โยธกาไม่รู้ตัวว่ามีใครจ้องมองตนเองแต่ถึงโดนจ้องเธอก็คงเต้นต่อนั่นแหละเพราะวันนี้เป็นวัยปล่อยผี ตอนแรกเธอชวนเพื่อนมากินข้าวเย็นที่ร้านอาหารริมทะเลแถวนี้ จุดประสงค์หลักคือจะเล่าเรื่องชาติชายให้ทุกคนรู้โดยทั่วกัน เพราะตอนนี้เขาเริ่มเวิ่นเว้อเกี่ยวกับเธอในโลกโซเชียลและเพจของร้านเขาก็เข้ามาวุ่นวายจนตามลบไม่ทัน จากที่ไม่เคยเล่าความชั่วของเขาให้เพื่อนฟัง เพื่อนที่รับรู้แต่ด้านดีๆ ของเขาก็ขอโทษขอโพยเธอกันยกใหญ่
‘ฉันก็นึกว่าเลิกเพราะระยะทาง แต่เลิกเพราะฐานะ อย่างนี้ตอนพี่เขากลับมาแล้วมาเมนต์เหมือนอยากคืนดีกับแกในอินสตาแกรมฉันจะช่วยด่า ไม่ใช่ช่วยเชียร์’
ตอนที่เลิกกันแรกๆ โยธการู้สึกเหมือนเธอต้อยต่ำและอับอายเกินกว่าจะเล่าเรื่องนี้ ตอนนั้นเธอไม่คิดว่าเป็นความผิดของชาติชายทั้งหมดเลยไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังเพราะไม่อยากว่าร้ายเขา เธอในตอนนั้นช่างโง่เขลาเหลือเกินที่เอาแต่โทษตัวเอง
แต่ก็ต้องขอบคุณชาติชายที่ทิ้งกันไปในวันนั้น ในวันนี้เขาทำให้โยธการักตัวเองมากพอที่จะยืนหยัดและพูดถึงเรื่องเก่าๆ ได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดแถมยังมีสติมากพอที่จะไม่กลับไปคืนดีในตอนที่เขาเข้ามาพูดคำหวานหว่านล้อม
พอระบายเรื่องเก่าๆ แล้วเพื่อนก็เลยชวนมาเที่ยวผับเพื่อผ่อนคลาย ดื่มสักเมาฉลองให้กับโยธกาที่เอาชนะใจตัวเองได้
ในกลุ่มเธอมีเพื่อนชายสองผู้หญิงสามเกาะกลุ่มกันตั้งแต่มัธยมและเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในจังหวัดด้วยคณะบริหารธุรกิจเหมือนกัน
“กูโชคดีที่มีเพื่อนใจเด็ดอย่างอีโยกูถึงได้กินเหล้า แทนการกินอาหารหมา” ในช่วงที่โยธกาพักเบรกจากการเต้นมายืนในวงของเพื่อนในกลุ่ม ศศธร หนึ่งในสองของผู้ชายกลุ่มเอ่ยบอก แน่นอนว่าจากลักษณะการพูดกับเพื่อนแบบเต็มจริตนี้ใครๆ ก็คงดูออกว่าเขาเป็น... เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่การพูดหรอกแต่ท่าทางของนางนี่ดูออกตั้งแต่ปากซอยบางลาแล้วว่าเป็นเพื่อนสาว
ส่วนวรัตถ์เพื่อนชายอีกคนที่ยืนพิงบู้ทดีเจแล้วจิบเหล้าอยู่นั้นกลับแตกต่าง เพื่อนคนนี้เกิดมามีกรรมเล็กน้อยที่อยากใจเป็นสาวแต่ด้านกายภาพนั้นกลับเป็นหนุ่มหล่อที่หล่อแบบวัวตายควายล้มมาก บางทีเพื่อนผู้หญิงทั้งสามอย่างโยธกา วรนิษฐ์ และญาดา ก็เผลอใจขอร้องให้เขาลองชอบผู้หญิงบ้างแล้วพวกเธอจะถวายตัวเป็นเมียอย่างไม่มีข้อแม้
แน่นอนว่าวรัตถ์ก็ตอบสนองทุกครั้งที่เพื่อนร้องขอว่า ‘ถ้ากูต้องมีเมียแทนการมีผัวกูขอตายดีกว่า’ แล้วทุกคนก็จะเลิกเซ้าซี้นางเพราะมีวรัตถ์อยู่ด้วยดีกว่าให้เขาตาย ถึงแม้เขาจะเป็นผัวไม่ได้แต่อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนได้
พวกเธอเป็นเด็กเรียนที่ใช้ชีวิตข้างนอกรั้วมหาวิทยาลัยได้อย่างคุ้มค่าแต่ก็อยู่ในขอบเขต การเติบโตในเมืองท่องเที่ยวที่เจอผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมทำให้พวกเธอเป็นคนที่เปิดกว้าง ยิ่งพวกเธอทั้งกลุ่มเคยทำงานพิเศษด้วยกันในโฮสเทลกึ่งบาร์ที่จะได้เจอชาวแบคแพคเกอร์จากทุกมุมโลกมานั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนกันมันทำให้เห็นมุมมองชีวิตหลายแบบและเอามาปรับใช้กับตัวเอง
อย่างเช่นการเที่ยวผับในวันนี้แทนที่จะไปร้านนั่งดื่มฟังเพลงชิลๆ ในเมือง พวกเธอก็เลือกผับในป่าตองเพราะได้ยินนักท่องเที่ยวสาวคนหนึ่งเล่าว่า ถ้าเป็นผู้หญิงก็ควรมาเข้าผับในถนนบางลาเพื่อจะได้ดื่มฟรี!
โยธกาเป็นคนเลือกร้านเองเพราะว่าอยากประหยัดเงินค่าดื่มไปสักนิดก็ยังดี
“กูไม่ใจเด็ด ถ้ามันดีกูก็คงคืนดี แต่นี่มันเหี้ย แล้วตอนนี้ยิ่งแน่ใจเพราะมันพูดไม่รู้ฟังเลย ปฏิเสธเท่าไหร่ยิ่งเข้าหาจนน่ากลัว ขนาดบอกว่ามีคู่หมั้นแล้วมันยังบอกว่าจะรอจนกว่ากูจะเทคู่หมั้นไปคบมัน กูว่ามันน่าจะป่วยจิต” โยธกาตะโกนเล่าแข่งเสียงเพลงของดีเจแบบเซ็งๆ
“คู่หมั้น?” ตอนนี้ทุกคนไม่ได้สนใจเรื่องชาติชาย แต่สะดุดหูกับคำว่าคู่หมั้นจากปากเจ้าของร้านแววหวานมากกว่า...
“ฉันมีว่าที่คู่หมั้น ชื่อคุณมาร์ค เป็นหลานผู้มีพระคุณนะ”
“หมั้นตอบแทนบุญคุณงี้เหรอ” ญาดาถามงงๆ น่าเสียดายที่โยธกาไม่ได้เล่าที่ร้านอาหารไม่อย่างนั้นคงได้คุยรู้เรื่องกว่าตะโกนแข่งกันในผับ
“อือ” คนมีว่าที่คู่หมั้นตอบแล้วหันไปแดนซ์ต่อ
แล้วจังหวะเพลงที่สโลว์พักหนึ่งจนพวกเธอเมาท์แข่งได้ก็เริ่มเร้าใจขึ้น เสียงคนร้องเชียร์กระหึ่มเพราะความมันส์ ท่ามกลางผู้คนมากมายผู้ชายที่ครอบครองความสูง 189 เซนติเมตรก็เดินแทรกเข้ามายืนตรงหน้าโยธกา
“คุณมาร์คมาได้ยังไงคะ”
คำถามของเธอช็อตฟีลเขาไปประมาณล้านโวลต์ ที่นี่เป็นสถานบันเทิงที่เขาบริหารเขาอยู่ตรงนี้ก็ไม่แปลก คำถามนั้นควรมาจากเขามากกว่าไหม... แต่ก็นั่นแหละเมธาวินจะพยายามเข้าใจว่าเธออาจจะไม่รู้หรือไม่ก็เมาแล้ว
“ทำงานที่นี่”
“อ๋อ...” โยธกาพยักหน้าหงึกๆ กิจการของครอบครัวปู่มิ่งขวัญมีเยอะไปหมดเธอเลยไม่รู้ว่าที่นี่เป็นของเขา หญิงสาวหันไปหาเพื่อนแล้วแนะนำ “พวกแกนี่คุณมาร์ค”
“...” เพื่อนๆ ของโยธกาต่างก็หาปากตัวเองไม่เจอ ทุกคนจ้องเมธาวินแบบไม่กะพริบตาแล้วก็พากันยกมือไหว้ จากนั้นก็ถอยไปคนละก้าวแบบไม่รู้ตัวเพราะเขาหน้านิ่งเกินไป
“นี่เพื่อนโยค่ะ ชื่อ ธร วรัตถ์ ญาดา แล้วก็นุ้ย”
เมธาวินค้อมหัวให้เพื่อนของโยธกาที่ดูเมากว่าเธอแต่ทุกคนก็ดูเป็นคนปกติเพราะแววตาของทุกคนบอกชัดว่าเกร็งๆ ยามที่เขาหันไปมอง มีเพียงโยธกานี่แหละที่ไม่เคยจะกริ่งเกรงอะไรเลย
“ผมชื่อซิงซิงครับ เป็นเพื่อนมาร์ค” ซิงซิงโผล่มาจากหลังของคนที่รับปากว่าจะแนะนำเขาให้สาว แต่เขายืนยิ้มจนเหงือกแห้งแล้วก็ไม่ถูกพูดถึง เขาเลยเปิดตัวด้วยตนเองแล้วยิ้มแฉ่งให้กับทุกคน
แต่... เมธาวินก็ปิดตัวเขาด้วยประโยค
“ผมขอตัวคุณโยสักครู่”
“ตะ... ตามสบายเลยค่ะ” ญาดาดันหลังโยธกาให้ไปกับมาร์คแบบไม่ขัดขืนใดๆ
“เดี๋ยวมาน้า” เธอบอกเพื่อนๆ เมื่อเมธาวินพยักหน้าให้เธอเดินตามไป หญิงสาวเดินไปเต้นไปเพราะเพลงกำลังสนุก ซิงซิงเดินตามหญิงสาวผู้ร่าเริงไปยิ้มๆ
ที่เขาบอกว่าชอบเธอ เขาหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ นะ...