บทที่ 3 แก้วตาดวงใจ
ข่าวการมีทายาทพร้อมกันทั้งชายหญิงของจ้าวเสวี่ยดังไปทั่วทั้งเมืองหลวง เพื่อนพ้องขุนนางทั้งหลายต่างพากับตบเท้ามาร่วมแสดงความยินดีกับรองเสนาบดีกรมขุนนางผู้นี้กันอย่างไม่ขาดสาย กระทั่งฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือเศียรของคนทั้งปวงยังร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้ด้วย
นั่นจึงยิ่งทำให้ผู้คนต่างได้รู้ว่าจ้าวเสวี่ยผู้นี้เป็นขุนนางคนหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยกับฝ่าบาท เห็นอย่างนั้นผู้คนที่หวังพึ่งพาอำนาจและผลประโยชน์ต่างก็ยิ่งพากันเข้าหาจ้าวเสวี่ยมากขึ้น จากคนที่มีอำนาจเงินทองมากมายอยู่แล้ว เวลานี้จ้าวเสวี่ยกลับยิ่งมีบารมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก ผลที่ตามมาจึงหนีไปพ้นเด็กน้อยสองคนที่ไม่แคล้วจะถูกดึงไปใช้เป็นตัวหมากในการสร้างและขยายอำนาจของนักล่าอำนาจทั้งหลาย
จ้าวเสวี่ยที่พึ่งจะมามีบุตรเอาเมื่อตอนแก่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงบุตรชายกับบุตรสาว เขาตั้งใจไว้แล้วจะสั่งสอนเด็กน้อยทั้งสองที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขาอย่างดีเพื่อที่ว่าวันหนึ่งเด็กน้อยทั้งสองจะสามารถปกป้องตัวเองจากอันตรายที่อยู่รอบกายได้
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าจะคิดเห็นเช่นไร? หากพี่จะมีลูกกับสตรีอื่นอีกสักคน” จ้าวเสวี่ยเอ่ยถามผู้เป็นภรรยาขึ้นในคืนหนึ่ง
เวลานี้อู๋เยว่ฉินเป็นฮูหยินเอกที่เพียบพร้อม นางมีทั้งบุตรชายและบุตรสาวให้ผู้เป็นสามี ฐานะในจวนตระกูลจ้าวของนางในเวลานี้เรียกได้ว่ายิ่งเสียกว่ามั่นคง ดังนั้นเวลานี้นางจึงมีน้ำหนักในใจของผู้เป็นสามีไม่น้อย ระยะมานี้จะทำการสิ่งใดเขาจึงมักจะปรึกษานางก่อนเสมอ
ภรรยาสาวฟังแล้วได้แต่เม้มริมฝีปากเข้าหากันจนแทบเป็นตรง นางในเวลานี้เป็นเพียงสตรีแม่ลูกอ่อนที่ไม่สามารถปรนนิบัติสามีได้ หากเขาเอ่ยปากเช่นนี้นางหรือจะสามารถห้ามปรามอะไรเขาได้
“น้อง...แล้วแต่ท่านพี่เจ้าค่ะ”
จ้าวเสวี่ยยิ้มบางๆ ก่อนจะรั้งเรือนกายบางของภรรยาเข้ามาในอ้อมกอด “อย่าเพิ่งงอนพี่ไป การที่พี่อยากมีลูกอีกสักคนก็ทำเพื่อเจ้าก้อนแป้งสองก้อนนี้” จ้าวเสวี่ยเอ่ยยิ้มๆ พร้อมกับทอดสายตามองสองทารกน้อยวัยสองเดือนที่กำลังหลับอยู่
จ้าวเสวี่ยยิ้มบางอีกครั้งเมื่อเห็นร่องรอยความงุนงงสงสัยในแววตาของภรรยาสาว
“เวลานี้ทุกคนต่างรู้ว่าก้อนแป้งน้อยสองก้อนนี้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพี่ หากมีคนเอ็นดูพวกเขาก็แล้วไป แต่แน่นอนว่ามีคนเอ็นดูย่อมต้องมีคนอิจฉา ภายภาคหน้าพวกเขาอาจจะได้รับอันตรายจากความอิจฉาริษยาเหล่านี้ โดยเฉพาะปิงเอ๋อร์ นางเกิดมาเป็นหญิง แน่นอนว่าภายหน้าจะต้องแต่งออกไปเพราะเหตุผลทางการเมือง ดังนั้นแล้วจะเป็นการดีที่สุดหากพี่มีลูกสาวอีกสักคนมาเพื่อทำหน้าที่นี้แทนนาง นางจะได้อยู่กับพวกเรานานขึ้นอีกหน่อย”
