ยามอยู่ตำหนักเยว่ฉีเสวียนหนิงอันชอบทำอาหารอย่างมาก ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนชมว่ารสชาติดีกว่าโรงเตี๊ยมชื่อดัง แม้กระทั่งขนมนางก็ยังทำออกมาได้อย่างไร้ที่ติ จนบิดาต้องขอร้องว่าให้เลิกเข้าครัวเพราะกลัวว่ารูปร่างของตนจะไม่งดงาม กลัวว่าพระชายาเสวียนจะไม่รัก
‘ท่านพี่จะอ้วนหรือผอม ซือชิงก็รักเจ้าค่ะ’
‘เรื่องนั้นทราบแล้ว แต่พี่อยากดูดีในสายตาเจ้า…’
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางแสดงความรักต่อพระชายาอย่างไม่ปิดบัง หลายครั้งกอดและหอมอย่างไม่เกรงใจ เพิ่งลดลงก็ตอนที่เสวียนหนิงอันเติบโตเป็นสาวน้อย แต่กระนั้นก็ยังมีหลุดพูดจาหยอกเย้าให้ท่านแม่แก้มแดงอยู่เรื่อย ๆ
แรก ๆ เสวียนหนิงอันก็เบื่อหน่ายอยู่บ้างที่ไม่ได้ทำอาหาร แต่หลังจากรับหน้าที่ดูแลร้านค้าเต็มตัว นางก็ยุ่งวุ่นวายจนลืมการเข้าครัว แต่นาน ๆ ครั้งก็ยังต้องแสดงฝีมือ เอาใจบิดาที่ขุ่นเคืองนางให้อารมณ์ดี หรือไม่ก็ยามที่น้องชายตัวน้อยเฉินหรานโอดครวญว่าอยากกินขนม โดยไม่ลืมกระซิบว่าอย่าลืมชงชาดอกโมลี่ฮวา[1]ให้ท่านแม่ด้วย
ยามซุนหยาชวนเข้าครัว นางที่คิดถึงครอบครัวอย่างมากจึงไม่ปฏิเสธ
เสวียนหนิงอันมีความสุขจนลืมปัญหากวนใจ ไม่นึกถึงบุรุษที่ทำให้ตนเองต้องเสียน้ำตาอีก นางทักทายพ่อครัวอย่างสุภาพ บอกไปตามตรงว่าตนชอบทำอาหารและขอรบกวนใช้พื้นที่ในครัวสักหน่อย
พ่อครัวติงหรง มักทำหน้าตาบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ หลายครั้งโบกมือไล่เจียอีที่บ่นเรื่องรสชาติของอาหาร แต่กับฮูหยินน้อยที่มีใบหน้างดงามดั่งสวรรค์บรรจงสร้าง กิริยามารยาทน่าชื่นชมแล้ว เขาไม่เพียงไม่ทำหน้าบึ้งตึงทว่าผายมือเชิญนางอย่างยินดี
‘รบกวนท่านพ่อครัวติงหรงแล้ว’
เสวียนหนิงอันทำตามคำสั่งสอนของมารดา เคร่งครัดเรื่องการให้เกียรติคนให้มาก แสดงความเกรงใจให้มากยิ่งกว่า นางเอ่ยเรียกชื่อติงหรงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน กล่าวว่าหากสะดวกยามใดก็ขออนุญาตใช้ครัวด้วย และการที่นางมิเอ่ยเรียกเขาว่าพ่อครัวใบ้เช่นผู้อื่น ทำให้นางได้ครอบครองโรงครัวในชั่วจิบน้ำชา
บางเรื่องก็แก้ไขได้ง่ายดายเช่นนี้เอง
เสวียนหนิงอันมักเข้าครัวในปลายยามเซิน พูดคุยกับพ่อครัววัยห้าสิบห้าปีที่ฟังทุกอย่างเข้าใจแต่พูดไม่ได้ ขอเตรียมอาหารสองสามอย่าง โดยไม่ลืมแบ่งให้ทุกคนได้ลองชิมด้วย พ่อครัวติงหรงเดิมทีก็เป็นคนมีความสามารถ ได้ชิมเพียงสองสามคำก็เข้าใจว่าฮูหยินน้อยชอบอาหารรสชาติเช่นใด
เมื่อเขาทำอาหารรสชาติที่ฮูหยินน้อยชื่นชอบได้แล้ว นางจึงแยกไปทำขนมอีกฝั่งหนึ่งของโรงครัวที่เปิดโล่ง นึกไม่ถึงว่าจะมีลมพัดแรงจนทำให้สะเก็ดไฟจากถ่านที่กำลังปะทุกระเด็นใส่นาง
