็อกและเตรียมขายทอดตลาดวันพรุ่งนี้” ลูกน้องของเขาพูดกับฉันอย่างสุภาพและทำตามหน้าที่ของตัวเอง “แต่เราไม่มีที่อยู่อื่นแล้วจริง ๆ ขอเราอยู่ที่นี่สักคืนจะได้ไหม?” น้าผึ้งพยายามจะต่อรอง “ไม่ได้ครับ ผมต้องรีบจัดเตรียมบ้านหลังนี้เพื่อขายให้ไวที่สุด” เขาตอบออกมาตามตรง ฉันกับน้าผึ้งทำได้แค่มองหน้ากันอย่างหมดหนทาง ลูกน้องคนนั้นถอนหายใจใส่เราอย่างเหนื่อยที่จะอธิบาย แต่เขาก็พยายามเก็บอาการนั่น และพูดต่อด้วยความสุภาพ “​สามีคุณ มีความผิดหลายคดีด้วยกัน ทั้งฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ และข้อหาอื่น ๆ ที่ทางทนายกำลังเอาผิดและรอขึ้นศาลพิจารณาอยู่” ลูกน้องของผู้ชายคนนั้นเริ่มอธิบายให้เราฟัง ในสิ่งที่เขาไม่อธิบายเรื่องของพ่อ “ท่านสร้างบัญชีตัวเองขึ้นมาแปดธนาคาร และสร้างชื่อพนักงานปลอม เอกสารปลอม เพื่อให้ระบบของบริษัทโอนเงินเข้าบัญชีทั้งแปดนั่นทุกเดือน เดือนละหนึ่งแสนบาท โกงแบบนี้มาเกือบห้าปี” เขาอธิบายและเปิดเอกสารนั้นว่าต่ออย่างละเอียดยิบ ฉันทำได้แค่มองเอกสารนั้นอย่างผิดหวัง และท้อใจ “ไม่มีใครระแคะระคายเรื่องนี้เลย เพราะพ่อของคุณทำงานกับบริษัทมานาน เกือบสามสิบปี และตำแหน่งของท่านเองก็สูงเทียบเท่าผู้บริหารเลยด้วยซ้ำ ท่านประธานใหญ่เองก็เชื่อใจมาตลอด” เขาพูดเชิงตัดพ้อเรื่องที่พ่อของฉันทำ “และการฉ้อโกงในรูปแบบต่าง ๆ ถูกจับได้หลังจากที่คุณบลูไนท์เข้ามารับช่วงต่อ ยอด revenue บริษัทสูงมาก แต่เงินที่โชว์เข้ามากลับไม่ตรง และรายได้พนักงานกลับเท่าเดิม และโบนัสที่ต่ำ จนทำให้เราเสียพนักงานมือดี ๆ หลายคนให้บริษัทคู่แข่งของเราเอง” ลูกน้องคนนั้นพูดต่อพลางเปิดเอกสารประกอบไปด้วย “คุณภูผา” ฉันเรียกชื่อนั้นเบา ๆ ฉันมองไปที่ภาพพ่อกำลังนั่งจับมืออยู่กับคุณภูผา คนที่เราเพิ่งเจอเมื่อวานนี้เอง “ข้อมูลลับของบริษัทรั่วไหลออกไปยังบริษัทคู่แข่ง ที่ทั้งดึงคนงานฝีมือดี ดึงลูกค้ารายใหญ่ ๆ ดึงรายได้ของเราไป ทั้งหมดเกิดขึ้นจากฝีมือของพ่อคุณเอง” เขาพูดอย่างสุภาพ แต่คำพูดนั้นทำเอาฉันกับน้าผึ้งพูดอะไรไม่ออกเลย “พ่อฉัน ทำได้ขนาดนั้นเลยจริงเหรอ?” ฉันพูดอย่างรู้สึกหน้าชา เพราะไม่คิดว่าพ่อของฉันจะมีด้านมืด และมืดมิดได้มากขนาดนี้ “ผมยอมรับในความรู้ความสามารถของคุณพ่อคุณนะ แต่คุณต้องเข้าใจ ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” เขามองไปรอบ ๆ ตัวบ้านที่ใหญ่และหรูหราของฉัน แต่ละคำของพวกเขา เหมือนฉันกับน้าผึ้งโดนตบหน้าไปหลาย ๆ รอบ “ผมรู้ว่าพวกคุณเองก็กำลังจะเผชิญความลำบาก แต่ผมจำเป็นต้องทำตามคำสั่งคุณบลูไนท์จริง ๆ และอีกอย่างก็คือ คนอื่น ๆ ก็ลำบากเพราะการกระทำของพ่อคุณเหมือนกัน” เขาพูดก่อนจะเริ่มเดินทยอยปิดไฟไล่พวกเราออกจากบ้าน ซึ่งฉันเองก็หมดทางเลือกจริง ๆ จึงต้องเก็บของใช้ส่วนตัวที่แทบไม่มีค่าใด ๆ เดินออกมาจากบ้านกันทั้งสามคน... พวกลูกน้องขับรถหรูของพวกเราไปทีละคัน ทีละคัน... โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ยึดโทรศัพท์และกระเป๋าเงินของเรา น้าผึ้งจึงติดต่อขอไปอยู่กับญาติห่าง ๆ ของเธอเพื่อขออาศัยพักคืนนี้ บนรถแท็กซี่ทุกคนต่างเงียบกันมาตลอด จนฉันรู้สึกว่า ในเมื่อตอนนี้พ่อไม่ได้อยู่ช่วยเหลือพวกเราแล้ว