“แล้วกลีบดอกเหมยกุ้ยเล่า”
“จำได้ว่าที่บ้านต่างเมืองของท่านอามีดอกเหมยกุ้ยเต็มสวน หากนำมาลอยน้ำให้พอมีกลิ่นหอม ท่านอาน่าจะชอบเจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันช้อนตามองเขาอย่างมีความหวัง นางหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ตรงใจ การมองอย่างออดอ้อนเย้ายวนใจนั้นทำให้หลี่จินหมิงถึงกับตกอยู่ในภวังค์ ลุ่มหลงในความงามแสนเย้ายวนไร้เดียงสาของนางเพิ่มอีกหลายส่วน
เสวียนหนิงอันคนงามเปรียบได้ดั่งดอกเหมยกุ้ย ความงามของนางยั่วยุให้บุรุษที่คิดว่าควบคุมตนเองได้ดีเช่นหลี่จินหมิงแทบคลั่ง เบื้องล่างตื่นตัวและปวดหนึบจนอยากจะเข้าไปบรรเทาอาการอยู่หลังฉากกั้นตามลำพัง แต่ในเมื่อยังนวดยาให้นางไม่แล้วเสร็จ เขาจึงยังทำอันใดไม่ได้
“ชอบจริง ๆ ชอบดอกเหมยกุ้ยมานานแล้ว” หลี่จินหมิงเกลียดตนเองที่เผลอกล่าวความนัยออกไปเช่นนั้น จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “แล้วเรื่องที่คาดเดาว่าข้าจะไม่พอใจเล่า”
“เรื่องที่ข้าลดขนมของท่านให้เหลือชิ้นเดียว ทั้งยังมิให้ดื่มชาที่เข้มเกินไปเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันเห็นเขาวางมือและเก็บตลับยาแล้วจึงลุกขึ้นยืนอย่างเรียบร้อย มองอย่างไรก็ดูมิใช่คุณหนูที่ชอบเอาแต่ใจคนเดิม
“รู้ว่าข้าไม่ชอบ แล้วเหตุใดจึงทำเล่า”
“จำได้ว่าท่านอาชอบขนมหวาน ข้าเองก็ติดนิสัยนี้มาด้วย แต่ก็ตัดใจลดปริมาณเพราะหวานมากไปนั้นไม่ดีต่อสุขภาพ… ท่านอาจะโกรธก็ย่อมได้ แต่ที่ทำไปเพราะต้องการให้ท่านแข็งแรง อยู่กับข้าไปนาน ๆ เราสองคนอายุห่างกันมาก แม้ภายนอกท่านดูหล่อเหลาอายุน้อยกว่าความจริง แต่ภายในย่อมต้องบำรุงให้ดีเจ้าค่ะ”
“กลัวว่าข้าจะตายก่อนเช่นนั้นหรือ”
“ท่านอา เรื่องนี้พูดไม่ได้!” เสวียนหนิงอันปรี่เข้ามาปิดปากเขาทันที
“เช่นนั้นก็จะไม่พูด แต่ข้าต้องได้กินขนมเท่าเดิม”
หลี่จินหมิงกล่าวหลังจากจับมือนิ่มที่ปิดปากของตนออก แต่กลับต้องนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจเมื่อพบว่าปลายนิ้วของเสวียนหนิงอันบวมเล็กน้อยราวกับทำงานหนักมา
“หนิงเอ๋อร์ห่วงท่านมากไป ทำเรื่องไม่เหมาะสมแล้ว” นางดึงมือออกอย่างช้า ๆ มิยอมให้เขาสำรวจอาการบวมแดงที่เกิดขึ้นจากการเข้าครัว
“ที่จริงเจ้าพูดก็ไม่ผิดนัก เอาเถิด กินชิ้นเดียวก็ได้ ข้าจะได้อยู่ปวดหัวเพราะเจ้าไปนาน ๆ” หลี่จินหมิงหันหลังและเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน มิได้สนใจขนมชิ้นนั้นอีก
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องปวดหัว ข้าจะทำให้ท่านอามีความสุขเจ้าค่ะ”
“หวังว่าจะทำได้ดีอย่างที่พูด เจ้าไปเถิด… ข้าต้องทำงานแล้ว”
หลี่จินหมิงมองตามร่างบางที่ย่อตัวอย่างงดงามก่อนหันกายออกจากห้อง ทว่านางยังมิทันปิดประตู เขาก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่แม้แต่ตนเองก็ต้องประหลาดใจ
“ข้าออกกำลังหลังตื่นนอนทุกเช้า กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพสม่ำเสมอ แข็งแรงมากพอจะดูแลเจ้าไปอีกนาน”
เรื่องเช่นนั้นเขามิควรพูดแต่ก็ยังพูด หลี่จินหมิงมิเข้าใจตนเองเลยจริง ๆ
เสวียนหนิงอันทำให้เขามีความสุข...
