บทที่ 1 สัญญาณร้ายหรือดี

1418 คำ
ย่างเข้ายามเว่ยของวันหนึ่งในรัชศกเทียนเจี้ยที่สิบสอง เมืองหลวงแคว้นเยียนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝนหนาทึบราวกับว่าพายุจะเข้า เสียงฝนฟ้าคะนองดังกึกก้องไปทั่วผืนแผ่นดิน เมฆฝนพวกนี้เคลื่อนตัวมาอย่างกะทันหัน ทำให้ชาวเมืองต่างพากันเก็บข้าวของหลบฝนกันวุ่นวาย พวกร้านค้าที่ตั้งอยู่ที่ถนนฟางเป่ยต่างก็รีบปิดประตูลง เพราะมีลมพัดกระโชกแรงพัดเอาเสื้อผ้าที่แขวนห้อยไว้หน้าร้านปลิวสะบัด บางตัวถึงกับหลุดออกจากราวแขวนไปกองอยู่ที่พื้นก็มี “ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอันใดขึ้น เหตุใดฝนฟ้าถึงได้พิโรธถึงเพียงนี้” เจ้าของร้านผ้าเอ่ยกับเด็กเฝ้าร้านที่เพิ่งจ้างมาได้ไม่กี่วันด้วยความแปลกใจ เด็กเฝ้าร้านได้ยินเถ้าแก่เอ่ยก็ตอบกลับ พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างรีบเก็บของเข้าร้านไปด้วย “ข้าคิดว่าคงไม่มีเรื่องร้ายอันใดหรอกขอรับเถ้าแก่ นี่ก็เข้าฤดูคิมหันต์แล้ว ย่อมมีพายุเป็นธรรมดา อย่าคิดมากเลยขอรับ” “อ้อ…จริงของเจ้า ข้าก็ลืมนึกไปเลยว่านี่เข้าฤดูคิมหันต์แล้ว เช่นนั้นรีบเก็บของกันเถอะ ประเดี๋ยวฝนจะสาดเข้ามาในร้านเสียก่อน” เถ้าแก่เอ่ยจบก็รีบออกมาช่วยเด็กเฝ้าร้านเก็บของด้วยเพราะกลัวว่าจะไม่ทันการ เมื่อทุกอย่างกลับเข้าไปอยู่ในร้านแล้ว พวกเขาก็รีบดึงประตูปิดทันที อีกด้านหนึ่งทางวังหลวง ณ ตำหนักเยี่ยนฟางในห้องพระบรรทมชั้นใน ฮองเฮาที่กำลังเจ็บท้องคลอดอยู่นั้น เวลานี้ใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อ เสียงหอบหายใจถี่ พร้อมหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงนั้น บ่งบอกว่าพระนางกำลังทรงทรมานเป็นอย่างยิ่ง “ฮองเฮาทรงอดทนอีกนิดนะเพคะ ประเดี๋ยวหมอหลวงก็คงจะมาถึงแล้ว” เสี่ยวหลัวนางกำนัลคนสนิทกล่าว ต่อให้จะเป็นการกล่าวเพื่อให้กำลังใจ แต่ทว่าสีหน้าของนางก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะนางกำนัลอีกคนหนึ่งไปตามหมอหลวงนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มาสักที เช่นนั้นแล้วเหล่านางกำนัลที่ตำหนักเยี่ยนฟางต่างก็ร้อนใจมาก ฮ่องเต้เองก็ทรงร้อนพระทัยเช่นกัน พระองค์เดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าตำหนัก จนสุดท้ายทนไม่ไหวต้องเร่งทหารให้ไปดูว่าหมอหลวงออกมาหรือยัง “พวกเจ้าสองคนไปดูหมอหลวงที หากจำเป็นต้องแบกก็แบกมาเลย ให้มาให้เร็วที่สุด” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แต่แลดูเป็นกังวลไม่น้อย “พ่ะย่ะค่ะ” ทหารองครักษ์สองนายได้รับพระบัญชาแล้วก็รีบวิ่งออกไปทันที “ฝ่าบาทอย่าทรงร้อนพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” หวงกงกงเอ่ยขึ้นมาอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ เขากลัวว่าหากฮ่องเต้ทรงเป็นกังวลมากเกินไป จะกระทบพระวรกายอันล้ำค่าของพระองค์ ฮ่องเต้หันมากล่าวกับหวงกงกงด้วยพระสุรเสียงที่จริงจัง “เจ้าจะไม่ให้เราร้อนใจได้อย่างไร เวลานี้ฮองเฮากำลังจะคลอดคือบุตรคนแรกของเรานะ อย่าว่าแต่เราเลย ต่อให้เป็นผู้อื่นก็ต้องร้อนใจไม่แพ้กัน” ทหารองครักษ์สองคนวิ่งออกไปได้ยังไม่ทันถึงไหนก็กลับมาพร้อมกับหมอหลวง ซึ่งทั้งสองวิ่งมาอย่างเร่งรีบ อีกทั้งยังมีศิษย์จากสำนักหมอหลวงอีกผู้หนึ่งมาช่วยด้วยเหมือนกัน พวกเขามาพร้อมเครื่องมือครบครัน เตรียมพร้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมมาช้า” เมื่อฮ่องเต้เห็นว่าหมอหลวงมาถึงแล้วก็โล่งพระทัย “อย่าได้มาเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย รีบเข้าไปเถอะ” เมื่อได้รับคำสั่ง หมอหลวงก็ไม่รอช้ารีบเข้าห้องคลอดทันที แม้ว่าอากาศภายนอกยามนี้มีฝนตั้งเค้า แต่ทว่าคนที่อยู่ด้านในล้วนแต่เหงื่อผุดขึ้นซึมเต็มใบหน้า สีหน้าของทุกคนมีแต่ความกังวล เนื่องจากทำคลอดกันมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่เด็กก็ยังไม่ยอมออกมาเสียที ฮ่องเต้ที่รออยู่ด้านนอกก็ยิ่งร้อนพระทัยเข้าไปใหญ่ “ฮองเฮาได้โปรดพยายามอีกหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ รับรองว่าคราวนี้ต้องสำเร็จเป็นแน่” หมอหลวงที่อยู่หลังม่านกล่าวกับฮองเฮาที่ยามนี้พยายามใช้แรงเบ่งคลอดบุตรมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ต่อให้นางจะเบ่งมาแล้วเป็นร้อยครั้งก็ตาม แต่ถึงอย่างไรต้องเบ่งต่อไปอีกจนกว่าทารกน้อยจะออกมา ฮองเฮาพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะรวบรวมแรงกายแรงใจทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อให้บุตรที่อยู่ในครรภ์ได้ออกมาดูโลกภายนอก ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ต่างก็เอาใจช่วย และหากเป็นไปได้ นางกำนัลกลุ่มนี้ก็คงจะเบ่งคลอดแทนแล้ว ไม่นานประตูตำหนักเยี่ยนฟางก็เปิดออก พร้อมศิษย์สำนักหมอหลวงผู้หนึ่งโผล่หน้าออกมารายงานความคืบหน้าต่อฮ่องเต้ที่ยืนรออยู่หน้าตำหนัก “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาทรงมีภาวะคลอดยาก อาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” “คลอดยากอย่างนั้นหรือ แล้วจะเป็นอะไรมากหรือไม่” เสียงสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งดังมาจากเบื้องหลังฮ่องเต้ ซึ่งเป็นไทเฮานั่นเองที่เสด็จมาพร้อมกับนางกำนัลอีกจำนวนหนึ่ง “ถวายบังคมไทเฮา” ศิษย์สำนักหมอหลวงผู้นั้นค้อมกายลงต่ำคราหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวต่อ “กระหม่อมก็ไม่สามารถคาดเดาได้พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ฟังคำตอบแล้ว ทั้งฮ่องเต้และไทเฮาก็เป็นกังวลยิ่งนัก ภาวะคลอดยากนั้นมิใช่เรื่องเล่น ๆ มีสตรีหลายคนที่อยู่ในภาวะคลอดยากเช่นนี้ แล้วจบลงด้วยการสูญเสีย ซึ่งถ้าไม่สูญเสียแม่ก็อาจจะสูญเสียลูก หากร้ายแรงกว่านั้นก็สูญเสียทั้งสองคน ทั้งสองจึงได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับฮองเฮาและบุตรของนางเลย “เสด็จแม่พอจะมีหนทางหรือไม่” ฮ่องเต้ที่ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งผู้ใดนั้น ก็หันมาถามมารดาของตน เพราะอย่างน้อยพระนางก็ผ่านการคลอดบุตรมาก่อน ซึ่งอาจจะมีหาทางมาช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เมื่อเจอคำถามของบุตรชาย ไทเฮาจึงได้แต่ส่ายศีรษะช้า ๆ อย่างจนปัญญา เพราะแม้แต่หมอหลวงยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร ถึงแม้นางจะเป็นไทเฮาก็จริง แต่เป็นเพียงแค่สตรีผู้หนึ่งเท่านั้น จะไปหาทางแก้ปัญหาภาวะคลอดยากได้อย่างไร “แม่คิดว่า พวกเราสงบสติและสวดภาวนาของให้สวรรค์ช่วยนางอย่างสุดความสามารถเถอะนะ” ไทเฮากล่าวออกมาอย่างจนปัญญา ฝนฟ้าจากเดิมที่เคยมืดครึ้มและลมพัดแรง มาบัดนี้ฝนที่ตั้งเค้าอยู่นานก็ตกลงมาแล้ว อีกทั้งยังมีเสียงฟ้าร้องและปรากฏฟ้าแลบขึ้นอีกด้วย บรรยากาศภายนอกที่น่ากลัวนี้ เหมือนกับว่าเร่งเร้าให้บรรยากาศภายในตำหนักเยี่ยนฟางนั้นดูร้อนรนมากขึ้นไปอีก เสียงฟ้าร้องคราหนึ่ง ก็ปรากฏเสียงร้องของฮองเฮาที่รวบรวมแรงกายเบ่งคลอดคราหนึ่ง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด ฮ่องเต้ก็ยิ่งทรงเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้น พระองค์แทบอยากจะเข้าไปในตำหนัก แล้วไปจับมือให้กำลังใจฮองเฮา แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ทำไม่ได้ จึงได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ทางด้านไทเฮาเองทรงประทับที่เก้าอี้รออยู่กับฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักเช่นกัน พระนางเคยผ่านการคลอดบุตรมาก็หลายคน แต่ว่าไม่เคยใช้เวลานานถึงเพียงนี้เลย ตั้งแต่หมอหลวงเข้าไปตอนนี้ก็ปาไปเกือบจะสองชั่วยามแล้ว พระนางกลัวว่าฮองเฮาจะหมดแรงเบ่งเอาเสียก่อน กระทั่งในการเบ่งคลอดครั้งสุดท้าย ฮองเฮาที่ใกล้หมดแรงก็รวบรวมแรงฮึดทั้งหมดจากนั้นจึงเบ่งคลอดออกมา เสียงฟ้าผ่าครั้งใหญ่ดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของฮองเฮาที่ดังลั่น จากนั้นก็ตามด้วยเสียงของเด็กน้อยที่ร้องไห้งอแงยามได้สัมผัสโลกภายนอกเป็นครั้งแรก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม