“มาหาคุณปิ่นเหรอ” เสียงสาวใช้ในบ้านตะโกนถามหลังจากที่เห็นลันลภัสยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่
“ค่ะ เรามีนัดติวหนังสือกัน” หญิงสาวตอบกลับไป สังเกตเห็นอีกฝ่ายดูไม่ค่อยจะยินดีให้เธอเข้ามาในบ้านเท่าไหร่นัก แต่เพราะเป็นแขกของคุณหนูจึงทำได้แค่เปิดประตูให้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“คุณหนูมีแขกน่ะ รอที่ศาลาในสวนก่อนละกัน”
“ได้ค่ะ”
ลันลภัสรับคำก่อนจะเดินไปตามทางเล็ก ๆ ซึ่งโรยด้วยหินอ่อนทอดยาวไปทางสวนที่อยู่ข้าง ๆ กับตัวบ้าน นั่งรอเพียงไม่นานรถจี๊ปคันใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นแขกที่สาวรับใช้ว่าก็ถูกขับออกไปก่อนที่ร่างบางระหงของเปมิกาจะเดินตามออกมาพร้อมกับเอกสารการเรียนที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ สายตาที่ยังจับจ้องตามรถคันใหญ่มันหวานชื่นเสียจนหญิงสาวอดเย้าเสียไม่ได้
“มองตาเชื่อมซะขนาดนั้น แฟนเหรอ”
“บ้า ไม่ใช่หรอก” เปมิกาตอบทันควันด้วยท่าทางที่เขินอายจนใบหน้าหวานนั้นแดงก่ำออกมาอย่างชัดเจน
“แน่ะ ๆ ไม่ใช่แล้วทำไมต้องเขินด้วย”
“ถ้าลันได้เห็น ฉันเชื่อนะว่าลันก็ต้องยิ้ม” ดวงตากลมโตมองออกไปยังท้องถนนด้วยรอยยิ้มที่ยังฉาบขึ้นบนใบ้หน้าเหมือนกำลังเพ้อฝัน “ผู้กองออกจะดูดีเสียขนาดนั้น”
“ผู้กอง...”
“ใช่ เขาจะแวะเวียนมาหาพ่อเพื่อรายงานสถานการณ์ข้างบนทุกเดือนแหละ” เปมิกายกมือทั้งสองข้างมาแนบกับใบหน้าที่แดงระเรื่อ สายตาหวานหยาดเยิ้มยังมองตามรถที่หายลับไป
“ข้างบนเหรอ ข้างบนคือที่ไหน”
“ก็ผู้กองเขาเป็นทหารพราน ลาดตระเวนแถวชายแดนบนยอดดอยสูงโน่นไง” อีกฝ่ายอธิบาย ยกแขนขึ้นทั้งสองข้างทำท่าเต้นรำเดินไปนั่งในศาลาอย่างสบายใจ “เรามาเรียนกันดีกว่า”
“คิดว่าจะเพ้อถึงผู้กองทั้งวันเสียอีก” ลันลภัสกลั้นขำก่อนจะเดินไปทรุดกายนั่งลงตรงข้าม
“ฉันเพ้อได้นะถ้าลันยอมฟัง”
“ไม่เอาอ่ะ อ่านหนังสือดีกว่า” หญิงสาวรีบตอบในทันที เปมิกาจึงหันไปส่งเสียงเรียกสาวใช้ที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ใกล้ ๆ
“นวลจ๋า ขอน้ำส้มกับคุกกี้สักจานสองจานได้ไหมจ๊ะ”
