(แม่หมอยา)
สถานที่ไกลโพ้นอยู่ทางเทือกเขาแทบเหนือ ปรากฏเรือนไม้หลังน้อยถูกสร้างขึ้นท่ามกลางแมกไม้นานาพรรณ หญิงวัยกลางคนที่เริ่มมีผมสีดอกเลาขึ้นแซมสะพายย่ามขึ้นบ่า ถึงตอนนี้ลำเจียกจะมีอายุมากขึ้น หากกลับไม่ส่งผลเรื่องกำลังวังชา นางยังสามารถขึ้นเขาลงห้วยได้อย่างสบาย
ได้เวลาต้องออกไปเก็บพืชสมุนไพรมาเพิ่ม
“ให้ฉันไปด้วยคนไม่ได้หรือจ๊ะ...” สาวน้อยแรกรุ่นเดินถือโถยาออกมาพึ่งแดดร้องโอดโอย สาวเท้าเดินมาเกาะแขนของผู้เป็นป้า แหงนใบหน้าจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อยออดอ้อน ลำเจียกส่ายหน้าดันศีรษะทุยของแม่หลานสาวตัวแสบถอยห่าง
“ถ้าข้าให้เอ็งไปด้วยแล้วใครจะอยู่เฝ้าหม้อยาให้ข้าเล่านังมะยม”
สาวน้อยแต่งตัวราวกับชายทำหน้าบูด สะบัดตัวมากระแทกก้นนั่งบนตั่งไม้ ก็ไม่ได้อยากอยู่เฝ้าหม้อยาสักหน่อย เธออยากออกไปเที่ยวเล่นในป่ามากกว่า
“เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยป้า ไหนบอกจะสอนให้ฉันเก็บยาสมุนไพรไง”
“เอาไว้ให้เอ็งโตกว่านี้อีกสักหน่อย ข้าถึงจะพาเข้าป่า ตอนนี้เอ็งยังเล็กนักให้อยู่เฝ้าหม้อยานี่แหละดีแล้ว ระวังอย่าให้ยาในหม้อข้าเหือดจนแห้งละ...ข้าจะรีบไป รีบกลับ...”
“ไม่รู้ ไม่ชี้ มะยมโกรธป้าลำเจียก”
ลำเจียกคร้านจะเถียงกับเจ้าตัวดี เลยตัดบทหมุนตัวเดินลงจากเรือนหลังน้อย ยกมือพนมไหว้เจ้าป่าเจ้าเขา ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง ลำเจียกเป็นหมอปรุงยา นำยาไปขายให้แก่หมอยาตามหมู่บ้านภายในละแวกเชิงเขา เพราะตัวลำเจียกมีความชำนาญในเรื่องพืชสมุนไพร ซึ่งถูกถ่ายทอดมาจากทางปู่ย่าตายาย จากรุ่นสู่รุ่น...
-------------------------------------
ซีกแก้มกลมดิกยังเหลือร่องรอยแดงฉานให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างของปลายนิ้วมือครบทั้งห้านิ้ว เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ เจ็บที่สุดคือถูกผัวตัวเองร่วมมือกับเกลอรักเหยียบย้ำหัวใจจนแหลกเหลวนี่แหละ...
แผ่นหลังบอบบางสั่นเทาจากแรงสะอื้น น้ำตาไหลราวกับเขื่อนแตก มะเฟืองวิ่งหนีเตลิดมาจนถึงท้ายหมู่บ้าน...รู้สึกอ่อนแรงจนต้องทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ใต้ต้นยางป่า...นานนับหลายชั่วโมง...ก็ยังร้องไห้ไม่เลิก
เสียงร้องไห้โหยหวนชวนทำให้ปลายเท้าของฤทธิ์ไม่อาจเลยผ่าน เขาเอี้ยวคอมองรอบตัว ดึกดื่นขนาดนี้ยังจะมีใครมานั่งร้องไห้ ขนในตัวฤทธิ์ลุกชัน รู้อย่างนี้เขารีบกลับพร้อมไอ้มิ่งแก้วซะน่าดีกว่า
ยิ่งก้าวเท้าเดิน เสียงร้องยิ่งฟังชัดเจน แน่ใจว่าเป็นเสียงคนร้องหาใช่เสียงผีสางนางไม้ ว่าแต่แล้วใครกันมานั่งร้องไห้
“ใคร?...” ฤทธิ์จึงตัดสินใจร้องถาม
“ฮือ...ฮือ...” เสียงร้องไห้ยังดังไม่หยุด ไม่ได้ยินที่เขาถามหรือไง คนดีหรือคนบ้าฤทธิ์ก็ไม่รู้เอาแต่ร้องไห้เสียงโหยหวนพิกล ฤทธิ์ยกไต้ในมือชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ เหวี่ยงไปตามถนนให้แสงสว่างนำทาง เสียงร้องดังมาจากทางต้นยางป่า หญ้าขึ้นรกท่วมหัว เข้าไปนั่งได้อย่างไรวะนั่น...
เดินเข้าไปอีกนิดจึงเห็นร่องรอยต้นหญ้าลู่ลงกับพื้นดินเป็นทางยาวลึกเข้าไปด้านใน บริเวณนี้มีแต่ต้นยางป่าขึ้นเองตามธรรมชาติ แสงจากไต้กระทบเข้ากับบางสิ่ง คุดคู้อยู่ตรงโคนต้น ฤทธิ์ใจหายวาบ หัวคิ้วใต้ดวงตาสีดำสนิทกดเข้าหากัน เพ่งสายตาฝ่าแสงไต้ในมือมองไปด้านหน้า
คนใช่ไหมนั่น? ไม่น่าจะใช่ผีหลอก ฤทธิ์ตะโกนถามให้แน่ใจ
“นั่นคนหรือว่าผี ...ทำไมข้าถามแล้วถึงไม่ตอบ”
ฤทธิ์ตัดสินใจเดินเข้าใกล้อีกนิด พยายามส่งเสียงดังเข้าช่วยข่มความกลัวในใจ ก้อนคุดคู่ใต้ต้นยางมีการเคลื่อนไหว ผมยาวยุ่งเหยิงปกลงมาปิดใบหน้าเกินครึ่ง ฤทธิ์เห็นแวบแรกเกือบผวาหนี ดีที่รีบตั้งสติได้เร็ว มองดีๆจึงเห็นว่าเป็นมะเฟือง
“มะเฟือง! หรือนั่น...” ถึงจะเห็นหน้าไม่ชัด ฤทธิ์พอจะจำโครงร่างกับใบหน้ากลมดิกเห็นเพียงซีกเดียวได้ สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นงุนงงอีกครั้ง แล้วมะเฟืองมานั่งทำไมตรงนั้นกลางค่ำกลางคืน
“ก็ร้องไห้อยู่...จะให้ตอบได้อย่างไรเล่า...” น้ำเสียงแหบแห้งสวนกลับมาพร้อมเสียงสูดน้ำมูกดังฟืดฟาด มะเฟืองเสยผมยุ่งเหยิงเปิดเผยใบหน้าชุ่มน้ำตาขึ้นมองร่างสูง ฤทธิ์ถอนหายใจยาวเหยียด สาวเท้าเดินเข้ามายอบตัวนั่งลงใกล้ๆ ยิ่งใกล้เลยได้เห็นใบหน้าบอบช้ำ
“เฮ้ย!แล้วนี่เอ็งไปปากดีใส่ใครมาวะนั่น ถึงได้ถูกเขาตบมาซะหน้าบวมฉึ่ง...” มือหยาบดึงใบหน้าเปียกชุ่มมาสำรวจใกล้ๆ นัยน์ตาคมกริบกวาดมองไปทั่วใบหน้ากลมดิก ยิ่งใกล้ยิ่งเห็นรอยนิ้วมือครบทั้งห้า ดวงตาคู่โตแดงก่ำ คงผ่านการร้องไห้มายาวนานสินะ
พอถูกถามหาคนตบ...มะเฟืองจึงโถมตัวเข้ากอดร่างหนาไว้แน่น ไขว่คว้าฤทธิ์ไว้เป็นที่พึ่งพาทางใจ...ฤทธิ์ที่ไม่ทันตั้งรับจึงเซล้มก้นจ้ำเบ้าไปทางด้านหลัง ดีที่ไม่พากันล้มทับไปบนหญ้าคัน มะเฟืองปล่อยเสียงโฮลั่นจนฤทธิ์ใจคอไม่ดี สภาพหนักขนาดนี้คงหนีไม่พ้นต้องเป็นฝีมือไอ้ดงทำเป็นแน่แท้
อย่าให้เขาเห็นหน้ามันเชียว พ่อจะต่อยเรียกสติมันสักสี
มีอย่างที่ไหน นอกใจเขายังไม่พอ ยังจะหน้าตัวเมียลงมือทำร้ายร่างกายเขาอีกด้วย
ฤทธิ์ยกมือใหญ่ขึ้นลูบหลังปลอบใจสาวถูกผัวนอกทั้งกายและใจ ปล่อยให้สาวเจ้าร้องไห้ไปเรื่อยๆโดยไร้ซึ่งคำพูดปลอบโยนตามนิสัยคนพูดน้อย
หัวคิ้วเข้มชนเข้าหากันเป็นระยะ จนเสียงสะอื้นเบาลง ใบหน้าบวมฉึ่งไปซีกผงกขึ้นจากหัวไหล่เปียกชื้น น้ำมูกไหลยืด เงยหน้าขึ้นมองที่เพิ่งเดียวในยามนี้ น้ำตายังกลบหน่วยตาทำให้เห็นใบหน้าคมคายไม่ชัด
หัวใจชอกช้ำจนเกินเยียวยา รักมากก็เจ็บมาก ทรมานมาก
“ฉันอยากตายจ้ะพี่...”
มะเฟืองตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ขอตายดีกว่าต้องมาใช้ชีวิตอย่างคนไร้หัวใจ คนหนึ่งก็ผัว อีกคนหนึ่งก็เพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ไหนจะทั้งการกระทำพร้อมคำพูด ตอกย้ำว่าเขาต้องการส้มแป้นไม่ใช่เธอ
เพี๊ยะ!
‘หยุดเดี๋ยวนะมะเฟือง...’ เสียงฝ่ามือฟาดมายังใบหน้าตนเอง ยังคงดังกึกก้องอยู่ในรูหู เรียวแขนเล็กถูกผัวใจดำกระชากจนรู้สึกเจ็บแปลบ แต่ทว่าความรู้สึกเจ็บยังเทียบไม่ได้กับความเจ็บตรงซีกแก้มขวาหลุดร่วงลงมาจนถึงกลางหน้าอกข้างซ้าย ดวงตาเจ็บปวดตวัดมองผัวร้าวราน เลยไปทางผู้หญิงหน้าหนาที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนรักมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ส้มแป้นยืนยิ้มซะใจ เบียดกระแซะโอนซบร่างอ่อนระทวยเข้าหาชายที่ขึ้นชื่อว่ามีเมียยืนหัวโด่
ดงนิ่วหน้าทำท่าจะสลัดอีกฝ่ายทิ้ง ราวกับนึกอะไรขึ้นได้...ท่าทีของดงที่แสดงออกมาจึงตรงกันข้ามกับความคิดในหัว เขาโอบร่างส้มแป้นมากอดปลอบ ส่งสายตาดุดันไปให้อีกคน
‘พี่ดงตบหน้าฉันหรือ?...’ ถามพร้อมยกมือขึ้นแตะซีกแก้ม รู้สึกชาหนึบ
‘เออ...ข้าตบเอ็งเพื่อจะเรียกสติ จะได้เลิกแหกปากโวยวาย อาละวาดเหมือนผีบ้ามาขอส่วนบุญ...’ แต่เรียกสติเพียงคนเดียว ทั้งที่อีกคนก็ทำไม่ต่างกันนี่นะ มะเฟืองเจ็บยอกในทรวงอก แววตาที่ใช้มองผัวมีแต่ความปวดร้าว
คนตบระบายลมหายใจจนปลายจมูกบาน ความจริงเมื่อสักครู่เขาไม่ได้ตั้งใจจะตบมะเฟืองด้วยซ้ำ มือมันพลาดไปโดน เขาตั้งใจแค่จะเข้าไปห้ามปราม ไม่ให้ทั้งคู่ทะเลาะตบตีกันด้วยเรื่องนี้ ไม่ใช่อะไรหรอก...กลัวชาวบ้านจะมาได้ยิน มันไม่ใช่เรื่องดีงาม หากนำไปเล่าลือ คนอับอายคงหนีไม่พ้นสองครอบครัว เขาไม่กลัวอายเพราะว่าตัวคนเดียว อย่างมากก็แค่ถูกพี่ทัพด่าเปิง
ตอนนี้เขากำลังทำเรื่องบิดเบี้ยวให้มันเข้ารูปเข้ารอย เขาบอกกับมะเฟืองไปแล้วว่าจะส่งเจ้าหล่อนกลับคืนเรือนพ่อกับแม่ รอเพียงแค่เวลาเหมาะสม คิดว่าคงอีกไม่กี่วันนี้หรอก
‘พี่จะเรียกสติฉันเรื่องอะไร?...หรือว่าจะเรียกให้ฉันตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงที่ว่าทั้งผัวแล้วก็เพื่อน ร่วมมือกันทำเรื่องเลวระยำตำบอนแอบไปสมสู่ลับหลังฉันอย่างนั้นหรือ...’ น้ำตามากมายร่วงผล็อยอาบแก้ม ไม่รู้จะต้องเสียน้ำตาอีกสักเท่าไร เขาถึงจะเห็นเธออยู่ในสายตาสักเศษเสี้ยว
ส้มแป้นยื่นหน้าออเซาะออกมาเย้ยหยันซ้ำเติม กระทืบเท้าบนหัวใจยับเยินของมะเฟืองด้วยประโยคต่อมา
‘กูไม่ได้ทำเรื่องระยำตำบอน มึงต้องจำใส่กะลาหัวโง่เง่าของมึงเอาไว้ด้วยว่า กูกับพี่ดงได้เสียเป็นผัวเมียกันมาก่อนเขาจะถูกนายบ้านบังคับให้ผูกข้อมือกับมึงด้วยซ้ำ อ้อ...แล้วสิ่งที่มึงไม่รู้อีกเรื่อง พี่ดงเขาขอกูกับนายบ้าน แต่นายบ้านไม่ยกให้ เขาถึงต้องจำใจยอมรับมึงเป็นเมีย ทีนี้มึงก็รู้แล้วสินะ คนที่คิดจะแย้งผัวเพื่อน คือมึงนะ ไม่ใช่กู’
ดงได้บอกเรื่องนี้ให้เธอฟังในวันที่เขาบอกจะส่งเธอคืนให้พ่อกับแม่ คราแรกมะเฟืองยังหลงเข้าใจคิดว่าคงเป็นเรื่องแต่งขึ้นจากดง พอมาได้ยินจากปากของส้มแป้นอีกคน เห็นทีคงเป็นเรื่องจริงสินะ ความจริงแสนโหดร้าย ทำให้มะเฟืองเดินลงเรือนมาโดยสภาพจำยอม
ถ้าเพียงแค่เธอรู้เรื่องความสัมพันธ์ลับๆนี้ระหว่างพี่ดงกับส้มแป้น ต่อให้หัวใจคิดรักเขาสักเพียงใด ถ้าเป็นผัวของเพื่อนเธอจะรีบถอยห่างออกมาทันที ยิ่งเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก ผ่านเรื่องราวมากมายร่วมกันมา ความผูกพันนี้ทำให้มะเฟืองไม่คิดหันกลับมามองสองคนบนเรือนหอ...
“จะให้ข้าช่วยอย่างไรเล่า?” ฤทธิ์ถามตรงๆ ไม่คิดรั้งคนอยากตายไว้ด้วยคำพูดปลุกปลอบ ถ้าอยากตายนักเขาจะจัดให้
มะเฟืองส่ายหัว ก้มหน้าลงต่ำ หมดกำลังกายกำลังใจจะคิดหาวิธี
“ไม่รู้สิ พี่ก็ช่วยฉันหาวิธีหน่อยก็แล้วกัน”
-----------------------------------------