“อีกอย่าง เวลานี้เรือนหลังมีสตรีมากมายเกินไป พี่จึงคิดจะให้พวกนางจากไปเสีย เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องยุ่งยากรำคาญใจกับพวกนางอีก...หลังจากวันนี้ไปพี่จะไปนอนกับพวกนางทุกคน หลังจากนั้นก็นับไปอีกสองเดือน หากคนใดที่สามารถตั้งครรภ์ได้พี่ก็จะเลี้ยงไว้ หากคนใดไม่มีพี่ก็จะมอบเงินให้ออกไปตั้งตัวที่อื่น”
อู๋เยว่ฉินยิ้มบางกับความคิดของผู้เป็นสามี อันที่จริงนางไม่เห็นด้วยเลยกับการที่สามีจะมีลูกกับหญิงอื่นอีก อีกทั้งหากเขาต้องการจะเลิกราหย่าขาดกับอนุภรรยาเหล่านั้นจริงๆ ลำพังแค่มอบเงินให้ไปตั้งตัวเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องร่วมหลับนอนกับพวกนางเพื่อให้มีทายาทเพิ่มเลยสักนิด
ทว่า...แม้ในใจจะคิดอย่างนั้นทว่าภรรยาที่ดีย่อมต้องเชื่อฟังสามี ดังนั้นแม้ใจไม่อยากยอมรับ แต่ปากก็ไม่สามารถเอ่ยปฏิเสธออกไปได้
อย่างไรเสียเวลานี้นางก็ทำได้เพียงล่องเรือตามน้ำไป อีกทั้งในใจลึกๆ ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าสตรีนางใดในเรือนจะตั้งท้องต่อจากนาง
เพราะถึงอย่างไรแล้วต่อให้พวกนางเหล่านั้นตั้งครรภ์อีกสักคนสองคน ทว่านางก็ยังคงเป็นฮูหยินเอกของจวนแห่งนี้
เมื่อคิดได้อย่างนั้นอู๋เยว่ฉินก็พยักหน้ารับพร้อมกับรอยยิ้มอ่อน ยินยอมให้สามีมีบุตรกับสตรีคนอื่นในเรือนหลัง
“เยว่เอ๋อร์...จำไว้ให้ดีว่าเจ้ากับลูกทั้งสองคือแก้วตาดวงใจของพี่”
“เจ้าค่ะ น้องจะจำเอาไว้”
และหลังจากที่พูดคุยกับสามีในวันนั้นแล้ว คืนต่อมาเขาก็ทำตามอย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ จ้าวเสวี่ยไปนอนค้างที่เรือนอนุนางอื่นจนกระทั่งครบเดือน หลังจากนั้นเขาก็หยุดการกระทำดังกล่าวและเฝ้ารอฟังข่าวว่าจะมีสตรีนางใดตั้งครรภ์ขึ้นมาอีกหรือไม่
กระทั่งสองเดือนต่อมาหม่าชิงจูก็เกิดล้มป่วย สาวใช้คนสนิทของนางรีบไปตามหมอหลวงมาดูอาการผู้เป็นนายด้วยความร้อนอกร้อนใจ
อู๋เยว่ฉินเมื่อรู้ข่าวก็เกิดมีใจห่วงใยอีกฝ่ายขึ้นมาจึงได้สั่งให้เหลียนฝางผู้เป็นสาวใช้คนสนิทมาเยี่ยมอาการป่วยของอนุหม่าถึงที่เรือนของอีกฝ่าย
ทว่า...ข่าวที่เหลียนฝางนำกลับไปบอกกับอู๋เยว่ฉินนั้นกลับไม่นับว่าเป็นข่าวที่น่ายินดีสักเท่าไหร่นัก เพราะความจริงแล้วหม่าชิงจูนั้นหาได้ล้มป่วยร้ายแรงอันใดไม่และสาเหตุที่นางเป็นลมล้มพับไปนั้นก็เพราะว่านางกำลังแพ้ท้องต่างหาก
ใช่...เวลานี้หม่าชิงจูกำลังตั้งครรภ์บุตรของจ้าวเสวี่ยอยู่!
