บ้านสกุลหลี่ที่ตั้งอยู่ตลาดฝั่งตะวันออกมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่กระนั้นก็ยังมีเรือนเล็กใหญ่มากกว่าห้าเรือน เรือนที่ใหญ่ที่สุดเป็นของหลี่จินหมิงอย่างมิต้องสงสัย เรือนที่อยู่ถัดไปนั้นมีไว้สำหรับต้อนรับแขก อีกสองเรือนปิดตายไร้ผู้คนอยู่อาศัย ส่วนเรือนสุดท้ายซึ่งเป็นเรือนหลังเล็กที่สุดนั้นเสวียนหนิงอันคือผู้ครอบครอง
ตวนอ๋องเฉินฟาหยางส่งข้าวของเครื่องใช้ของบุตรสาวมายังบ้านสกุลหลี่หลังจากเกิดเรื่องได้เพียงวันเดียว ในยามนั้นเขาเห็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางแล้วรู้สึกเกรี้ยวกราด มองอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์ จึงสั่งให้สาวใช้นำข้าวของไปให้พ้นตา นึกไม่ถึงว่าหีบห้าใบจะอยู่ในห้องเก็บของ ส่วนอีกสองใบที่สาวใช้นำไปไว้ในเรือนเล็กนั้นล้วนมีแต่ของเก่าที่ใช้การไม่ได้ แต่กระนั้นนางก็ยังไม่ปริปากบ่น หรือพูดให้ถูกต้องคือเขาจงใจหลบหน้านาง กอปรกับต้องเดินทางอย่างกะทันหัน ความลำบากเรื่องเครื่องแต่งกายนั้นจึงถูกแก้ไขช้าไปสักหน่อย
หลี่จินหมิงจำได้ดีว่ารู้สึกปั่นป่วนในท้องมากเพียงใดยามที่นางบอกว่ามิได้สวมบังทรง ยังจำได้อีกด้วยว่าตนตวาดเสียงดังจนนางหนีเตลิดจากห้องหนังสือ แต่หลังจากรวบรวมสติกลับมาสุขุมดังเดิมได้แล้ว เขาก็สั่งให้สาวใช้จัดการปัญหาดังกล่าวให้เรียบร้อย
เย็นวันนั้นนางมาขอพบเพื่อกล่าวคำขอบคุณ บนเรือนร่างสวมอาภรณ์สีกลีบบัว เพิ่มความงามมากขึ้นหลายส่วน ความจริงแล้วงามถึงขั้นที่ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากมองให้หัวใจเต้นแรงไปมากกว่าเดิม ทว่าเสียงหวานออดอ้อนเรียกขานว่าท่านอา กลับทำให้เขาต้องยอมสบตากับนางอย่างเสียมิได้
‘ท่านอาโกรธมากเลยหรือเจ้าคะ…’
‘แล้วควรโกรธหรือไม่’
‘หนิงเอ๋อร์ผิดไปแล้ว จากนี้จะพยายามปรับปรุงให้ท่านอาพอใจเจ้าค่ะ’
‘เช่นนั้นก็อยู่เงียบ ๆ อย่าก่อเรื่องกวนใจ ช่วงนี้งานที่ร้านยุ่งนัก ข้าไม่อยากปวดหัวเพิ่มเติมเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง’
หลี่จินหมิงเกลียดชังตนเองที่ไม่สามารถดุด่านางได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เขาอธิบายอย่างใจเย็นว่าต้องการความเป็นส่วนตัว ก่อนโบกมือไล่นางโดยอ้างว่ามีบัญชีต้องสะสาง แต่ความจริงแล้วเขากลับทำเพียงนั่งสงบอารมณ์นานหลายชั่วยาม บอกกับตนเองซ้ำ ๆ ว่าเขาสมควรปฏิบัติตัวต่อนางอย่างไร
ห้ามใจอ่อน… ใจดีด้วยก็มิได้
‘หากเจ้าไม่รักบุตรสาวข้าก็อย่าให้ความหวังนางว่ารักใคร่ ห้ามผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งทั้งทางกายและทางใจ’
เดิมทีหลี่จินหมิงขบขันกับคำเตือนของตวนอ๋องอย่างมาก ต่อให้เคยชื่นชมนางในใจว่างดงามเมื่อปีก่อนแล้วอย่างไร เขาจะทนกับเสน่ห์เย้ายวนใจของสาวงามมิได้เลยหรือ เสวียนหนิงอันจะมีเสน่ห์ล้นเหลือกว่าเหล่านางคณิกาในหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอยู่อีกหรือ
เขาขบขันจนกระทั่งเห็นใบหน้างดงามชัดเจนในคืนวิวาห์…
“ซุนหยา พวกนางมีเรื่องตื่นเต้นอันใดกัน” หลี่จินหมิงกลับถึงบ้านในต้นยามโหย่ว[1] เห็นเหล่าสาวใช้วัยไม่เกินสิบห้าปีหัวเราะร่าเริงก็อดสอบถามมิได้ ทั้งหัวใจยังประหวัดคิดไปถึงสาวงามที่มิได้พบหน้านานเจ็ดวันแล้ว
“ฮูหยินน้อยกำลังซื้อพวกนางอยู่เจ้าค่ะ”
“ซื้อ? นางไม่มีเงินติดตัวมาสักตำลึงแล้วจะซื้อผู้ใดได้เล่า”
ตวนอ๋องจริงจังกับการดัดนิสัยของบุตรสาวเป็นอย่างมาก แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ให้มาเพราะกลัวว่าจะใช้เงินแก้ไขปัญหาอย่างที่เคยทำเป็นประจำ พอคิดแล้วหลี่จินหมิงก็รู้สึกว่านั่นออกจะโหดร้ายมากไปสักหน่อยและในเมื่อตอนนี้นางได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาแล้วก็ควรดูแลตามใจบ้างมิใช่หรือ
ไม่ได้! ใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด!
“ฮูหยินน้อยมอบเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้แล้วให้กับพวกนางเจ้าค่ะ หากนางใดสวมใส่ไม่ได้ก็มอบเครื่องประดับให้แทนเจ้าค่ะ” ซุนหยาพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก นางไม่ได้ไปเลือกเสื้อผ้ากับสาวน้อยเจียอี ด้วยทราบดีว่าไม่มีอันใดที่ตนสวมใส่ได้ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินน้อยจะนำปิ่นหยกลายดอกเหลียนฮวามามอบให้ถึงในโรงครัว
‘ข้ามีทรัพย์สินติดตัวมาไม่มาก หวังว่าท่านป้าคงไม่รังเกียจ’
แม้ปิ่นหยกลายดอกเหลียนฮวาจะไม่ใช่ของใหม่ แต่มองอย่างไรก็เป็นของราคาแพง ซุนหยาจึงรับมาโดยไม่พูดอันใด นางไม่ได้เห็นแก่ของมีราคา แต่ทนสายตาที่ทอประกายวาววับอย่างมีความหวังของฮูหยินน้อยไม่ได้จริง ๆ
“มอบของเล็กน้อยมิใช่เรื่องผิด แต่อย่าลืมกำชับพวกนางว่าห้ามก่อเรื่อง”
“เจ้าค่ะ… นายท่านเจ้าคะ ฮูหยินน้อยแจ้งว่าต้องการส่งจดหมายให้กับท่านหมอสกุลหวงเจ้าค่ะ นายท่านอนุญาตหรือไม่เจ้าคะ”
“นางไม่สบายเช่นนั้นหรือ! นางปวดหัวหรือปวดท้องเล่า!” หลี่จินหมิง ตกใจจนแทบคุมสติมิอยู่
“ฮูหยินน้อยมิได้แจ้งเจ้าค่ะ กล่าวแค่เพียงว่าหากนายท่านไม่อนุญาตก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“หึ! เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องนี้เอง เจ้ามีอะไรก็ไปทำเถิด”
เมื่อได้ยินว่านางต้องการพบหมอ หลี่จินหมิงก็รีบรุดไปยังเรือนเล็กทันที ยามนั้นท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว แต่เขาไม่ใส่ใจเรื่องความเหมาะสม อย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา คงไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวหาว่าทำเรื่องอันไม่สมควร
หลังจากเดินกึ่งวิ่งอยู่ไม่นาน หลี่จินหมิงก็พบว่าตนเองอยู่หน้าเรือนเล็กที่มีแสงตะเกียงส่องสว่างมาจากด้านในแล้ว เขามองสาวใช้เจียอีที่เดินออกมาพร้อมกับถาดอาหาร ข้าวในถ้วยพร่องไปเพียงครึ่ง ส่วนกับข้าวสองอย่างยังเต็มจาน
เสวียนหนิงอันเลือกกินอย่างมาก เขาลืมเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
“นางกินเพียงเท่านี้ทุกวันเลยหรือ”
“ไม่ทุกวันเจ้าค่ะ วันไหนอาหารรสจัดฮูหยินน้อยจะกินได้สักหกส่วน แต่วันนี้พ่อครัวทำอาหารจืดชืด…”
เจียอีไม่กล้าพูดต่อ พ่อครัวที่มาใหม่นั้นเป็นใบ้ ทำอาหารได้ไม่ถูกปากฮูหยินน้อยนัก นางไม่แน่ใจว่าเหตุใดพ่อครัวเดิมรวมทั้งสาวใช้เกินกว่าครึ่งถึงได้ถูกส่งตัวไปยังจวนของท่านเสนาบดีชรา บิดาของนายท่านสกุลหลี่ แต่ให้เดาคงไม่พ้นเรื่องที่นายท่านแต่งภรรยาอายุน้อยเข้าบ้าน
“นางชอบกินขนม หากวันใดกินข้าวได้น้อยก็จัดหาขนมมาให้เยอะหน่อย ยามค่ำหิวขึ้นมาจะได้ไม่อาละวาด”
“เจ้าค่ะนายท่าน แต่วันนี้ฮูหยินน้อยดื่มน้ำเต้าหู้แล้ว คงไม่หิว…”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” หลี่จินหมิงจำได้ว่านางแพ้ถั่วเหลือง พอได้ยินเจียอีกล่าวเช่นนั้นก็ผลุนผลันเข้าไปในเรือนเล็กทันที
“หนิงเอ๋อร์!” เขาได้ยินเสียงหวานอุทานอย่างตกใจดังมาจากด้านหลัง จึงรีบวิ่งไปอย่างว่องไว รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนกำลังจ้องมองสตรีที่ซ่อนเรือนร่างของนางไว้ในถังไม้อย่างสุดความสามารถ แต่ถังไม้เล็กเพียงเท่านั้นย่อมมิอาจปิดบังความงดงามได้ครบทั้งสิบส่วน
หัวไหล่เนียนขาวตรึงสายตาหลี่จินหมิงไว้อย่างง่ายดาย เขาถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ กะพริบตาแทบไม่ได้ แต่สิ่งที่อันตรายกว่าผิวขาวดุจไข่มุกราตรีคือดวงหน้าหวานที่มีหยดน้ำคลอเคลียอยู่ ยังมีพวงแก้มแดงปลั่งชวนหยิกที่ทำให้คันยุบยิบไปทั้งหัวใจ
หลี่จินหมิงเผลอไผลเนิ่นนาน จนกระทั่งสบประสานสายตาที่มองมาอย่างหวาดหวั่น เขาจึงหันหลังให้นางทันที
“อาบน้ำอยู่หรือ” หลี่จินหมิงอยากตบปากตนเอง เห็นชัดอยู่เต็มสองตาไยยังกล้าถามออกไปอีกเล่า
“ท่านอาควรออกไปข้างนอกมิใช่หรือเจ้าคะ”
คำถามกึ่งประชดของสาวงามในวัยสิบหกปีทำให้หลี่จินหมิงก้าวขาได้รวดเร็วดียิ่งนัก!
