บทที่ 12 แผนการจัดการภัยแล้ง

1651 คำ
ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นก็ได้แต่ทอดถอนพระทัย ถึงแม้ว่าจะมีบึงเผิงหยวนก็จริง แต่น้ำในบึงเผิงหยวนก็คงจะไม่เพียงพอให้ผู้คนได้ใช้กันทั้งแคว้นหรอก อีกทั้งบึงเผิงหยวนนั้นอยู่ไกลมาก ไม่น่าจะลำเลียงน้ำจำนวนมากมายมหาศาลนั้นมาได้ดังที่เจ้ากรมโยธาบอก “พวกท่านมีผู้ใดสามารถเสนอแนวทางในการแก้ไขอย่างอื่นได้บ้างหรือไม่ หากว่าสามารถแก้ปัญหาได้ล่ะก็ ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมาเสียงดัง พระองค์ทรงคาดหวังว่าหากมีรางวัลมาจูงใจ เหล่าขุนนางพวกนี้อาจจะพยายามเค้นความคิดที่มีอยู่หาหนทางแก้ปัญหาออกมาได้ เหล่าขุนนางมองหน้ากันไปมา บางคนถึงกับหันไปปรึกษากับขุนนางที่อยู่ข้าง ๆ กัน ถกถึงประเด็นของปัญหาภัยแล้งครั้งนี้ บ้างนึกย้อนไปถึงสมัยก่อนที่แคว้นเคยประสบปัญหา แต่ว่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยหนักถึงเพียงนี้เลยสักครา มีครั้งนี้แหละที่หนักหนาสาหัสเกินจะแก้ไขจริง ๆ อยู่ ๆ ก็มีขุนนางขั้นสี่ผู้หนึ่งเสนอความคิดเห็นออกมา “กระหม่อมเห็นควรให้ฝ่าบาททำพิธีบวงสรวงต่อเทวดาฟ้าดิน เผื่อว่าสวรรค์จะเมตตาประทานฝนลงมาให้พวกเราพ่ะย่ะค่ะ” ข้อเสนอนี้ทำเอาเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ถึงกับก้มหน้าส่ายศีรษะให้อย่างเหนื่อยหน่าย เป็นเพราะว่าวิธีเช่นนี้ไม่มีผู้ใดใช้กันมานานแล้ว ต่อให้จะบวงสรวงต่อเทวดาฟ้าดิน หากว่ายังไม่แก้กันที่ต้นเหตุ ก็ใช่ว่าจะจัดการกับปัญหานี้ในระยะยาวได้ “ใต้เท้าอู๋ ข้อเสนอของท่านนั้นหาใช่ทางออกที่ดีไม่ หากว่าให้ฝ่าบาทไปจัดพิธีบวงสรวงขอฝนแล้วฝนไม่ตกลงมา จะไม่เท่ากับทำให้ราษฎรคิดว่าฝ่าบาทไม่ใช่โอรสของสวรรค์ ไม่มีบุญญาธิการพอหรอกหรือ ทำเช่นนี้มีแต่จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี” เจ้ากรมพิธีการกล่าวคัดค้านขึ้นมาเป็นคนแรก เมื่อมีผู้กล่าวคัดค้านแล้ว ขุนนางทั้งหลายในท้องพระโรงต่างก็ออกความเห็นคัดค้านใต้เท้าอู๋ผู้นี้เช่นกัน แต่เมื่อหันมาถามกันอีกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ก็ยังไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้อยู่ดี ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงเหน็ดเหนื่อยกับการประชุมในวันนี้แล้ว ถึงแม้ว่าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข แต่ทว่ายามนี้ยังหาทางออกไม่ได้จริง ๆ ฮ่องเต้จึงได้ตัดสินพระทัยยุติการประชุมว่าราชการเช้าแต่เพียงเท่านี้ก่อน “เอาละพวกท่านอย่าได้ถกเถียงกัน ณ ที่นี้เลย อย่างน้อยก็ยังพอมีผลผลิตที่อยู่ในคลังที่สามารถเอามาเลี้ยงผู้คนให้อยู่รอดไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวของปีหน้าได้ เอาเป็นว่าเราจะให้ทุกท่านได้นำปัญหานี้กลับไปขบคิด และปรึกษากันในภายหลัง เมื่อมีผู้ใดสามารถคิดหาหนทางแก้ปัญหาได้ ก็สามารถมาเข้ารายงานเราได้ทุกเมื่อ” ฮ่องเต้หยางหมิงอี้ตรัส จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเสด็จออกจากท้องพระโรงไป “น้อมส่งฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางกล่าวขึ้นพร้อมกัน เมื่อฮ่องเต้หยางหมิงอี้ออกจากท้องพระโรงไปแล้ว เหล่าขุนนางต่างทยอยออกมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกันเลย เรื่องภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วทุกสารทิศทิศนี้ไม่ได้เป็นเรื่องหนักใจแค่เฉพาะฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว แต่ทว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง ทุกคนในแคว้นต่างก็รู้กันทั้งนั้น แม้กระทั่งไทเฮาที่อยู่ในวังหลังก็รับรู้เรื่องทุกข์ยากของราษฎรในเรื่องนี้ด้วย พระนางรู้ว่าฮ่องเต้ทรงกังวลพระทัยมาก ก็เป็นห่วงไม่น้อย เมื่อองค์หญิงจิ่นซีมาร่ำเรียนที่ตำหนักอวิ๋นผิง พระนางก็มีบ่นเรื่องนี้ให้หลานสาวฟังบ้าง “ภัยแล้งปีนี้เห็นจะเป็นปัญหาใหญ่ หากว่าบิดาของเจ้าไม่สามารถหาหนทางแก้ไขได้ ปีหน้าเมืองหลวงคงต้องขาดแคลนผลผลิต ราษฎรจะทุกข์ยากอย่างทั่วหน้าเป็นแน่” ไทเฮาตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เป็นกังวล จากนั้นจึงทอดถอนพระทัยออกมา องค์หญิงจิ่นซีได้ฟังแล้วก็ไม่กล่าวตอบอะไร เพียงแต่เก็บรายละเอียดที่ไทเฮาเล่าให้ฟังเอาไว้ เพื่อที่จะไปขบคิดต่อที่ตำหนักของตนเอง ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างฮ่องเต้กับองค์หญิงจิ่นซีจะห่างเหิน แต่ทว่าความกตัญญูในใจขององค์หญิงนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง บิดาอย่างไรก็คือบิดา เพราะฉะนั้นยามที่เห็นบิดากลัดกลุ้มเป็นกังวล นางก็จะหาทางช่วยอย่างเต็มที่ เมื่อกลับมาถึงตำหนักท้ายวัง องค์หญิงจิ่นซีก็เริ่มค้นหาแผนที่ยุทธศาสตร์ของแคว้นออกมาดู พร้อมทั้งขนหนังสือที่เกี่ยวกับกลยุทธ์การจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ออกมาอ่านเช่นกัน นางใช้เวลากว่าครึ่งวัน และอีกครึ่งคืนในการขบคิดเรียบเรียงหาทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งนี้ และสุดท้ายก็พบทางออก “แม่น้ำฉางโจวทอดผ่านมาตั้งแต่ภาคเหนือบนสุดของแคว้นที่เมืองอู่เหลียน จากนั้นก็ผ่านเมืองที่ทำเกษตรกรรมหลักของแคว้นอีกสองเมือง แล้วจึงมาถึงยังเมืองหลวง ก่อนจะไหลผ่านเมืองต่าง ๆ ลงใต้ออกทะเลไป จุดที่อยู่เหนือสุดของเขตเมืองหลวงเช่นนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะสร้างเขื่อนกั้นน้ำไว้” องค์หญิงจิ่นซีคิดได้ดังนั้นจึงลงมือวาดแผนที่ลงบนกระดาษ พร้อมทำเครื่องหมายในบริเวณที่ควรจะทำเขื่อนเอาไว้ให้เห็นได้ชัด “พื้นที่ว่างทางฝั่งตะวันออกห่างจากกำแพงเมืองออกไปไม่ไกล เป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์” นางเอ่ยกับตัวเองแล้วทำเครื่องหมายชี้จุดตรงนั้นลงบนกระดาษเพื่อที่จะเสนอให้เปลี่ยนแปลงพื้นที่ส่วนนี้ให้เป็นอ่างเก็บน้ำไว้สำรองใช้ยามฉุกเฉิน “พื้นที่ตรงนี้ใหญ่พอสมควร