“เด็กๆ วันนี้พี่ออกไปธุระนะ ฝากร้านด้วยจ้า”
“เจอกันพรุ่งนี้ค่าพี่โย” น้องนักศึกษาฝึกงานและผู้จัดการโบกมือลา
หญิงสาวพุ่งตัวออกไปทันที
“โย” เสียงเรียกจากหน้าร้านทำให้คนที่กำลังจะเดินไปที่รถของตัวเองมองบน
ให้ตายเถอะ! ชาติชายมาทันพอดี เธอไม่ได้กลัวที่จะเจอเขา แต่แค่เซ็งสุดขีดที่วันดีๆ จะต้องมาสะดุดเพราะเจอใบหน้าของคนที่เธอเกลียด
“กำลังจะไปไหน ให้พี่ไปส่งไหมครับ”
“โยเคยบอกแล้วใช่ไหมคะว่าอย่ามายุ่งกับโย ขอร้องล่ะค่ะ คุณกำลังทำให้คนเข้าใจโยผิดนะคะ”
“พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าพี่รู้สึกผิดและจะกลับมาชดใช้ให้โยทุกอย่าง ให้โอกาสพี่ได้ไหม”
โยธกามองบน เขาคงรู้สึกผิดหนักมากสินะ ตั้งแต่วันที่บอกเลิกเธอก็หายไปมีความสุขหลายปีแบบไม่มีเยื่อมีใย ไม่มีถามไถ่เหมือนตายจาก แต่อยู่ดีๆ ก็โผล่หน้ามาขอคืนดี อย่าว่าแต่โอกาสเลย ที่ยังคุยด้วยความสุภาพเหมือนคุยกับคนนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอมอบให้เขาได้แล้ว
ถ้าเธอไม่ใช่แม่ค้าขายขนมหวานที่ต้องรักษาภาพพจน์บอกเลยว่าเธอคงเรียกเขาว่าไอ้เหี้ย หรือไอ้ชาติชั่วตามความรู้สึกไปเองแล้ว
“โยให้โอกาสใครไม่ได้หรอกค่ะ อย่างที่บอกโยมีคนอื่นไปแล้ว”
“พี่ไม่เชื่อ พี่ส่งคนมาสืบแล้ว ตั้งแต่เลิกกันโยไม่มีใครจนวันนี้
เขาหลอกด่าว่าเธอไม่มีใครเอาหรือเปล่าวะ โยธกามึนไปชั่วขณะ
“พี่เองอยู่ที่นั่นก็ไม่เคยลืมและยังคิดถึงเราตลอด เราเป็นความอบอุ่น ความสบายใจ เป็นคนที่พี่อยากอยู่ใกล้เสมอ พี่รอวันที่เรียนจบแล้วได้กลับมาเจอกันอยู่ทุกลมหายใจ” จังหวะที่เธอยังงงเขาก็พูดประโยคเดิมซ้ำๆ ซากๆ ถ้าคนมีใจฟังแล้วคงมีอายม้วน แต่คนหมดใจแล้ว ฟังแล้วก็อยากอ้วกแต่เสียดายอาหารใต้อร่อยๆ ที่ปู่มิ่งขวัญเลี้ยงมื้อกลางวัน
ใช่สิ โยธกาปิ๊งไอเดีย วันนี้เธอเพิ่งตกลงกับมิ่งขวัญว่าจะหมั้นกับหลานชายของท่าน ชายชราเพิ่งส่งข้อความมาบอกไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เองว่าได้บอกหลานชายเรื่องหมั้นแล้ว เมธาวินเองก็ไม่มีปัญหาอะไร
หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่เธอทำไม่ใช่แค่ช่วยผู้มีพระคุณเพียงอย่างเดียว มันอาจจะช่วยให้เธอรอดพ้นจากการถูกคนหน้าด้านตามตื๊อได้ด้วย
“โยกำลังจะเข้าพิธีหมั้นแล้วค่ะ คู่หมั้นของโยคงไม่พอใจ”
“อย่าโกหกเพื่อเอาตัวรอดสิโย มันดูไม่ใช่โยคนเดิมที่พี่รู้จักเลยนะ”
คุณพี่คะ คุณพี่ทิ้งกันไปกี่ปีคะ ใครจะยังเป็นคนเดิมให้คุณพี่คะ นี่โยธกาค่ะ ไม่ใช่ควาย เขาเห็นเธอมีเขาหรือยังไงกัน!