ฉันก็ควรจะเป็นหลักให้คนในบ้านให้ได้ ฉันเหลือบไปมองน้าผึ้งที่นั่งน้ำตาซึมมาตลอดทาง เพราะว่า ครอบครัวของเราไม่เคยตกต่ำได้เท่านี้มาก่อนเลยจริง ๆ ไม่แปลกที่ทุกคนจะช็อกและรับไม่ได้กับเรื่องนี้ “คืนนี้มีการบ้านเยอะไหม?” ฉันเริ่มต้นคุยกับยัยแพรวดาวที่นั่งก้มหน้ามาตลอดทาง... “หนูยังไปเรียนต่อได้อีกเหรอคะ?” แพรวดาวพูดด้วยเสียงสั่น ๆ ทั้งน้ำตาคลอ “เรียนได้สิ และก็ต้องเรียนให้ดีด้วย เพราะพ่อจ่ายค่าเทอมเราไปแล้ว เรื่องเรียนของหนูไม่ใช่ปัญหาอะไร แค่ไปเรียนตามปกตินั่นแหละ” ฉันลูบหัวน้องสาวตัวเองอย่างอ่อนโยน และพยายามบอกให้เธอเข้มแข็งทั้งที่แม้แต่ตัวฉันเองยังเสียงสั่นไม่หาย... รถแท็กซี่ขับมาจอดเทียบที่หน้าบ้านทาวน์เฮ้าส์หลังขนาดกลาง ๆ ซึ่งเป็นบ้านญาติห่าง ๆ ของน้าผึ้งในกรุงเทพฯ “เดี๋ยวน้าผึ้งส่งแพรวดาวเข้านอนเลยนะ น้องง่วงแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปเรียนอีก” ฉันเดินไปพูดกับน้าผึ้งและยิ้มเพื่อสร้างกำลังใจให้กันและกัน “แล้วพริบพราวจะไปไหนลูก?” น้าผึ้งถามด้วยความเป็นห่วง “เดี๋ยวพราวจะรีบกลับค่ะ” ฉันตอบไปแค่นั้น ก่อนจะเอื้อมมือปิดประตูรถ หลังจากที่ทั้งน้าผึ้งและแพรวดาวลงไป... “ช่วยขับวนไปสถานีตำรวจทองหล่อค่ะ” ฉันหันไปบอกพี่แท็กซี่ที่กำลังจะกดหยุดมิเตอร์พอดี ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ ฉันมาถึงสถานีตำรวจ ด้วยคำถามมากมายที่อยากจะถามพ่อว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเรา พ่อทำมันจริง ๆ ใช่ไหม พ่อทำแบบนั้นทำไม...ทำไมเราต้องละโมบโลภมากขนาดนั้น​​​... ทำไมกัน แต่เชื่อไหมว่าคำถามนั้นหมดไปทันที ที่ฉันเห็นสภาพของพ่อตัวเองที่มีรอยช้ำเต็มใบหน้าจากการถูกปาข้าวของใส่ เหมือนในคลิปที่หมอนั่นเปิดขึ้นมา พ่อของฉัน มองเล็ดลอดผ่านกรงเหล็กนั่นมาทั้งน้ำตาคลอ “พ่อขอโทษนะลูก...” ท่านพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งจนแทบจะไม่ได้ยินอะไร น้ำตาไหลอาบลงสองแก้ม ฉันอยากจะเดินเข้าไปกอดและปลอบท่านเหลือเกิน แต่ทำได้แค่เกาะขอบกรงขังที่แน่นหนานั่นอย่างแทบใจสลาย “คดีฉ้อโกง ยักยอก และอีกหลาย ๆ คดีรวมกัน อย่างต่ำก็คงสิบปีถึงจะได้ออก แต่ถ้าอย่างมากก็ยี่สิบ สามสิบปี” ตำรวจผู้คุมเห็นว่าฉันมองเข้าไปในห้องขัง ท่านก็เลยเลือกที่จะอธิบาย ก่อนจะเดินออกไปเพื่อทิ้งให้เราสองพ่อลูกได้คุยกัน ฉันเอื้อมมือสอดเข้าไปในกรงเล็กแคบ ๆ เพื่อจับกับมือหนา ๆ ของพ่อ ทั้งน้ำตา “หนูจะทำทุกอย่างให้พ่อออกมาให้ได้... หนูจะไม่ทิ้งพ่ออยู่ในนั้นแน่ ๆ” ฉันเอ่ยคำมั่นสัญญาออกไปอย่างจริงจัง พ่อของฉันทำได้แค่ส่ายหน้าทั้งน้ำตา... แววตาของพ่อดูหมดแล้วซึ่งแสงเแห่งความหวังใด ๆ “หนูก็จะหาเงินมาใช้แทนหนี้นั้น ไม่ว่ามันจะกี่สิบ กี่ร้อยล้าน หนูก็จะหามาให้ได้...” ฉันพูดกับพ่อด้วยเสียงที่สั่นเครือ เพราะสงสารท่านสุดหัวใจ "ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม..." ฉันพูดทั้งน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง... และนั่น... คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างฉัน... กับเขา... ...ผู้ชายที่ใจร้าย และเย็นชาคนนั้น... คุณบลูไนท์...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม