ศาลากลางบึงบัวขณะนี้ สตรีต่างวัยสามคนนั่งสนทนากันอยู่แลดูสนิทสนมรักใคร่ บ่าวรับใช้ล้อมรอบรอรับใช้ไม่ไห้บกพร่อง
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าปักผ้าจนมือชาไปหมดแล้ว ขอพักก่อนได้รึไม่” คนหนูสามที่นั่งฝึกปักผ้าอยู่ข้างมารดาโอดครวญขึ้นเพราะอยากร่วมพูดคุยเรื่องการเดินทางให้ถนัด
“ตามใจเจ้าเถอะ วันนี้แม่คงเข้มงวดกับเจ้ามากเกินไป เจ้าพักก่อน” เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหญิงจึงวางอุปกรณ์ปักผ้าลงทันที
“พี่หญิงใหญ่เจ้าคะ! ข้าอยากไปด้วย ข้าพยายามขอท่านแม่มาหลายครั้งแล้ว ท่านแม่ก็ไม่ยอมให้ข้าไป ข้าอยากออกนอกเมืองบ้าง ท่านพาข้าไปด้วยได้หรือไม่” คุณหนูสามออดอ้อนเสียงหวานให้พี่สาวของนางใจอ่อน
“น้องสามการเดินทางไกลไม่สะดวกสบายอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ นอกจากนี้ระหว่างทางอาจพบกับสิ่งไม่คาดฝัน เจ้ารออยู่ทางนี้ ไว้กลับมาข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง หรือเมื่อโตขึ้นข้าจะพาเจ้าไปด้วย ดีหรือไม่”
ถึงจะเอ็นดูเพียงใดก็ต้องปฏิเสธ เพราะในยุคสมัยนี้อยู่ในจวนปลอดภัยที่สุดแล้ว
“ก็ได้เจ้าค่ะ..แต่ท่านสัญญากับข้านะ ว่ากลับมาจะเล่าเรื่องสนุกๆให้ข้าฟังโดยละเอียด” นางนั่งทำหน้างอเมื่อไม่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วย แต่กระนั้นก็ยังยื่นข้อตกลงที่เป็นไปได้
“ตกลง ข้าให้สัญญา จะนำเรื่องสนุกมาเล่าให้เจ้าฟังแน่” นางเอื้อมมือไปลูบผมน้องสาวอย่างเอ็นดู
หลังจากพูดคุยกันได้พักใหญ่ ฮูหยินใหญ่รู้สึกเพลียจึงกลับไปนอนกลางวัน เหลือเพียงเฟิงอวี้หยวนนั่งคุยกับน้องสาวไปเรื่อยๆ อีกทั้งยังแนะนำลายปักใหม่ๆที่นึกออก คุณหนูสามชอบมาก เพราะลายเหล่านั้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน แต่พวกมันงดงามแปลกตามาก
เสียงพูดคุยหยอกเย้าดังออกมาเป็นระยะ บ่าวไพร่ต่างรู้สึกแปลกใจและปลื้มปลิ่มที่เห็นความสัมพันธ์ของพี่น้องไปในทิศทางที่ดี ปกติคุณหนูใหญ่ค่อนข้างเก็บตัวอยู่บนเรือน ไม่ค่อยสุงสิงกับคุณหนูสามเท่าใด แต่ยามนี้นางเอาใจใส่น้องสาวมากขึ้น
“ยามเซินแล้วกลับขึ้นเรือนกันเถอะ” เมื่อเห็นว่าใกล้ตะวันลับแล้ว นางจึงชวนเฟิงอวี้หรงขึ้นเรือน
“เจ้าค่ะพี่หญิงใหญ่ อยู่กับท่านสนุกมากเลย พรุ่งนี้ข้าไปหาท่านที่เรือนได้หรือไม่” นางอยากคุยเช่นนี้กับเจี่ยเจียของนางมานานแล้ว แต่พี่สาวของนางก็เอาแต่ฝึกฝนศาสตร์ทั้งสี่และเก็บตัวอยู่บนเรือน ท่านแม่บอกว่าเจี่ยเจียมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถมาเล่นเป็นเพื่อนนางได้ เด็กน้อยจึงได้แต่แอบเหงา
เพื่อนๆที่สำนักศึกษาเล่าเรื่องพี่สาวให้นางฟังหลายอย่าง นางอิจฉาพวกเขามานาน พี่หญิงใหญ่ไม่ว่างและพี่หญิงรองไม่ชอบสุงสิงกับนางเช่นกัน พวกนางทั้งคู่ก็แทบไม่สนทนากัน ตอนนี้พี่สาวนางคงเรียนเสร็จแล้ว คงมีเวลาได้เล่นกับนางซักที นางมองไปยังพี่สาวอย่างมีความหวัง
“ย่อมได้อยู่แล้ว เจ้าอยากมาหาข้าเมื่อไหร่ก็มา น้องสาวตัวน้อยของข้า” หญิงสาวเอ่ยพลางจับแก้มยุ้ยๆนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว เรียกเสียงหัวเราะชอบใจจากสาวน้อยได้ทันที
“คุณหนูใหญ่ขอรับ นายท่านให้มาเชิญคุณหนูใหญ่ไปที่ห้องตำราขอรับ” พ่อบ้านให้คนมาแจ้งแก่นางว่าท่านพ่อเรียกพบ คงเป็นเรื่องการเดินทาง นางจึงไปพบเขาที่ห้องตำรา บิดานางมักจะขลุกตัวอยู่ที่นั่นหากไม่ไปทำงานที่กรม
“คารวะท่านพ่อ ท่านเรียกพบข้า มีอันใดหรือเจ้าคะ”
“อีกสามวันเจ้าต้องออกเดินทาง พ่อให้พี่ใหญ่ของเจ้าคอยดูแลความเรียบร้อยและความปลอดภัยให้เจ้า” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกล่าวต่ออีกประโยค
“เพียงแต่ข้าอยากกำชับว่า เป้าหมายของฮองเฮาในครั้งนี้เจ้าก็รู้ดี สิ่งที่เจ้าหวังมันเป็นไปไม่ได้ เจ้าหยุดความคิดไม่สมควรเถอะ ผู้ที่เจ้าต้องแต่งให้คือองค์ชายรองเพียงเท่านั้น ใช้โอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นเถอะ”
บิดานางแร็พมารวดเดียวเสร็จไม่เปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธเลย โธ่!ท่านพ่อ.. ใครจะไปสนใจพระเอกไร้หัวใจผู้นั้นกัน อีกอย่างคนที่นางหมายตาไว้คือองค์ชายรองผู้เป็นดั่งโบตั๋นขาวผู้นั้นต่างหากเล่า!
“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกทราบแล้ว ลูกรับปากว่าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวัง ไม่ทำให้ตระกูลเดือดร้อนเจ้าค่ะ” ครั้งนี้จะไม่เหมือนในนิยายแน่ นางสาบานได้!
เมื่อได้ยินการตกปากรับคำอันหนักแน่นจากบุตรตรี เขาก็แทบกราบขอบคุณพระโพธิสัตว์ ที่ดลใจให้นางคิดได้ เขาเคยพูดคุยเรื่องนี้มาหลายครั้ง แต่นางก็ต่อด้านด้วยความเงียบ เขาก็กลุ้มใจอยู่เงียบๆ ด้วยไม่อยากให้ใครรู้ว่าบุตรสาวมีใจให้ศรัตรู!
“จริงรึ เจ้ารับปากพ่อแล้วนะ” มหาเสนาบดีแทบจะแคะขี้หูเพื่อฟังใหม่อีกครั้ง
“เจ้าค่ะ ลูกรับปาก” นางยืนยันอย่างแน่วแน่อีกครั้ง ไม่มีหลบสายตาให้เห็นว่านางพูดจริง
“ดี! ดีมาก ฮ่า ฮ่า! วันนี้ข้ามีความสุขนัก ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปพักผ่อนเถอะ พักผ่อนให้ดี การเดินทางลำบากมากอาจล้มป่วยได้ ต้องให้ร่างกายแข็งแรงไว้จึงจะดี”
“เจ้าค่ะ ลูกขอตัว” หญิงสาวคำนับลาบิดาก่อนเดินจากมา
ถึงนางจะรู้ว่าบิดารัก แต่เขาก็คงไม่ตามใจนางจนตระกูลต้องเดือดร้อนแน่ ในนิยายนั้น คงเป็นเพราะองค์ชายรองสิ้น ตระกูลเลยจำต้องหาตัวแทนมาเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิด หวังเพียงทายาทจากตระกูลเฟิงที่เกิดจากเชื้อพระวงศ์เท่านั้น
หากแต่ผู้คนไม่อาจคาดเดาได้ จวิ้นอ๋องผู้นั้นเขาไม่เป็นดั่งหยาง หมิงหลงฮ่องเต้รัชกาลนี้ ตระกูลเฟิงจึงโดนจวิ้นอ๋องตลบหลังจนสิ้นตระกูล นางรู้จักบิดาของตนดี บิดานางถูกสั่งสอนมาให้ปกป้องตระกูล อำนาจที่มีในวันนี้ คือผลผลิตของคนรุ่นก่อน เขาจึงมีหน้าที่สานต่อให้ดี
********
วันรุ่งขึ้น คุณหนูเหลียวมาพบนางก่อนการเดินทาง แม้ไม่คุ้นเคยกันมากแต่ก็ต้องรับรองให้ดีไม่ให้มีสิ่งใดผิดแปลกไป
“หยวนเอ๋อร์ เจ้านี่ช่างวาสนาดีจริงๆ ไปครั้งนี้ตำแหน่งชายาเอกของเจ้าต้องมั่นคงขึ้นแน่ๆ ถ้ามีสิ่งใดให้ช่วยเหลือ เจ้าบอกข้า ข้ายินดีจะจัดการให้เจ้าเอง” นางจีบปากพูดคำที่ได้ผลเสมอมา ยามต้องการประจบสหายสูงศักดิ์ผู้นี้
แม้คำกล่าวชื่นชมหลายๆประโยคจะเกินจริงไปบ้าง แต่นางก็ต้องแสร้งแสดงว่านางชมชอบที่ถูกยกยอ ตำแหน่งนั้นหากไม่เป็นนาง ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ล้วนไม่มีใครมีคุณสมบัติแล้ว และไม่ว่าองค์ชายรองจะปรารถนาในตัวนางหรือไม่ ยังไงเขาก็ต้องแต่งนางเป็นชายาเอก นางมองออกว่า คุณหนูเหลียวผู้นี้ปรารถนาตำแหน่งชายาขององค์ชายหยางเหวินหลงเช่นกัน
ในนิยายคุณหนูเหลียวผู้นี้ลงแรงไปมาก แต่ท้ายที่สุดนางก็ไม่ได้สิ่งใดกลับมา หลังสิ้นองค์ชายรองตระกูลของนางผันตัวไปเข้ากับฝ่ายกุ้ยเฟย แต่ก็ไปไม่ถึงฝัน โดนกำจัดไม่ต่างกัน
“ขอบใจเจ้ามาก ไม่มีสิ่งใดรบกวนเจ้าหรอก เรื่องทุกอย่างท่านพ่อข้าจัดการไว้หมดแล้ว เจ้าก็มีหน้าที่ต้องทำ อย่ามาลำบากเพราะข้าเลย”
เฟิงอวี้หยวนยิ้มแย้มจับตาดูท่าทางของคุณหนูเหลียนชัดๆ สตรีผู้นี้จิตใจเต็มไปด้วยความริษยา
คุณหนูเหลียว ไม่ชอบใจที่คุณหนูสกุลใหญ่อย่างเฟิงอวี้หยวนนั้นช่างเพียบพร้อมไปทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดทำให้นางลำบากใจ ทุกคนพร้อมจะจัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้นางเสมอ ไม่เคยต้องผจญกับการแก่งแย่งชิงดีของพี่น้องในตระกูล ไม่เคยต้องพลาดในสิ่งที่หวังและถึงแม้อย่างนั้น นางก็รู้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่คุณหนูใหญ่ผู้นี้ยังไม่เคยสมหวัง
นางจะทำให้การพลาดหวังในครั้งนี้ทุกข์ทรมานมากขึ้น ความทุกข์ใด จะเท่าทุกข์ใจเพราะพลาดจากสิ่งที่รัก และเมื่อคนสองคนที่ไม่ได้รักกันต้องแต่งงานกัน เมื่อนั้นนางจะเป็นเพื่อนผู้อยู่เคียงข้าง แม้บนเตียงของสามีเจ้าเอง เหลียวชิงเหลียนคิดอย่างหมายมาด
“หยวนเอ๋อร์ เจ้าจะเกรงใจข้าทำไมให้มากความ เจ้าก็รู้สิ่งใดที่เจ้าต้องการ ข้าย่อมพร้อมทำให้เจ้าอยู่แล้ว อย่าเกรงใจข้า ไว้วันเดินทางข้าไปนั่งรถม้ากับเจ้าด้วย ดีหรือไม่”
“อย่าลำบากเจ้าเลย ข้าขี้เซา ชอบหลับตลอดทาง เจ้าจะเบื่อเปล่าๆ เจ้าตามสบายเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้สาวใช้ดูแลก็พอ”
นางปฏิเสธคุณหนูเหลียวอีกเป็นครั้งที่สอง ตอนนี้นางอยากให้คุณหนูเหลียวผู้นี้กลับได้แล้ว นางเอาเวลาไปสอนน้องสาวปักผ้ายังจะดีเสียกว่า
คุณหนูเหลียวผู้นี้คิดหวังให้นางช่วยผลักดันตนให้ได้รับตำแหน่งหนึ่งในชายาขององค์ชายรอง ถึงแม้จะไม่ได้ตำแหน่งนางหงส์ แต่ตระกูลเหลียวที่คอยสนับสนุนตระกูลเฟิงมาตลอด ควรได้ครอบครองตำแหน่งเฟย หนึ่งในชายาขององค์รัชทายาท นั่นคือสิ่งที่ตระกูลเหลียวคาดหวัง
“อย่างนั้นหรือ ไม่เป็นไรข้าตามใจเจ้า การเดินทางยาวนาน พวกเราต้องได้พบกันบ่อยๆแน่ แล้วพี่ใหญ่เหยาไม่อยู่จวนหรือ” เมื่อถูกปฏิเสธเป็นครั้งที่สอง ชิงเหลียนก็ยิ้มฝืนเสไปคุยเรื่องอื่น นางแกล้งถามหาพี่ชายของอีกฝ่าย
“พี่ใหญ่ไปตรวจความเรียบร้อยที่กรม ใกล้จะเดินทางแล้ว คงมีหลายสิ่งต้องจัดการ”
“นั่นนะสินะ ข้านี่ก็เลอะเลือนจริงๆ ถ้าอย่างนั้น...ข้ากลับก่อนนะ”เมื่อไม่มีเรื่องใดสนทนาต่อ นางก็ขอตัวกลับในที่สุด
คุณหนูเหลียวผู้นี้แสร้งมาตีสนิทนาง และทำให้นางคิดว่าเหลียวชิงเหลียนผู้นี้ ต้องการเกี่ยวดองกับคุณชายใหญ่ เพื่อปกปิดเจตนาที่แท้จริงของตน แต่คุณหนูเหลียวไม่เคยส่งสายตาให้พี่ใหญ่และมักจะมาตอนที่พี่ใหญ่ไม่อยู่ ผิดกับเวลาเข้าวัง นางจะไปด้วยทุกครั้งที่มีโอกาส นางแสดงให้จางฮองเฮาเห็นว่าตระกูลเหลียวไว้ใจได้และมีประโยชน์
*************
วันออกเดินทาง หญิงสาวถูกปลุกให้ลุกเตรียมตัวตั้งแต่ยามเถาะ เพื่อออกไปร่วมขบวนให้ทันก่อนยามเฉิน ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว
ถึงแม้จะเป็นเวลาเช้านัก แต่ชาวเมืองก็มาออกันเต็มถนน เพื่อรอส่งขบวนเสด็จจวิ้นอ๋องและองค์ชายรอง นางนั่งรถม้าคันใหญ่เพียงคนเดียว ส่วนคุณชายใหญ่ขี่ม้าขนาบข้างอยู่ไม่ไกล
ปีนี้เขาอายุยี่สิบปี รูปร่างสูงเพรียว ท่าทางองอาจ หน้าตานุ่มนวล นับได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง แล้วยังเป็นขุนนางขั้นสามตั้งแต่อายุยังน้อย นับว่ามีอนาคตไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านมหาเสนาบดี ตำแหน่งผู้สืบทอดจะไปหล่นที่หัวใครได้อีก
คุณหนูน้อยใหญ่ที่มารอต้อนรับ ต่างส่งสายตาทอดไมตรีให้คุณชายใหญ่กันถ้วนหน้า แต่เพียงขบวนขององค์ชายรองมาถึง ต่างก็หน้าแดงใจสั่นกันทั้งนั้น ไม่ได้เกินจริง
แม้คุณชายใหญ่สกุลเฟิงและจวิ้นอ๋องจะรูปงาม แต่ก็คงไม่เท่าองค์ชายรองหยางเหวินหลงผู้นี้ ชายหนุ่มสูงเพรียว รูปงามดุจพานอัน ผิวขาวผุดผ่อง ริมฝีปากแดง แก้มชมพู ใบหน้างดงาม วันนี้เขาอยู่ในชุดสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีเขียว ปักลายพยัคฆ์ ไม่มีส่วนไหนไม่ดี แก้มป่องอมชมพูนั้น ชวนให้หญิงสาวทั้งหลายดุจมีวิญญาณมัมหมีมาสิงร่าง สายตาเอ็นดูล่มหลง แต่ละคนแทบจะจินตนาการว่าอยากอุ้มองค์ชายไปป้อนนมแล้วตบตูดนอน หากแต่ใบหน้าดุดันนั้นก็ดับฝันจินตนาการทั้งหลายลง
เมื่อขบวนองค์ชายรองมาถึง เหล่าขุนนางพร้อมคุณหนูทั้งสองสกุลก็เข้าไปทำความเคารพ
“คาราวะองค์ชายรองพะยะค่ะ/เพคะ”
“พวกท่านลุกขึ้นเถอะ ”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ/เพคะ” แม้ขุนนางทั้งหลายจะมากอายุ แต่ก็ให้ความเคารพองค์ชายอย่างจริงใจ
เมื่อได้พินิจดูว่าที่คู่หมายของตนในระยะใกล้แบบนี้ ก็เห็นว่านางยังคงงดงามเหมือนเดิม แต่ให้ความรู้สึกต่างจากเดิมเล็กน้อย ปกตินางจะแต่งกายหรูหรา ทั้งตัวเต็มไปด้วยเครื่องประดับล้ำค่า
แต่ครานี้นางแต่งกายเรียบง่าย สวมเพียงอาภรณ์สีชมพูอ่อนคลุมด้วยเสื้อคลุมสีขาว มีเครื่องประดับน้อยชิ้นบนศีรษะ แม้เรียบง่ายแต่ทำให้ดูงดงามอ่อนโยนมากขึ้น
“การเดินทางครั้งนี้ คงต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว หากมีเรื่องใดสิ่งใดเร่งด่วนให้รีบบอกกล่าวข้าได้ เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว เริ่มออกเดินทางกันเถอะ”เหล่าขุนนางทั้งหลายรับคำสั่งเสร็จ ก็กลับไปขึ้นรถม้าของตนเพื่อเตรียมออกเดินทาง เหล่าคุณหนูที่ต้องออกเดินทางไปกับขบวนก็แยกย้ายไปขึ้นรถม้าของตนบ้าง
เฟิงอวี้หยวนหันไปมองขบวนของจวิ้นอ๋องที่อยู่ด้านหลัง พวกเขาก็พร้อมออกเดินทางแล้วเช่นกัน นางมองไม่เห็นจวิ้นอ๋องหยางหย่งหมิงเลย จึงหันกลับมาขึ้นรถม้าโดยไม่รู้ว่ามีสายตาหนึ่งมองอยู่อย่างไม่พอใจ