หลังจากมองบนเป็นรอบที่แปด หญิงสาวก็เห็นรถตู้สีดำสนิทคันหนึ่งจอดอยู่หน้าร้าน บานประตูอัตโนมัติเลื่อนออกเผยให้เห็นด้านข้างของว่าที่คู่หมั้น เมธาวินค่อย ๆ หันหน้านิ่งๆ มาสบตาเธอ
ชาติชายเองก็มองตามสายตาของหญิงสาว
โยธการู้ว่าเมธาวินคงมาคุยธุระกับเธอแน่นอน และเขาก็เป็นคนที่เธออยากคุยด้วยกว่าชาติชายเป็นล้านเท่า
“ว่าที่คู่หมั้นของโยมารับแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
หญิงสาวบอกชาติชายเบาๆ แล้วเดินไปขึ้นรถตู้ที่แอร์เย็นยะเยียบโดยไม่ได้เอะใจเลย เพราะมัวแต่อยากหนีจากชาติชายเธอเลยลืมมองว่าแววตานิ่งๆ ของเมธาวินนั้นมีไฟโกรธาแผดเผาอยู่
บานประตูรถตู้เลื่อนปิดแล้วแต่รถที่ติดแหง็กนั้นยังไม่ได้เคลื่อนที่และคนที่นั่งข้างเธอนั้นก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไร
“คุณมาร์คมาคุยธุระกับโยเรื่องคุณปู่ใช่ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยปากถามก่อน
ปั่กๆ เสียงทุบประตูรถจากด้านนอกทำให้โยธกาละสายตาจากใบหน้านิ่งๆ ของเมธาวินหันกลับไปมอง เธอคิดว่าอาจจะเป็นชาติชายที่มาเคาะเพื่อพูดคุย
“เปิดประตู” เมธาวินสั่งลูกน้อง
ครืดดดด
“นี่คุณ เป็นแท็กซี่เถื่อนแล้วมาแย่งรับแขกตรงคิวรถแบบนี้ไม่ได้นะครับ คุณลูกค้าก็เหมือนกันจะไปไหนก็เรียกรถจากคิวนะครับห้ามเรียกแกร็บ” พอบานประตูเปิดคนที่ยืนอยู่ก็พูดแบบไม่ให้สบช่องหายใจ โยธกาหันไปมองตามที่เขาชี้แล้วก็เห็นรถตุ๊กๆ และแท็กซี่จอดเรียงกันอยู่ถัดจากร้านสาขาใหม่ของเธอไม่ไกลนัก
‘คนรู้จักค่ะ ไม่ใช่แท็กซี่’
โยธกาแค่คิด แต่ยังไม่ได้ตอบ คนที่เสียงดังและทำท่าข่มขวัญกะว่าเธอจะกลัวก็ค้อมหัวเบาๆ พร้อมกับพูดคำว่าขอโทษแล้วก็หายไปเลย
“อะไรของเขานะ” โยธกาพึมพำแล้วหันกลับมามองเมธาวิน เห็นสีหน้าของเขาแล้วเธอก็เผลออุทาน “อุ้ย” ผู้ชายคนนั้นเห็นคุณมาร์คคนหน้านิ่งแล้วคงไม่กล้าหือกล้าอือใส่เขา แต่สำหรับเธอนั้นชินเสียแล้ว
ครืดดด
เสียงบานประตูปิดอีกครั้ง โยธกาขยับนั่งอย่างสบายอกสบายใจแล้วหันไปหาเมธาวิน
“คุณมาร์คพูดธุระมาได้เลยค่ะ”
“คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหมโยธกา”
“อะ อะไรนะคะ!” หญิงสาวหันไปถามงงๆ
“คุณไปตกลงอะไรกับปู่ผม”
“อ้าว คุณเองก็ไม่ได้ตกลงกับคุณปู่เพราะว่า...” เธอกำลังจะพูดถึงสาเหตุที่ยอมตกลงหมั้น แต่พอนึกถึงคำพูดของมิ่งขวัญที่บอกว่า ห้ามบอกใครแล้วก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าเมธาวินรู้เรื่องนี้ไหม
“เพราะว่าอะไร” เขาหรี่ตา “คุณคิดว่าผมจะชอบคุณแล้วจะยอมหมั้นหรือไง” เขาจ้องเธอเหมือนจะค้นคว้าหาคำตอบ
หญิงสาวเดาว่าเขาไม่รู้
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ แต่คุณปู่ท่านอยากเห็นหลานๆ เป็นฝั่งเป็นฝาภายในระยะเวลาอันใกล้เพื่อจะได้สบายใจ ฉันอยากตอบแทนบุญคุณปู่แล้วก็ไม่ได้ทำผิดสัญญาที่ทำกับคุณ อีกอย่างท่านเองก็บอกว่าคุณตกลงที่จะหมั้น”
“ถ้าไม่หมั้น ท่านจะยกสมบัติทั้งหมดในส่วนของผมให้คุณ คุณคิดว่าผมควรปฏิเสธไหม” เมธาวินนึกถึงหน้าตาแก่ที่เอาทรัพย์สินมาต่อรอง กิจการหลายอย่างที่เขาเริ่มต้นทำและบางอันเขาก็บริหารให้เติบโตแต่ไม่เคยดึงมาเป็นของตัวเองสักอย่าง อยู่ๆ ปู่จะยกให้คนอื่นไปหมด
เส้นเลือดข้างขมับเขาเต้นตุบๆ เพราะความโมโห ไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงลุกขึ้นมาทำอะไรเพี้ยนๆ แบบนี้
ตอนนี้เมธาวินไม่รู้ว่าจะสั่งเก็บใครก่อนระหว่างแม่สื่อที่ผูกดวงเขากับโยธกาแล้วบอกว่าเป็นเนื้อคู่กัน หรือเขาควรเก็บคนที่คิดจะปีนเตียงเขาโดยอ้างการตอบแทนบุญคุณก่อนดี...
“ถ้าอย่างนั้น เราหมั้นกันหลอกๆ แต่งกันหลอกๆ ไปได้ไหมคะ ทำไปสักระยะหนึ่งให้คุณปู่สบายใจ แล้วค่อยหย่ากัน”
“ไม่...” เมธาวินตอบทันควัน “คุณต้องเป็นฝ่ายปฏิเสธ ไปบอกคุณปู่ว่าคุณจะไม่หมั้นกับผม”
“ไม่ได้ค่ะ” เธอก็ตอบทันทีเหมือนกัน “มันเรื่องคอขาดบาดตายเลยนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะกล้าตกลงกับท่านเหรอ คุณคิดว่าฉันอยากได้คุณหรือไงคะ”
เขาหรี่ตามอง โยธกานึกขึ้นได้ว่าเธอเกือบจะเผลอพูดความลับของปู่มิ่งขวัญออกไป
ท่าทางของเธอทำให้เขาหรี่ตา เขาเดาออกว่าหญิงสาวหมายความว่าอย่างไร...
“ไม่มีความจำเป็นที่จะเอาใจเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงขนาดนั้น” ชายหนุ่มรู้ดีว่านอกจากเบาหวานแล้ว เรื่องอื่นปู่เขาก็สุขภาพกายสุขภาพใจดีมาก น้ำตาลในเลือดที่สูงเกินปกติไปนิดหน่อยนั้นเขาก็ดูแลเป็นอย่างดี
“...” โยธการู้สึกว่าน้ำท่วมปากเหลือเกิน
“หรือมีเรื่องที่ผมยังไม่รู้”
“โยรับปากท่านแล้วว่าจะไม่พูด คุณมาร์คถามปู่คุณมาร์คได้ไหมคะ”
“ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามแต่ คุณจะต้องบอกปู่ผมว่าจะไม่หมั้น”
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวประกาศจุดยืน “แล้วคุณมาร์คก็ห้ามมาทวงเงินค่าผิดสัญญาด้วยนะคะ เพราะโยไม่ได้ทำอะไรผิด”
เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ของผู้หญิงคนนี้... และเธอค่อนข้างดื้อดึง หนำซ้ำยังไม่เกรงกลัวเขาเหมือนคนอื่น เมธาวินเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม
แววตาของเขาในตอนนี้ลูกน้องที่ขับรถอยู่ด้านหน้ายังนิ่งเงียบหายใจไม่ทั่วท้อง แต่คนที่นั่งข้างๆ กลับมองเขาด้วยแววตาใสแจ๋วแบบไม่รู้สึกผิดอะไร
สิ่งนี่ทำให้เมธาวินไม่พอใจยิ่งนัก เธอช่างท้าทายอำนาจมืดเหลือเกิน....