“ฮูหยินน้อยยังแสบร้อนอยู่หรือไม่เจ้าคะ” ซุนหยาถามอย่างกังวล ขณะเทน้ำผ่านแผลเล็ก ๆ บนต้นแขนเรียว
สะเก็ดไฟทะลุอาภรณ์ของฮูหยินน้อยจนเป็นรู ต้องถกแขนเสื้อกันพัลวัน ส่วนพ่อครัวติงหรงก็รู้ความดียิ่ง รีบถอยให้พ้นระยะสายตา ยืนทำหน้าสำนึกผิดอยู่ไม่ไกลนัก
“บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น”
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หากผิวของฮูหยินน้อยมีแผลเป็น…”
“ข้ามีขี้ผึ้งรักษาแผลชั้นดี พี่ชายข้ามอบให้เมื่อปีก่อน เป็นแผลอันใดก็หายขาดได้ไม่ทิ้งร่องรอย ท่านป้าจึงไม่ต้องกังวล”
เสวียนหนิงอันแสบแผลอย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังพยายามกัดฟันทน ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็น นางยิ้มกว้างให้กับซุนหยาและมองไปยังทิศทางที่เจียอีเดินจากไปได้สักพักแล้ว
ปรากฏว่ามิใช่เจียอีที่เดินกึ่งวิ่งตรงเข้ามา ทว่าเป็นหลี่จินหมิง บุรุษที่นางไม่อยากพบหน้าอย่างที่สุด
“หนิงเอ๋อร์! เจ้าเจ็บที่ใด!”
“ท่านอา!” เสวียนหนิงอันรีบดึงแขนเสื้อลง นิ่วหน้าเล็กน้อยยามมือเรียวปัดถูกแผลเล็ก ๆ บนต้นแขนตนเอง หลี่จินหมิงเห็นเช่นนั้นก็ดุนางทันที
“เหตุใดเจ้าจึงปล่อยแขนเสื้อลง ไม่กลัวเจ็บแล้วหรือ!”
“ข้ามีทางเลือกด้วยหรือเจ้าคะ หากไม่ปิดบังร่างกายให้ดี ท่านอาจะไม่กล่าวหาว่าข้ามากมารยา ใช้เสน่ห์ล่อลวงหรือเจ้าคะ”
“เด็กดื้อ! ไม่ต้องพูดแล้ว!” หลี่จินหมิงสอดแขนอุ้มสาวงามท่ามกลางเสียงกรีดร้องของซุนหยาและเจียอีที่เพิ่งตามมาถึง ทว่าเสวียนหนิงอันกลับไม่ส่งเสียงเลยสักคำ
นางกำเสื้อของเขาไว้แน่นเพราะกลัวตก ดวงตากลมโตปิดสนิท ทว่าขนตาเป็นแพหนายังขยับน้อย ๆ คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มบางและเริ่มหอบหายใจแรง
หลี่จินหมิงทราบในทันทีว่าเด็กดื้อของเขากำลังตกใจ
“ไม่ต้องกลัว อาเคยปล่อยให้เจ้าตกสักครั้งหรือ?”
หลี่จินหมิงจำได้ว่าเจ้าตัวเล็กในวัยเด็กซุกซนอย่างมาก นางเคยแอบปีนต้นไม้ในสวนและลงมาเองไม่ได้ กว่าสาวใช้จะเจอก็ผ่านไปเกือบสองเค่อ หลังจากนั้นนางจึงกลัวความสูงมาโดยตลอด
“ไม่… ไม่เคยเจ้าค่ะ”
“อีกอย่างความสูงเพียงเท่านี้ ตกลงไปก็ไม่เจ็บหรอก”
หลี่จินหมิงก้าวขายาว ๆ เขาทราบแล้วว่าแผลของนางอยู่บนไหล่เนียนใต้ร่มผ้า จึงควรหาสถานที่ที่มิดชิดเพื่อทำความสะอาดแล้วค่อยทายา ทว่าเรือนของนางอยู่ไกลเกินไป
“ท่านอา เรือนข้าไปทางนั้น”
“ไกลเกินไป…”
หลี่จินหมิงกระชับร่างบางในอ้อมแขนแน่น ก่อนเดินตรงไปยังเรือนที่ใหญ่ที่สุดในบ้านสกุลหลี่
[1] ดอกมะลิ