นอกจากมีอาการคล้ายถูกแมวข่วนหัวใจเล่นงานอยู่เรื่อย ๆ หลี่จินหมิง กล้ากล่าวได้เต็มปากว่าชีวิตของเขามีสีสันกว่าเดิมมาก ไม่น่าเบื่อเช่นที่ผ่านมาแล้ว ในยามเช้าเสวียนหนิงอันมักยืนรอส่งเขาไปทำงานพร้อมทั้งรอยยิ้ม เขาเองจากที่ไม่ค่อยยิ้มก็กลับมายิ้มอีกครั้ง แม้จะยิ้มกับตนเองตามลำพังก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี
ภรรยาลับคนงามมุ่งมั่นกับการทำความดีชดใช้ความผิดเป็นอย่างมาก นางทำหน้าที่ของตนเงียบ ๆ ฟังจากสาวใช้เสี่ยวหยุนแล้วได้ความว่านางมักล้างพู่กันในยามสาย เตรียมอ่างน้ำสำหรับล้างหน้าล้างมือและนำน้ำชากับขนมหนึ่งชิ้นมาวางที่ห้องหนังสือในยามบ่าย แล้วยังฝนหมึกให้อีกด้วย
ในช่วงแรกหลังฝนหมึกเสร็จเสวียนหนิงอันมักรีบร้อนออกจากห้องหนังสือก่อนที่เจ้าของบ้านจะกลับมา เพราะกลัวว่าใบหน้าของนางจะทำให้เขาอารมณ์เสีย แต่หลังจากผ่านไปได้หลายวันเสวียนหนิงอันก็ได้รับคำสั่งให้มายืนฝนหมึกอยู่ข้าง ๆ ในขณะที่เขาตรวจดูบัญชี
หลี่จินหมิงมิแน่ใจว่าการให้นางอยู่ใกล้ชิดเป็นความคิดที่ดีหรือไม่ เพราะหัวใจของเขามักคันยุบยิบทุกครั้งที่เห็นข้อมือเล็กขยับไปมาในระหว่างฝนหมึก ผิวพรรณขาวกระจ่างปานไข่มุกในยามราตรีที่โผล่พ้นจากแขนเสื้อนั่นก็ช่างเย้ายวนใจ กระตุ้นให้เขาอยากสัมผัสให้คลายความสงสัย ว่าผิวใต้อาภรณ์นั้นจะนุ่มมือดั่งที่จินตนาการเอาไว้หรือไม่ แต่ก่อนที่จะเผลอใจทำตามความปรารถนาดำมืด เสวียนหนิงอันก็มักขอตัวออกไปพักผ่อน ทิ้งให้เขาทำบัญชีอย่างงุ่นง่านตามลำพังจนกระทั่งถึงเวลาจัดการอาหารมื้อเย็น
“หลายวันมานี้อาหารรสชาติดียิ่งนัก พ่อครัวใหม่พัฒนาฝีมือขึ้นไปอีกขั้นแล้ว”
โบราณว่าไว้ทำดีต้องให้รางวัล หลี่จินหมิงจึงให้สาวใช้ไปตามพ่อครัวติงหรงมายังเรือนใหญ่เพื่อรับฟังคำชม นึกไม่ถึงว่าจะมีสาวงามอยู่เบื้องหลังความเอร็ดอร่อยของอาหารด้วย
“พ่อครัวติงหรงทำตามคำแนะนำของฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ อาหารทุกอย่างล้วนดีต่อสุขภาพเจ้าค่ะ” ซุนหยาแปลภาษามือของพ่อครัวที่ยืนยิ้มแฉ่ง มือไม้ปฏิเสธไม่ยอมรับความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียว
“นางเอาเวลาว่างยามใดไปทำเล่า อยู่กับข้าในห้องหนังสือครึ่งชั่วยามแล้ววิ่งเข้าครัวเลยเช่นนั้นหรือ”
“เจ็ดวันที่ผ่านมาล้วนเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” คำตอบของซุนหยาทำให้คนฟังถึงกับอึ้งไป
“ฮูหยินน้อยช่วยพ่อครัวติงหรงเตรียมวัตถุดิบและเครื่องปรุงในช่วงบ่ายก่อนที่นายท่านจะกลับมา หลังจากปรนนิบัตินายท่านในห้องหนังสือเรียบร้อยจึงเข้าไปดูแลเรื่องการปรุงรสชาติอาหารต่อเจ้าค่ะ”
ซุนหยาเล่าต่อด้วยว่าฮูหยินน้อยจริงจังกับเรื่องอาหารมาก นอกจากจะต้องดีต่อสุขภาพแล้วรสชาติยังต้องอร่อยไม่ต่างจากอาหารของโรงเตี๊ยม
“ฮูหยินน้อยย้ำว่าต้องไม่มีของหมักดอง ไม่เค็มจัดหรือจืดมากเกินไป เน้นอาหารประเภทต้ม ตุ๋น นึ่ง และอบ ภายในเจ็ดวันให้ทำอาหารประเภทผัดน้ำมันไม่เกินสามครั้งเจ้าค่ะ”
คำตอบของหญิงสูงวัยทำให้หลี่จินหมิงทราบได้ในทันทีว่านางมิได้กลับเรือนไปพักผ่อนจริง ๆ ทว่าตรงไปยังโรงครัวเพื่อดูแลเรื่องอาหารให้กับเขา คลายความสงสัยได้เป็นอย่างดีว่าเหตุใดรสชาติอาหารจึงได้ต่างไปจากเดิม
“อย่างไรพ่อครัวก็มีส่วนสำคัญในการทำอาหาร แต่อย่าลืมระมัดระวังให้มาก อย่าให้นางเป็นอันตรายหรือเหนื่อยมากเกินไป” หลี่จินหมิงยื่นเงินถุงเล็กให้พ่อครัวเป็นรางวัล
“เจ้าไปตามนางมาเถิด บอกไปว่าข้าต้องการพบ”
ซุนหยารับคำอย่างยินดี คิดไปว่าในที่สุดความตั้งใจของฮูหยินน้อยก็สัมฤทธิผลแล้ว นางเดินอย่างช้า ๆ ตรงไปยังเรือนเล็ก มือเหี่ยวย่นกระชับเสื้อคลุมให้แน่นหนา กลัวว่าอากาศเย็นในปลายยามโหย่วของฤดูใบไม้ร่วง จะทำให้ล้มป่วย ใช้เวลาไม่นานซุนหยาก็มาถึงที่พำนักของสาวงามวัยสิบหกปี นางพบเสี่ยวหยุนที่เพิ่งเริ่มเก็บโต๊ะอาหาร จึงถือวิสาสะเข้าไปในเรือนเล็กเพื่อแจ้งข่าวฮูหยินน้อยด้วยตนเอง
นึกมิถึงว่าจะได้รับคำปฏิเสธ แต่ก็เป็นเหตุผลที่พอเข้าใจได้
เหตุผลของฮูหยินน้อยสตรีด้วยกันฟังแล้วย่อมเข้าใจได้ แต่นายท่านเป็นบุรุษคงมิค่อยเข้าใจเรื่องพรรค์นี้นัก
‘บอกเขาไปว่าข้าเหนื่อย พรุ่งนี้จะไปรอที่หน้าเรือนใหญ่แต่เช้า’
ซุนหยาถ่ายทอดคำพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยอย่างยิ่ง แต่หลี่จินหมิงเป็นคนช่างสังเกตย่อมทราบได้ในทันทีว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ ทันทีที่ซุนหยาออกจากเรือนใหญ่ไป เขาจึงกระซิบสั่งสาวใช้นางหนึ่งให้ทำเรื่องสำคัญบางอย่าง
“รอจนเสี่ยวหยุนออกจากเรือนเล็กแล้วค่อยตามนางมาพบข้า อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
หลี่จินหมิงนั่งรออย่างใจเย็นจนกระทั่งปลายยามซวี[1]จึงได้พูดคุยกับสาวใช้คนซื่อ ปรากฏว่าเสี่ยวหยุนได้ยินบทสนทนาระหว่างซุนหยากับฮูหยินน้อยชัดเจน จึงเล่าออกมาโดยไม่ตกหล่นเลยสักคำ หลี่จินหมิงที่ได้ฟังความในใจของภรรยาคนงามเช่นนั้นหัวใจก็พลันกระตุกวาบ
เสวียนหนิงอันน่ารักอย่างมาก หาสตรีใดเทียบเคียงมิได้แล้ว
[1] ยามซวี = ๑๙.๐๐ – ๒๐.๕๙ น.