บทที่ 1 สิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในยุคที่สตรีมิอาจมีสิทธิ์มีเสียงเทียบเท่าบุรุษ ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกนางต่างต้องตกอยู่ในภายใต้การชี้นำของบิดา สามีและบุตร ต่างกันไปตามวาระ เดินตามกรอบจารีตประเพณีที่ถูกลิขิตไว้แต่โบร่ำโบราณ ไร้อิสรเสรีทางความคิด ชีวิตนี้เกิดมาก็เพื่อทำตามความต้องการของผู้อื่นเท่านั้น
อู๋เยว่ฉินก็เป็นหนึ่งในสตรีเหล่านั้นที่ไม่สามารถเลือกทางเดินของตนเองได้ อายุสิบห้าบิดาจัดแจงให้นางแต่งงานกับขุนนางขั้นสามอายุอานามใกล้สี่สิบผู้หนึ่ง คนผู้นั้นมากมายด้วยภรรยารองและอนุอยู่เต็มเรือนหลัง แต่กลับไร้ซึ่งทายาทสืบสกุลแม้แต่คนเดียว
ท่านหมอจากทั่วสารทิศล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาไม่ได้เป็นหมัน หากแต่เขาไม่สามารถทำให้สตรีนับสิบนางในเรือนหลังตั้งท้องได้เลยสักคน ช่างเป็นเรื่องน่าขันที่สุดในเมืองหลวง
เมื่อบุรุษบอกว่าตนเองไม่ได้ไร้น้ำยา เคราะห์กรรมทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่สตรีในเรือนหลังทั้งสิบ พวกนางถูกด่าทอว่าเป็นแม่ไก่ที่ไม่สามารถออกไข่ ถูกมองเป็นคนไร้ประโยชน์ทั้งๆ ที่หาใช่ความผิดของพวกนางสักนิดไม่
ทว่า...ในยุคที่บุรุษเป็นใหญ่ นอกจากก้มหน้ารับเอาถ้อยคำวาจาร้ายกาจนั้นแล้วพวกนางจะทำอะไรได้อีก...
“ฮูหยิน ท่านจะไปกับพวกข้าหรือไม่” หม่าชิงจูหรือหม่าอี้เหนียง หนึ่งในบรรดาอนุของจ้าวเสวี่ยเอ่ยถามอู๋เยว่ฉินผู้เป็นฮูหยิน
เพราะคนในจวนตระกูลจ้าวหลังนี้ที่ร้ายกาจที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าบ้านอย่างจ้าวเสวี่ย ดังนั้นแล้วสตรีในเรือนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นฮูหยินเอก ฮูหยินรองหรือแม้แต่บรรดาอนุจึงมีความรักใคร่ปรองดองกันอย่างผิดวิสัย พวกนางไม่เคยชิงดีชิงเด่นหรือยื้อแย่งความรักจากผู้เป็นสามีเลยสักนิด เนื่องด้วยเหตุผลอะไรนั้นพวกนางต่างรู้แก่ใจดี
จ้าวเสวี่ยอายุสามสิบเก้าแล้วในปีนี้...ทว่าตระกูลจ้าวกลับยังไร้ทายาทสืบสกุล อย่าว่าแต่ทายาทชายเลย ทายาทหญิงสักคนก็ไม่เคยมีมาเกิดในท้องของสตรีคนไหน เรื่องนี้นับว่าสร้างความหนักใจให้แก่จ้าวเสวี่ยเป็นที่สุด
อีกทั้งคนผู้นี้ยังใจแคบเกินกว่าจะรับก้อนเลือดของผู้อื่นเป็นมาเป็นบุตรบุญธรรมของตนอีกต่างหาก
“เทวาลัยแห่งนี้ผู้คนในเมืองนั้นต่างเล่าลือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก ไม่แน่ว่าท่านอาจจะมีบุญกุศลหรือชะตาตกต้องกับทวยเทพที่นั่น พวกเขาอาจจะประทานบุตรให้เราก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
อู๋เยว่ฉินมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง
เวลานี้พวกนางถูกสามีกดดันและด่าทอเรื่องที่ไม่มีใครสักคนตั้งท้องกันเช้าเย็น ยิ่งกว่าความน่ารำคาญคือความไม่มั่นคงของชีวิต
จ้าวเสวี่ยเป็นถึงขุนนางขั้นสามตำแหน่งรองเสนาบดีกรมขุนนาง ยศตำแหน่งของเขานับว่าไม่เป็นที่น้อยหน้าผู้ใดในเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นขุนนางคนโปรดคนหนึ่งของฮ่องเต้ ความร่ำรวยที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูลจ้าวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทรัพย์สมบัติของเขาทำให้พวกนางมีกินมีใช้อย่างสุขสบายไปทั้งชาติ
ดังนั้นแล้วสิ่งเดียวที่คนผู้นี้ไม่มีก็คือบุตร
ฉะนั้นพวกนางไม่ว่าคนใดจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อตั้งครรภ์ให้ได้ ยกเว้นเส้นทางสวมหมวกเขียว เพราะจ้าวเสวี่ยแน่นอนว่าไม่ใช่คนดีที่จะยินยอมเลี้ยงลูกของบุรุษอื่น
ในเมื่อหมอกี่คนๆ ต่างก็บอกว่าจ้าวเสวี่ยไม่ได้เป็นหมัน พวกนางที่เป็นภรรยาจึงมีหน้าที่ทำอย่างไรก็ได้ให้ตนเองตั้งครรภ์ การสักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และทวยเทพจึงเป็นทางหนึ่งที่พวกนางทั้งสิบเลือกที่จะทำ
เพราะถ้าไม่พึ่งพาบารมีขององค์เทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาแล้ว พวกนางก็ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งสิ่งใดได้อีก
วันต่อมาบรรดาสตรีในเรือนหลังของตระกูลจ้าวก็พากันเดินทางมาถึงเมืองอี๋ เมืองเล็กๆ ทางตะวันตกของแคว้นอัน อยู่ห่างจากเมืองอ้ายซ่างอันเมืองหลวงอยู่ราวเจ็ดร้อยลี้ใช้เวลาเดินทางประมาณสามวัน
และเมื่อมาถึงตีนเขาอันเป็นทางขึ้นไปสู่เทวาลัย พวกนางทั้งสิบต่างก็ต้องเดินเท้าขึ้นไปเนื่องจากหนทางขึ้นเขานั้นทั้งเล็กและแคบ รถม้าไม่สามารถสัญจรไปมาได้
อู๋เยว่ฉินกับหม่าชิงจูประคองกันเดินขึ้นมาถึงยอดเขาก่อนคนอื่นๆ พวกนางสองคนไม่รอช้าที่จะจุดธูปสักการะเทวรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในเทวาลัยนั้นทันทีพร้อมกับถวายเครื่องบูชาที่นำมาทั้งผลไม้และของคาวหวาน
“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หากชาตินี้ข้ามีวาสนาได้ทำหน้าที่ของมารดา ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้โปรดดลบันดาลประทานบุตรให้ข้าน้อยด้วยเถิด”
ครั้นอธิษฐานเสร็จอู๋เยว่ฉินก็ยื่นมือไปปักธูปไว้ในกระถาง ทว่าในจังหวะที่กำลังปักอยู่นั่นนิ้วของนางกลับถูกก้านธูปบาดมือจนเลือดออก
“เอ๊ะ?”
“ฮูหยินเป็นอะไรมากหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่...ไม่เป็นไร” อู๋เยว่ฉินชักมือของตนเองมาดูก่อนเอ่ยตอบ โดยที่นางไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าเลือดของนางนั้นได้หยดลงไปในกระถางธูปด้วย
และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือเลือดหยดนั้นซึมหายไปอย่างรวดเร็วและไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ ให้เห็นเลยแม้แต่นิด
“ไปกันเถอะ ให้คนอื่นได้มากราบไหว้บูชาบ้าง”
“เจ้าค่ะ”
คล้อยหลังที่อู๋เยว่ฉินและหม่าชิงจูเดินออกไปก็มีอนุคนอื่นๆ รวมไปถึงชาวบ้านมากราบไหว้บูชาองค์เทวรูปต่อ แต่กลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่ามีแสงสีแดงเปล่งประกายออกมารอบๆ เทวารูปองค์นั้น
“เลือด? ...นี่ข้าไม่ได้กลิ่นของเลือดนี้มากี่พันปีแล้ว...ในที่สุดก็มีคนบูชาข้าด้วยเลือด! ฮ่าๆ”