สามวันก่อนหน้า...
บิดาของเสวียนหนิงอันมิชอบการเดินทางเข้าเมืองหลวงนัก แต่ครั้งนี้นับว่ายังพอยอมรับได้ เนื่องจากพระชายาคนงามเสวียนซือชิง รวมทั้งบุตรสาวและบุตรชายร่วมทางมาด้วย เดิมทีจวนของตวนอ๋องเฉินฟาหยาง เงียบเหงาไร้ผู้คนเยี่ยมเยียน ทว่าช่วงเวลานี้กลับมีหลายชีวิตเดินเข้าออกจนพ่อบ้านชราหวังอู่แทบเป็นลมเพราะความเหนื่อยวันละหลายครั้ง
เหล่าขุนนางล้วนทราบดีว่าตวนอ๋องเลื่องชื่อมิค่อยชอบเมืองหลวง แต่จำต้องแวะเวียนมาเพราะบุตรชายอายุห้าขวบเศษแล้ว สมควรแก่เวลาที่ต้องศึกษาเล่าเรียนอย่างจริงจัง การเดินทางเข้าเมืองหลวงครั้งนี้จึงมีเป้าหมายสำคัญ นั่นคือการคัดเลือกบัณฑิตมากความสามารถในด้านต่าง ๆ มารับหน้าที่อาจารย์ของคุณชายน้อยเฉินหราน
มีข่าวลือว่าองค์ฮ่องเต้เหวินจวินพยายามเหนี่ยวรั้งพระอนุชาให้อยู่ในเมืองหลวง อ้างเหตุผลนานัปการ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมตามใจอีกครา โดยมิลืมกำชับว่าหลังจากบุตรชายอ่านเขียนคล่องแคล่วแล้วก็ให้เข้าร่วมศึกษากับเหล่าองค์ชายในวังหลวง เรื่องราวทุกอย่างดูราบรื่นจนกระทั่งเสวียนหนิงอันทราบอีกเป้าหมายสำคัญของบิดา
‘ถึงเวลาออกเรือนแล้ว ต่างเมืองไม่มีบุรุษใดคู่ควร…’
เสวียนหนิงอันผ่านพิธีปักปิ่นได้ปีกว่า แต่กลับไม่มีบุรุษใดในเมืองที่นางอาศัยอยู่หาญกล้าเข้ามาทำความรู้จัก อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงแอบมอง ทุ่มเทเงินจำนวนมากซื้อข้าวของในร้านค้าที่นางดูแล เพื่อที่จะได้ยลโฉมคุณหนูเสวียนให้นานสักหน่อย ทว่าทุกครั้งที่ตวนอ๋องเฉินฟาหยางปรากฏตัว เหล่าคุณชายก็จะหายไปในชั่วพริบตา
เหล่าคุณชายล้วนหวาดกลัวบิดาของเสวียนหนิงอัน…
หากจะมีบุรุษใดคู่ควรและหวาดกลัวตวนอ๋องน้อยลงสักสามส่วนก็ย่อมต้องเป็นคุณชายสกุลดังที่รั้งตำแหน่งสำคัญในเมืองหลวง เฉินฟาหยาง หวงบุตรสาวอย่างมาก เรื่องนี้เป็นที่รู้กันโดยทั่ว ยามถึงเวลาที่นางต้องออกเรือนเขาจึงคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน ถึงขั้นละวางนิสัยรักความสงบ เปิดโอกาสให้เหล่าขุนนางชั้นสูงพาบุตรชายแวะเวียนเข้ามาสนทนาถึงในจวน
ทว่าทำเช่นนั้นได้ไม่นานตวนอ๋องก็หมดความอดทนเพราะมิได้อิงแอบพระชายาคนงามได้บ่อยตามใจปรารถนา หลังจากผ่านไปได้หลายวันเขาจึงทำตามคำแนะนำขององค์ชายรัชทายาทเหวินอวิ๋นฝู จัดงานเลี้ยงก่อนออกจากเมืองหลวง ถือโอกาสคัดเลือกบุรุษที่เหมาะสมกับเสวียนหนิงอันด้วยตนเองอีกครั้ง
งานเลี้ยงอำลาในวันนี้จึงเกิดขึ้น ทุกอย่างในจวนดูสับสนวุ่นวาย ส่วนโฉมงามในวัยสิบหกปีที่ทราบถึงจุดประสงค์ของงานก็ขุ่นเคืองบิดาอย่างมาก ถึงขั้นมิยอมออกจากห้องเลยทีเดียว
เสวียนหนิงอันบอกกับมารดาว่ายังมิอยากแต่งงาน อยากอยู่ตำหนักเยว่ฉีนอกเมืองต่อไปเรื่อย ๆ นึกไม่ถึงว่านอกจากท่านแม่จะไม่ตามใจแล้วยังเตือนให้นางเชื่อฟังคำของบิดาให้มาก แต่สิ่งที่ทำให้นางเงียบงันไม่โต้แย้งกลับเป็นคำถามง่าย ๆ
‘หรือว่ายังปักใจรักคนผู้นั้น…’
เสวียนหนิงอันส่ายหน้าแรง ๆ ปฏิเสธพัลวัน ทว่ามารดาย่อมทราบถึงความรู้สึกของบุตรสาวดี จึงตักเตือนอย่างอ่อนโยนและถนอมน้ำใจที่สุด กล่าวถึงความไม่เหมาะสมอีกหลายประการ แน่นอนว่านางแสร้งรับฟัง แสดงทีท่าว่าเข้าใจ ทว่าหัวใจดวงน้อยกลับต่อต้านรุนแรง และพอได้อยู่ตามลำพัง ก็พลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อนที่ตำหนักเยว่ฉี
เขาคนนั้นปรากฏตัวในพิธีปักปิ่นของนาง...
เดิมทีคิดว่าตนแค่ติดเขามาก เพราะตั้งแต่จำความได้ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มก็อยู่ในความทรงจำของนางแล้ว เสวียนหนิงอันจำได้ดีว่านางร้องไห้จนตาบวมเมื่อทราบว่าเขาต้องอยู่ดูแลกิจการในเมืองหลวง ไม่สามารถตามนางกลับไปยังต่างเมืองได้ มือเล็กยึดแขนเสื้อสีขาวไว้แทบขาด จนเขาต้องสัญญาว่าจะแวะไปเยี่ยมที่ตำหนักเยว่ฉีบ่อย ๆ นางจึงไม่ร้องไห้อีก
เขาทำตามสัญญา แวะเวียนไปเยี่ยมนางปีละครั้ง แต่ละครั้งเห็นหน้าไม่เกินสามวันก็ต้องจากลา ยามนางอายุได้สิบปี เขาก็ถูกครอบครัวกดดันให้แต่งงาน ทำหน้าที่บุตรชายที่ดีของตระกูล
เขาไม่ได้มาเยี่ยมนางอีก…
เสวียนหนิงอันหัวเราะตนเองทั้งน้ำตาเมื่อทราบเรื่องว่าเขาต้องเข้าพิธีวิวาห์ นางเติบโตมากกว่าเด็กสาวในวัยเดียวกัน ความคิดอ่านย่อมไม่ธรรมดา หลังจากไตร่ตรองไม่นานก็สรุปได้ว่าความรู้สึกที่มีเป็นเพียงการยึดติดกับความทรงจำ ในเมื่อเขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว นางก็ไม่ควรเปลืองหัวใจหรือสมองคิดถึงบุรุษที่มีเจ้าของ
นางไม่เห็นเขานานถึงห้าปี ทั้งยังไม่สนใจข้าวของที่ส่งมาให้ในทุก ๆ วันเกิด ทว่าพอเห็นหน้าเขาไกล ๆ ในวันปักปิ่นเมื่อปีก่อน เสวียนหนิงอันกลับตระหนักได้ในทันทีว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทุกความรู้สึกยังคงเหมือนเดิม
ไม่สิ...รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าต่างหาก
สายตาของเขายามมองมาทำให้เสวียนหนิงอันรู้สึกว่าตนเป็นเพียงขี้ผึ้งก้อนหนึ่งที่ถูกความร้อนค่อย ๆ เผาไหม้อย่างเชื่องช้า ไร้ซึ่งความปรานี นอกจากนั้นหัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอกลับรู้สึกคล้ายถูกบีบรัดอย่างน่าประหลาด และในยามที่เขาหรี่ตามองมาก่อนค่อย ๆ เบือนหน้าหนี นางก็พลันรู้สึกชาวาบทั้งร่างกายและหัวใจ
เขาเปลี่ยนไปเพราะความสูญเสีย…
เสวียนหนิงอันอยากเข้าไปพูดคุย แสดงความเสียใจเรื่องภรรยาและบุตรของเขาหลังจากพิธีจบลง ทว่าท่านป้าเสี่ยวผิงกลับแจ้งว่าเขากลับเมืองหลวงไปแล้ว นางจึงไม่ได้เห็นหน้าเขาอีก ไม่ได้ปลอบใจเขาเหมือนที่เขาเคยปลอบใจนาง ไม่ได้ออดอ้อนให้ได้หัวเราะอารมณ์ดี
ยามนั้นนางไม่ได้คาดหวังสิ่งใดตอบแทน ไม่ได้คิดวางแผนครอบครองเป็นเจ้าของ มีเพียงความห่วงใยมอบให้เท่านั้น ในช่วงเวลานั้นเสวียนหนิงอันบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
เสวียนหนิงอันบริสุทธิ์ใจจนกระทั่งทราบว่าบิดาต้องการให้หมั้นหมายและออกเรือน แผนการร้ายกาจจึงผุดขึ้นมาในสมองอันชาญฉลาดของนาง
‘คุณหนูเจ้าคะ… มาแล้วเจ้าค่ะ’