นับตั้งแต่มีชีวิตผ่านมาได้สิบหกหนาว สถานการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมานับว่าอึดอัดที่สุดในชีวิตของเสวียนหนิงอันแล้ว นางมิแน่ใจว่าควรกรีดร้องโวยวาย ไล่บุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของตนไปให้พ้น หรือขอร้องอย่างมีมารยาทว่าต้องการอาบน้ำตามลำพังดี แต่พอเห็นเขาหันหน้าหนีนางก็พลันรู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมา
ไม่เคยมีบุรุษใดเบือนหน้าหนีเสวียนหนิงอัน!
ทีแรกนางอยากแกล้งให้รอสักครึ่งชั่วยาม อ้างว่าต้องบำรุงผิวพรรณให้งดงามน่าสัมผัส สุดท้ายกลับมิอาจทำได้ดั่งใจหวัง เพราะความผิดที่ก่อไว้มิอนุญาตให้ทำตามอำเภอใจได้อย่างที่เคย
แต่กระนั้นนางก็ยังอยากเอาคืนสักหน่อย
“ปล่อยให้ท่านอารอนาน หนิงเอ๋อร์เสียมารยาทแล้ว”
นางเดินเข้ามาในห้องรับรองแขกที่เขานั่งรออยู่ ร่างบอบบางยามนี้สวมเพียงเสื้อตัวใน ทว่ามีผ้าปักลายสวยงามคลุมไหล่บางเอาไว้เพื่อป้องกันคำดุด่าไม่น่าฟัง ผมดำขลับที่มักปล่อยสยายมีผ้าผืนเล็กมัดไว้อย่างหลวม ๆ มองดูแล้วให้ความรู้สึกเย้ายวนไม่ต่างจากนางจิ้งจอกในนิทาน
หากคนภายนอกได้เห็นอาจคิดว่าเสวียนหนิงอันตั้งใจยั่วยุอารมณ์ของสามี แต่สำหรับนางแล้วการแต่งตัวไม่เรียบร้อยเป็นเพียงการกลั่นแกล้งให้เขาโมโหมากขึ้นสักหน่อยก็เท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่สนใจ ทั้งยังถามไถ่นางอย่างมีน้ำใจยิ่ง!
“หากไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ สวมใส่ ข้าให้ซุนหยามาวัดตัวเจ้า ดีหรือไม่”
“อย่าสิ้นเปลืองไปเลยเจ้าค่ะ ความจริงข้าพอมีเสื้อผ้าสวมใส่อยู่บ้าง แต่เพราะกลัวว่าท่านอาจะรอนานจึงผลุนผลันออกมาโดยมิทันคิด… ท่านอาอย่าโกรธที่ข้าแต่งตัวไม่เรียบร้อยเลยนะเจ้าคะ”
“ช่างเถิด เป็นข้าไม่ดีเอง มาหาเจ้าโดยมิได้แจ้งล่วงหน้า… ได้ยินว่าเจ้าดื่มน้ำเต้าหู้ไป ไม่รู้สึกหายใจลำบากหรือมีผื่นแดงตามร่างกายใช่หรือไม่”
หลี่จินหมิงตกตะลึงกับความงามของภรรยาจนแทบละสายตาไม่ได้ แต่คำถามแฝงความไม่พอใจทำให้เขาได้สติและลนลานออกจากห้องอาบน้ำ หากผู้ใดเห็นคงกล่าวว่าอากัปกิริยามองแล้วไม่สมกับเป็นพ่อค้าสกุลหลี่ที่น่านับถือ ยามนี้เขาจึงพยายามนึกถึงเพียงเรื่องที่ทำให้ต้องมาพบภรรยาลับตั้งแต่แรกเป็นสำคัญ
เสวียนหนิงอันร่างกายไม่แข็งแรง ถูกลมเย็นนิดเดียวก็ล้มป่วยแล้ว
[1] ยามโหย่ว = ๑๗.๐๐ – ๑๘.๕๙ น.