“มิคิดเลยว่าเจ้ากับข้าจะมีชะตาร่วมกันเช่นนี้” ผู้เป็นฮูหยินเอกของจวนเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากเหลียนฝาง
เวลานี้นางอยู่เพียงลำพังในห้องนอนกับทารกน้อยทั้งสองผู้เป็นบุตรสาวบุตรชายของนาง คืนนี้ผู้เป็นสามีของนางส่งคนมาบอกกับนางว่าเขาจะไม่ได้มานอนค้างที่เรือนหลังนี้เฉกเช่นทุกวัน ซึ่งสาเหตุนั้นคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเขาจะต้องอยู่เป็นเพื่อนอนุคนงามที่กำลังแพ้ทองอย่างหนักที่เรือนของอีกฝ่าย
อันที่จริงอู๋เยว่ฉินน่าจะคิดได้ว่าสามีของนางนั้นอยากได้ลูกมากเพียงใด เขารอเวลาที่จะเป็นพ่อคนมาไม่รู้กี่ปี ครั้นพอมีบุตรได้สักคนเขาก็เกิดความติดใจอยากมีคนต่อไปอีกเรื่อยๆ มีหรือที่เขาจะสามารถหยุดความต้องการอยากมีทายาทเยอะๆ นั้นของตนเองได้
แล้วที่เขาแกล้งทำทีมาปรึกษานางเรื่องต้องการมีบุตรกับสตรีอื่นอีกโดยให้เหตุผลว่าทำเพื่อชิงเอ๋อร์กับปิงเอ๋อร์ ทุกอย่างนั้นก็เป็นเพียงวาจาเลื่อนลอยหลอกล่อให้นางตายใจเพียงเท่านั้น เขาแสร้งกระทำเช่นนั้นเพื่อเป็นการให้เกียรตินางเพราะถึงอย่างไรคนที่มีทายาทให้เขาได้ก่อนก็คือนาง ต่อให้เขาไม่รักนางจากใจจริงแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องให้เกียรตินางที่เป็นฮูหยินเอกของเขาอยู่ดี
แก้วตาดวงใจรึ?
คำคำนี้บุรุษผู้นั้นคงยินดีที่จะใช้กับลูกของหม่าชิงจูมากกว่าบุตรชายหญิงทั้งสองของนาง...ในเมื่อเขาและหม่าชิงจูเคยเป็นคู่กันในวัยเด็ก
ทว่าด้วยสาเหตุที่ตระกูลเดิมของหม่าชิงจูต้องโทษอาญาและถูกเนรเทศออกนอกเมืองหลวงเป็นเวลาสิบปี ครั้งเมื่อโทษทัณฑ์นั้นสิ้นสุด หม่าชิงจูจึงได้กลับเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้อีกครั้ง แต่เพราะเรื่องราวในอดีตทำให้นางไม่สามารถแต่งเป็นภรรยาเอกของผู้ใดได้ ทำให้แม้ในใจจะอาลัยอาวรณ์คนรักในวัยเยาว์มากเพียงใด จ้าวเสวี่ยก็ทำได้เพียงแต่งนางเข้ามาเป็นอนุผู้หนึ่งเท่านั้น
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ทั้งจ้าวเสวี่ยและหม่าชิงจูต่างก็เก็บเป็นความลับมาโดยตลอดและสาเหตุที่นางรู้เรื่องนี้ก็เป็นเพราะมารดาของนางนำเรื่องนี้มาบอกให้รู้หลังจากที่นางคลอดเจ้าก้อนแป้งน้อยสองก้อนนี้แล้ว
“ชิงเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์ แม่จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเจ้าทั้งสอง เจ้าสองคนจะต้องเติบโตมาเป็นอย่างดีนะรู้ไหม...แก้วตาดวงใจของแม่”