“ได้ค่ะคุณปิ่น” สาวใช้ก้มหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านเพื่อจะเตรียมน้ำส้มมาให้ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาทีร่างบางระหงของปัทมาผู้เป็นแม่กลับเดินออกมาแทนที่จะเป็นนวลสาวรับใช้ ลันลภัสจึงรีบยืนขึ้นกระพุ่มมือไหว้อีกฝ่ายทันที
“คุณแม่ทำไมไม่ให้นวลยกมาล่ะจ๊ะ” เปมิกาเอ่ยถาม
“แม่เป็นคนอาสาเอามาให้เองแหละ” คนสูงวัยตอบในขณะที่วางแก้วน้ำส้มและคุกกี้เพียงอย่างละหนึ่งลงบนโต๊ะ
“แล้ว...ทำไมมีแค่ชุดเดียวล่ะคะ”
“แม่เอาให้แค่ของปิ่น คนอื่นแม่ได้เอามาด้วย” สายตาคมกริบเหลือบมองไปที่อีกคนด้วยความไม่ชอบใจ
“แต่ลันเขาเป็นแขกของหนูนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกปิ่น เราโอเค” ลันลภัสรีบตอบด้วยความเกรงใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าปัทมาเองก็คงไม่ปลื้มนักที่ลูกสาวมาเกลือกกลั้วกับเพื่อนจน ๆ อย่างเธอ
“แต่ฉันไม่โอเค”
“แม่คะ” เปมิกาจับมือปัทมาไว้แน่น รู้ดีว่าสิ่งที่มารดาพูดนั้นมันหมายถึงอะไร
“นี่ปิ่น แม่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าถ้าจะคบเพื่อนน่ะ ช่วยเลือกให้มันดี ๆ หน่อย”
“แม่ แต่ปิ่นกับลันเราเป็นเพื่อนกันนะคะ”
“แม่ไม่เข้าใจแกจริง ๆ แกเป็นถึงลูกนายทหารใหญ่ แต่กลับลดตัวลงไปคบกับเพื่อนติดยาแบบนี้ ไม่ไว้หน้าพ่อแม่บ้างรึไง” นิ้วเรียวจรดไปที่ลันลภัสพร้อมกับวาจาเชือดเฉือนที่หญิงสาวเองก็ทนฟังไม่ได้จนต้องรีบแก้ต่างให้ตัวเอง
“ขอโทษนะคะ...หนูยอมรับว่าหนูจน แต่หนูไม่เคยติดยาแบบที่คุณป้าว่านะคะ”
“ใครจะไปรู้ ได้ข่าวว่าพ่อเลี้ยงเป็นมือขวาเสี่ยภาคินอะไรนั่นด้วยนี่ วันนี้ไม่ติดยาวันหน้าก็อาจจะติดคุกทั้งครอบครัว คอยดู”
“คุณแม่คะ เข้าบ้านก่อนดีกว่าค่ะ” เปมิกาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบจูงมือมารดาเข้าไปในบ้านแต่กลับถูกปัทมาสะบัดแขนออกอย่างไม่ใยดี
“นี่ก็เหมือนกัน บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วแต่ก็ไม่เคยจำ ไม่เคยทำตามที่สั่งเลยสักครั้ง” ผู้เป็นแม่ตวาดกร้าวใส่บ้างทำเอาเปมิกาถึงกับหน้าถอดสี “ถ้าขืนยังคบกับเพื่อนแบบนี้อยู่ ก็ไม่ต้องเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้อีก”
“แม่ ! แต่ลันเขาเป็นคนดีนะคะ เขาไม่เคยยุ่งกับของไม่ดีเหมือนที่แม่...”
“พอเถอะปิ่น” ลันลภัสตัดบทก่อนจะหันไปกระพุ่มมือไหว้คนสูงวัยอีกครั้ง เพราะนี่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปัทมาแสดงท่าทีรังเกียจเธอ “ต้องขอโทษคุณป้าด้วยนะคะ ถ้าทำให้ไม่สบายใจ”
“รู้ตัวก็ดี หัดตักน้ำใส่กระโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองซะบ้าง”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไปเพียงแค่นั้นก่อนจะตัดสินใจหยิบกระเป๋าสะพายคู่ในเดินออกจากบ้านไป เพราะรู้ดีว่าต่อให้พยายามอธิบายแค่ไหนอีกฝ่ายก็คงไม่เปิดใจรับฟังอยู่ดี “เรากลับก่อนนะปิ่น”
“เดี๋ยวสิลัน เรายังไม่เริ่มติวกันเลยนะ”
“ไม่ต้องตงไม่ต้องติวมันแล้ว วันหลังถ้าแม่รู้ว่าแกชวนมันมาที่บ้านอีก เราได้เห็นดีกันแน่” เสียงแหลมเล็กตวาดลั่นดังไล่ตามหลังมา แม้จะเป็นห่วงลันลภัสแค่ไหนแต่เปมิกาก็ทำได้แค่ยืนมองเพื่อนสนิทเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
“ขอโทษด้วยนะลัน ถ้าแม่ไม่ให้มาเราค่อยไปเจอลันข้างนอกก็ได้”
เสียงข้อความดังขึ้นพร้อมกับข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาทำให้รอยยิ้มเจือจางปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานครู่หนึ่งทว่าคำพูดของปัทมาก็ยังไม่จางหายไปไหนเช่นกัน
เพราะประวัติและชื่อเสียงของเตชิตผู้เป็นพ่อเลี้ยงค่อนข้างจะเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ถึงจะติดคุกมาแล้วหลายครั้งแต่ก็รอดมาได้ทุกครั้งเพราะอำนาจเงินของเสี่ยภาคินผู้มีอิทธิพลและเจ้าของธุกิจมืดที่ตำรวจเองก็ยังไม่กล้าจะเล่นงาน
“คิดอะไรอยู่เหรอลูก” ผู้เป็นแม่ที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเนื่องจากอาการป่วยที่หมอพยายามประคับประคองเพื่อรอวันผ่าตัด
“ปละ..เปล่าค่ะแม่”
“พักนี้ลันดูเหนื่อย ๆ นะ พักบ้างเถอะลูก” มือเรียวผ่ายผอมมีสายและเข็มมากมายเจาะเข้าไปยังเส้นเลือด ยกขึ้นจับมือของลูกสาวเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าจะเหนื่อย ลันก็เหนื่อยอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละค่ะ”
“เรื่องลุงเตชิตเหรอ เขาทำร้ายลันหรือเปล่า” นวิยาเหมือนจะพยายามลุกขึ้นทันทีที่หญิงสาวพูดจบ เพราะความเป็นห่วงที่ต้องปล่อยให้ลูกสาวอาศัยอยู่บ้านเพียงลำพังกับผู้เป็นสามี
“เปล่าจ่ะแม่ หนูเหนื่อยที่ต้องฟังเสียงบ่นทุกวันต่างหาก”
“ถ้าเขาแค่บ่นก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาทำร้ายลัน ลันต้องรีบหนีไปนะลูก”
“ใครจะยอมให้เขาทำร้ายหนูล่ะแม่ หนูก็สู้เป็นนะ” ว่าพลางยกแขนขึ้นหนึ่งข้าง ถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อให้นวิยาเห็นกล้ามแขนน้อย ๆ ทำเอาผู้เป็นหัวเราะออกมาทั้งที่ยังป่วยหนัก
“ตัวเล็กแค่นี้จะไปสู้ใครได้”
“โถ่แม่...อย่าลืมสิว่าหนูมีเลือดนักสู้จากแม่อยู่นะ” เสียงใสสั่นเครือเจือสะอื้นเหมือนกำลังปั้นหน้าแสดงออกมาว่าเธอกำลังสบายดี ทั้งที่ภายในใจมันบอบช้ำเหลือเกิน พยายามเป็นลูกที่ดีแต่เงินรักษาแม่ให้หายป่วยก็ยังไม่มีปัญญาจะหามาได้
“จ่ะ ลันของแม่เก่งอยู่แล้ว”
“ลันรักแม่นะคะ แม่ต้องรีบหายนะ” ลันลภัสสวมกอดร่างมารดาไว้แน่นเพื่อหลบซ่อนหยาดน้ำใส ๆ ที่ไหลรื้นออกมา อดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าหากวันหนึ่งนวิยาไม่อยู่ เธอจะใช้ชีวิตเพียงลำพังบนโลกที่โหดร้ายนี่ได้อย่างไร
“กลับไปพักเถอะลูก แม่อยู่ได้ หมอกับพยาบาลก็มี” คนสูงวัยกว่าเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“แต่ลันอยากอยู่กับแม่นี่คะ กลับไปก็ได้ยินเสียงบ่นอีก”
“เขาก็แค่บ่น ไม่ได้ทำอะไรลันนี่ ลันกลับไปนอนพักเถอะ แม่อยู่ได้จริง ๆ ” นวิยาพยักหน้าน้อย ๆ เพื่อไล่หญิงสาวกลับไปที่บ้าน “อีกครึ่งชั่วโมงก็หมดเวลาเยี่ยมแล้วด้วย”
“แต่...” ลันลภัสลังเลเล็กน้อยแต่ก็ต้องยอมรับปากกลับไป “ก็ได้ค่ะ...งั้นลันกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้ลันจะมาใหม่”
นวิยาไม่ได้พูดอะไรต่อ หญิงสาวจึงโน้มตัวลงหอมแก้มของมารดาฟอดใหญ่แล้วเดินจากไปพร้อมกับความรู้สึกมากมายที่ยังเกาะกินใจไม่จางหาย
เงินติดตัวบวกกับเงินในบัญชีที่มีอยู่ตอนนี้คงไม่รู้ว่าต้องหาอีกเท่าไหร่มันถึงจะพอค่ารักษาพยาบาล เงินที่ได้จากการทำงานในร้านอาหารบวกกับเศษเงินที่จากลูกค้าทั้งปีก็ยังไม่พอเลยด้วยซ้ำ ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้านแต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาให้มารดาเห็นเพราะลำพังอาการป่วยไข้ก็ดูจะหนักหนามากพออยู่แล้ว
สองเท้าก้าวเดินไปยังถนนสายเล็ก ๆ ที่ทอดเข้าไปในซอยลึกเพื่อจะเดินทางกลับบ้าน ฝูงหมาเจ้าถิ่นส่งเสียงเห่าหอน บ้างก็กระดิกหางวิ่งนำทางหญิงสาวไปจนถึงบ้านเช่าหลังเล็กที่อยู่สุดซอย
“มาอีกแล้วเหรอ” เสียงใสพึมพำออกมาเมื่อสังเกตเห็นรถกระบะสีดำจอดอยู่หน้าบ้านพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของที่นั่งซดเหล้ากับเตชิตอย่างสบายใจ
ดวงตากลมโตมองผู้มาเยือนกับพ่อเลี้ยงด้วยความเกลียดชัง ใบหน้าคมคร้ามตามแบบฉบับชายไทยมีหนวดเคราอ่อน ๆ ขึ้นปรกใบหน้าเล็กน้อยแต่พองาม ผมสีดำเข้มถูกเซ็ตเป็นทรงด้วยเจลราคาแพง ผิวสีน้ำผึ้งตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวนวลที่ถูกปลดกระดุมสองเม็ดบนออกเผยให้เห็นไรขนบนอกกว้างอย่างชัดเจน ในสายตาผู้หญิงคนอื่นภาพนี้คงจะน่าหลงใหลไม่น้อย แต่คงไม่ใช่กับลันลภัสอย่างแน่นอน
“กลับมาแล้วเหรอ ลูกรักของพ่อ” คนที่กำลังเมาได้ที่เอ่ยขึ้นพลางยกแก้วน้ำสีอำพันในมือขึ้นเพื่อกรอกเข้าปาก
ลันลภัสไม่ได้ตอบอะไรออกไปนอกจากรีบถอดรองเท้าแล้วเข้าห้องตัวเองไปเพราะไม่อยากจะอยู่เสวนาด้วย
“ลูกเลี้ยงลุงนี่ ยิ่งโตก็ยิ่งสวยนะครับ ตอนเจอกันครั้งก่อนยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อยู่เลย” สายตาคมกริบของคณิน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเสี่ยภาคินเอ่ยขึ้นทันทีที่ร่างบางหายลับเข้าไปในห้อง
“ไอ้ลันมันไม่ได้สวยอย่างเดียวนะ นังนี่มันยังปากจัดอีกต่างหาก”
“จริงเหรอครับ...ผมชักอยากรู้บ้างแล้วสิว่สจะจัดสักแค่ไหน” เสียงนั้นเงียบหายไปครู่หนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบแทน “ว่าแต่...ลันเขามีแฟนยังครับ”
“โหย...อย่างมันใครเขาจะมาสนใจ”
“งั้น ถ้าคุณลุงไม่ว่าผมขอเข้าไปคุยกับลูกเลี้ยงคุณลุงหน่อยได้ไหม” ถึงแม้จะเป็นประโยคร้องขอ แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูเหมือนกำลังจะข่มขู่เสียมากกว่า
“เอ่อ...” อีกฝ่ายเลิกลัก รู้ดีว่าสิ่งที่คณินพูดนั้นมันหมายถึงอะไร “คุณคณินจะเอาจริง ๆ เหรอครับ”
“ก็จริงสิครับ คุณลุงน่าจะรู้ว่าถ้าผมถูกใจใครแล้วผมก็ต้องได้” ชายหนุ่มยืนยันคำเดิม ที่ผ่านมาเขาเองก็เห็นลันลภัสอยู่บ่อยครั้งแต่เพราะสาวเจ้ายังเด็กจึงยังไม่ได้คิดอะไร ไม่คิดว่ามาเจออีกครั้งในรอบสองปีหลังจากที่เตชิตย้ายมาจากเมืองหลวง หญิงสาวจะมีเสน่ห์ดึงดูดมากมานถึงขนาดนี้ “ว่าไงล่ะครับ”
“ผมสัญญากับแม่มันแล้ว...” เตชิตก้มหน้าตอบ
“แต่ตอนนี้น้านิดยังนอนอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ”
“แต่ว่า...”
“ผมไม่อยากพูดเยอะนะ ถึงคุณลุงจะเป็นลูกน้องคนสนิทของพ่อ แต่ถ้าทำให้ผมขัดใจผมก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน” พูดจบมือหนาจึงหยิบวัตถุสีดำเงาวับขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ลูกน้องที่ตามติดมาด้วยสองคนเริ่มเข้าไปมาประชิดทำให้เตชิตต้องตกปากรับคำออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
“กะ...ก็ได้ครับ”
“มันต้องอย่างนั้น ถึงจะได้คบกันยาว ๆ ” ชายหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูง หันไปสั่งลูกน้องให้เฝ้าดูต้นทางไว้ ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปเคาะประตูห้องของลันลภัสอย่างใจเย็น เพราะต้องรับคำสั่งจากบิดาให้กลับมาดูแลลูกค้ารายย่อยแถบภาคเหนือ มันเลยทำให้เขาไม่มีเวลาไปเที่ยวผู้หญิงเหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ เท่าไหร่นัก ไหน ๆ ก็มาเยี่ยมเยือนลูกน้องอย่างเตชิตแล้วเจอของเล่นชิ้นงามหลังจากที่เฝ้าดูมานาน มีเหรอที่เสือผู้หญิงอย่างคณินจะอดใจไหว
มือหนาบรรจงเคาะประตูห้อง ยืนรออยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะยอมเปิด คนที่อารมณ์กำลังพุ่งพล่านจึงระรัวเคาะประตูอีกหลายครั้งจนคนที่อยู่ในห้องต้องยอมเปิดออกมาในที่สุด
“ถ้าเมามากนักก็กลับไปเคาะกะโหลกตัวเองโน่น มาเคาะห้องคนอื่นแบบนี้เขาเรียกว่าเสียมารยาท ! ” ลันลภัสตวาดลั่นก่อนจะรีบปิดประตูอีกครั้งด้วยความรำคาญ ลำพังความเหนื่อยล้าจากการทำงานก็มากพออยู่แล้ว เธอจึงไม่อยากมีเรื่องกับชายหนุ่มเสียเท่าไหร่นัก