หากว่าเกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ขึ้นมาจริง ๆ แล้วเมืองหลวงขาดแคลนน้ำ น้ำที่เก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำนี้ยังคงสามารถเอามาใช้ให้ชาวเมืองอยู่รอดได้ อย่างนี้ก็น่าจะพอบรรเทาปัญหาได้” เมื่อขบคิดแก้ปัญหาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว องค์หญิงจิ่นซีก็มองกระดาษที่อยู่ในมืออีกครั้ง ก่อนจะม้วนมัน แล้วใช้เชือกผูกเอาไว้เป็นอย่างดี เวลาผ่านไปล่วงเข้ายามโฉ่ว องค์หญิงจิ่นซีก็ยังนอนไม่หลับ อาจจะเป็นเพราะว่าเลยเวลานอนมาแล้ว จึงไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ง่าย ๆ สิ่งที่นางทำเป็นประจำเวลานอนไม่หลับก็คือการเดินหมากคนเดียว ในเมื่อคืนนี้นอนไม่หลับแล้ว ดังนั้นนางจึงจะเดินหมากเล่น ๆ สักตาเพื่อฆ่าเวลาให้ง่วง แต่ยิ่งเล่นนางก็ยิ่งไม่ง่วง เพราะยังไม่มีผลแพ้ชนะในหมากตานี้ จนในที่สุดเฉิงเซียวนางกำนัลคนสนิทเห็นว่าดึกมากแล้วและเป็นห่วงสุขภาพของนาง จึงได้มาบอกให้องค์หญิงจิ่นซีเข้านอน “องค์หญิงเพคะ นี่ปลายยามโฉ่วแล้ว เข้าบรรทมเถอะเพคะ โปรดรักษาพระวรกายด้วย” เสียงของเฉิงเซียวดังมาจากหน้าประตูเมื่อเห็นเสียงเทียนในห้องบรรทมขององค์หญิงส่งแสงออกมา บ่งบอกว่าเจ้าของห้องยังไม่ได้เข้านอน “เฉิงเซียวหรือ เข้ามาสิ” องค์หญิงจิ่นซีกล่าว นางรู้อยู่แล้วคนที่มาจะต้องเป็นเฉิงเซียว เพราะว่าทุกครั้งที่นอนดึกนางกำนัลผู้นี้ก็จะมาเตือนเสมอ “มีเรื่องอันใดกลัดกลุ้มหรือมีสิ่งใดรบกวนจิตใจหรือเพคะ พระองค์ถึงได้บรรทมดึกเช่นนี้” เฉิงเซียวกล่าวพลางมองสำรวจรอบห้องไปด้วย จมูกก็ทำฟุดฟิดเพื่อดมว่ามีกลิ่นอะไรผิดปกติที่ทำให้องค์หญิงนอนไม่หลับหรือไม่ องค์หญิงจิ่นซีเห็นท่าทางของนางกำนัลคนสนิทแล้วก็อดที่จะขบขันไม่ได้ ถึงกับเผลอหัวเราะออกมา “เจ้าทำอะไร ไม่มีอันใดรบกวนข้าหรอก ข้าเพียงแต่เดินหมากติดพันอยู่ก็เท่านั้นเอง” “เช่นนั้นก็แล้วไปเพคะ หม่อมฉันคิดว่าจะมีอะไรมารบกวนให้องค์หญิงบรรทมไม่หลับเสียอีก ถ้าอย่างนั้นเดินหมากตานี้จบแล้วก็รีบบรรทมนะเพคะ” เฉิงเซียวกล่าวออกมาอย่างโล่งใจ เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับองค์หญิงใหญ่ของนาง “อืม เจ้าก็ไปนอนได้แล้ว ไม่ต้องรอข้าล่ะ” องค์หญิงจิ่นซีตอบกลับมา โดยสายตายังอยู่ที่กระดานหมากไม่ละไปไหน “เพคะ” จากนั้นเฉิงเซียวก็ปิดประตูห้องขององค์หญิงอย่างแผ่วเบาแล้วกลับไปนอนที่ห้องนอนของตนเองซึ่งอยู่ไม่ไกล ทุกครั้งที่องค์หญิงจิ่นซีนอนดึก เฉิงเซียวก็จะมาสอดส่องดูแล นางดูแลองค์หญิงตามที่ได้รับมอบหมายจากไทเฮาเป็นอย่างดี ช่วงแรกองค์หญิงจิ่นซีเองก็ยังไม่ชิน เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยได้รับการปรนนิบัติอย่างดีเช่นนี้มาก่อน แต่พอเวลาผ่านไปหลายวันเข้าจึงเริ่มชิน และสนิทกับเฉิงเซียวมากขึ้น จนในที่สุดองค์หญิงก็รู้สึกเหมือนว่าการมีเฉิงเซียวนั้นเหมือนมีพี่สาวมาดูแลอย่างไรอย่างนั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม