พีรวัสขับรถมุ่งหน้าฝ่าความสลัวของเวลาใกล้ค่ำที่มืดครึ้มเป็นทบทวีเพราะฝนฟ้าไม่เป็นใจและน้ำเจิ่งนองเต็มถนนสายเล็กๆ ผ่านกลางสวนปาล์มไปยังบ้านพักของวินัยกับพ่อแม่ที่ซึ่งเขาตามพีรดามาเจอว่ากำลังมีเรื่องบาดหมางกันอยู่ และทนไม่ได้กับคำที่วินัยด่าพี่สาวเขาจนต้องประเคนหมัดให้เต็มหน้า ถ้าหากวินัยคิดจะสู้เขาสักนิดเขาคงไม่หยุดแค่หมัดเดียวตลอดทางป้าสุภาเตือนสติให้ได้คิด บ้านพักของวินัยอาศัยอยู่กับพ่อและแม่ไม่ว่าเวลาไหนพ่อและแม่ของวินัยก็อยู่ในบ้านเพราะอายุมากไม่ได้เป็นคนงานในไร่แค่ปลูกผักปลูกหญ้าแถวข้างๆ บ้านเพื่อหารายได้เสริมตามประสาคนขยันไม่งอมืองอเท้ารอเงินเดือนลูกชายไปวันๆ แล้วสองคนนั้นจะมาทำบัดสีในบ้านตามที่พีรดากล่าวหาได้อย่างไร
“ถ้ามันไม่มีมูลพี่รดาคงไม่โกรธ คงไม่ตามมาจับผิด” เขาโต้แย้งแทนพี่สาว
“มันยังไงกันไหนลองบอกป้าสิ” สุภาถามอย่างใจเย็นที่สุด เพราะป่วยการจะเกรี้ยวกราดใส่
“ก็พี่รดาเห็นยายเพี้ยงเอาปิ่นโตข้าวกลางวันตัวเองให้วินัยกินแล้วยังเอาอกเอาใจตักโน่นนี่นั่นให้ หัวร่อต่อกระซิกเหมือนคู่รัก” เขาหยุดตรงนี้ รู้สึกจุกอก เจ็บจี๊ดเบาๆ ที่หัวใจ แต่ยังไม่ยอมรับว่าเพราะหึงหวง
“ที่ไหน”
“ในห้องทำงานผม”
“ห้องเรากระจกทุกด้าน ม่านก็ไม่เคยปิด มองเข้าไปเห็นชัดเจนสินะ”
“ก็ใช่สิครับป้า มองเห็นชัด” พีรวัสสะดุดคำพูดตนเอง เหลียวมองป้าสุภาเห็นแกยิ้มแล้วส่ายหน้า
“คนจะลักกินขโมยกินจะเปิดเผยขนาดนี้หรือตาพี”
“ก็ แต่ยังไงก็ไม่เหมาะพี่รดาเลยหึง” เขารีบแก้ต่าง แต่สุภาไม่ทันตอบเขาก็จอดรถใกล้รถสำนักงานที่เพียงออขับมาแล้ว
“รถสำนักงานนี่” สุภาว่า
“ยายเพี้ยงขับมาครับ”
“อือ นัดกันมาแต่มาคนละคัน แถมในบ้านก็ยังมีพ่อแม่วินัยอยู่ด้วย” สุภาหัวเราะในลำคอแล้วหันไปจ้องหน้าหลานชายก่อนพูด
“พี่สาวแกนะหึงบ้าหึงบอไม่เข้าเรื่อง แล้วแกละนายพีหึงมั้ย”
“ผมเปล่า จะหึงทำไมก็ผมถูกป้าบังคับให้แต่งงาน” เขาบอกแล้วรีบถือร่มลงจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูให้สุภาแต่สุภารีบปฏิเสธ
“แกเข้าไปดูคนเดียว แค่ถามพอนะอย่าไปมีเรื่อง” สุภาคิดว่าวินัยคงอยู่ในบ้านเช่นกันเพราะมีรถจอดอยู่
“อ้าว คิดว่าป้าจะลงไปด้วย”
“พื้นลื่นป้ากลัวล้ม รีบไปดูเถอะไป” แล้วนางก็ดึงประตูปิดเข้ามา ทิ้งตัวลงพิงเบาะรอข่าวคราว พีรวัสรู้สึกเหมือนป้าสุภากำลังมีความลับหรือหวาดกลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่ไม่อยากคาดเดา เพราะเรื่องข่าวลือในหมู่คนงานนั้นมีมานานแสนนานแล้ว ไม่ว่าคนรุ่นไหนล้วนมีเรื่องส่วนตัวที่คนนอกชอบขุดคุ้นและนำมาขยายต่อ จริงบ้างไม่จริงบ้างปะปนกันไป
“วินัย ไอ้วินัยอยู่ไหนวะออกมาหาพ่อมึงหน่อย” พีรวัสไปตะโกนอยู่หน้าบ้านแข่งกับเสียงสุนัขที่ออกมาเห่ารับ แต่ดีหน่อยที่พวกมันกลัวฝนจึงเห่าอยู่ใต้ชายคาบ้าน ไม่พุ่งมาขย้ำหน้าแข้งเหมือนวันก่อนๆ ที่มากับวินัยแล้วต่างวิ่งเข้าใส่จนเขาต้องถอยหนีให้วินัยรับหน้าแทน
“คุณพีเหรอ วินัยมันไม่อยู่ออกไปตั้งแต่บ่ายแล้ว” คนตอบคือพ่อของวินัยชื่อประคอง ที่กำลังป้องมือปิดแสงไฟอยู่ตรงประตูบ้าน ประคองมองผ่านพีรวัสไปที่รถซึ่งจอดห่างออกไปพร้อมไฟส่องสว่าง
“มันบอกไหมลุงว่าจะไปไหน แล้วทำไมไม่เอารถไป”
“มันขี่รถเครื่องไป ไม่ได้บอกว่าไปไหน”ประคองยังคงมองสนใจไปที่รถ
“ป้าอยู่ในรถครับ พอดีมีธุระกับวินัยนิดหน่อย” พีรวัสเห็นประคองมองอยู่อย่างนั้นจึงบอก
“อ๋อ มีเรื่องอะไรหรือครับ ไอ้วินัยมันไปทำอะไรไม่ดีมาหรือเปล่า” น้ำเสียงกังวลเล็กน้อย
“เปล่าครับ จะถามเรื่องของคนงานนะ ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ” เขาไหว้ลา แม้ประคองจะเป็นแค่อดีตคนทำงานและพ่อของลูกจ้าง แต่อายุมากกว่าจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พีรวัสจะยกมือไหว้
“วินัยไม่อยู่ครับ” พีรวัสรีบบอกทันทีเมื่อเปิดประตูจะขึ้นรถ
“ไปดูที่ออฟฟิศก่อน ถ้าไม่เจอก็เข้าไปหาในเมือง เพี้ยงมันจะไปไหนได้ไม่มีอะไรติดตัวไปสักนิด” สุภาสั่ง ร้อนใจเป็นอันมาก
“มันจะอยู่ทำไมที่ออฟฟิศค่ำมืดขนาดนี้ ขึ้นรถชู้ไปแล้วละมั้ง”
“ชู้ที่ไหนอีกละตาพี ทีแรกยายรดาก็ว่าขึ้นรถวินัยไป แต่แกก็เห็นแล้วรถมันยังจอดอยู่นี่ แล้วจะใส่ไคร้ใครอีก หัดมองน้องในแง่ดีบ้างเถอะ เพี้ยงมันไม่ใช่เด็กเหลวแหลกใจแตกมาจากที่ไหน อีกอย่างถ้ามันไม่ใช่เด็กดีป้าไม่มีทางให้แต่งกับแกหรอก เพราะแกคือหลานป้านะตาพี” สุภาร่ายยาวหวังเตือนสติ คนถูกตำหนิจึงหน้างอเล็กน้อย ก่อนกลับรถขับไปตามเส้นทางที่สุภาบอกโดยไม่โต้แย้งใดๆ อีก
“นั่นไงเด็กดีของป้า” พีรวัสตบแตรรถเสียงดังสนั่นพร้อมเร่งความเร็วให้รถพุ่งเข้าไปหาเป้าหมายแล้วเหยียบเบรกเสียงดังลั่นก่อนถึงเป้าหมายเพียงเฉียดฉิวท่ามกลางเสียงร้องตกใจของสุภา
“ตาพีอย่า ตาพีจอดๆ”
หลังถูกพีรดาตัดสัมพันธ์แล้วขับรถจากไปวินัยทั้งเสียใจและน้อยใจที่หล่อนไม่เคยเชื่อใจทั้งที่เขาต่างหากเป็นฝ่ายอยากเปิดเผยความสัมพันธ์ให้คนอื่นรู้และพร้อมจะแต่งงานตามประเพณีหากพีรดาต้องการ ถึงเขาไม่ร่ำรวยไม่มีสินสอดทองหมั้นหลักแสนหลักล้านให้ แต่เขามีหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความรับผิดชอบ และพร้อมจะเลี้ยงดูให้พีรดาสุขสบายได้ไม่น้อยหน้าที่เป็นอยู่เพียงแต่พีรดาไม่เคยมอบโอกาสนี้ให้ หล่อนชอบการหลบซ่อนลักลอบได้เสียกันเช่นนี้โดยไม่กลัวว่าตนเองจะเสื่อมเสียหากใครรู้เข้า
วินัยคิดว่าทั้งหมดนี้พอแสดงให้เห็นแล้วว่าพีรดาไม่ได้รักเขาเหมือนที่เขารักหล่อนเลย หล่อนแค่ดึงเขาเข้ามาในเวลาที่ต้องการหลักยึดเหนี่ยวในการตัดใจจากพีรพงศ์เท่านั้น
“เลิกก็เลิกวะ คนอย่างไอ้วินัยฆ่าได้แต่ห้ามรังเกียจ ยอมนอนกับกูแต่ไม่อยากให้ใครรู้ ทั้งหมดนี้เพราะไม่เคยรักกูเลย” วินัยตะโกนลั่นเพราะมีเสียงฟ้าฝนช่วยบดบังเสียงยามขี่จักรยานยนต์ฝ่าฝนโดยไม่มีจุดหมาย ขอแค่ไปให้ไกลสายตาเต็มไปด้วยคำถามของพ่อและแม่ เพราะเขาอับอายเกินกว่าจะบอกว่าถูกสาวใหญ่อย่างพีรดาสลัดรัก
วินัยขี่รถเรื่อยเปื่อยไปถึงเพิงขายอาหารของเมียคนงาน ซึ่งขายทั้งข้าวแกงและอาหารตามสั่งรวมถึงสุรายาดอง เวลาเย็นหลังเลิกงานไปแล้วจะมีคนงานมานั่งดื่มกินพอหอมปากหอมคอบางคนว่าพอแก้เข็ดแก้เมื่อยจากการทำงาน บางคนบอกว่าทำให้นอนหลับสบาย ซึ่งสุภานายจ้างของทุกคนรู้ดีและไม่ได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นเวลาส่วนตัวและไม่ทำให้เสียงานเสียการ
“เอายาดองมากินหน่อยป้า” วินัยสั่งทันทีที่นั่งลง
“ยาดองแต่หัววันเลยหรือ ไม่ทำงานหรือจ้ะ”
“ถูกไล่ออกแล้วป้า เอามาๆ ขอข้าวผัดแหนมไข่ดาวสักจานด้วย”
“ได้ๆ รอสักครู่นะ”
วินัยหยิบแก้วยาดองเล็กๆ กระดกเข้าปากทันทีที่ป้าคนขายนำมาวางให้พร้อมน้ำเปล่าหนึ่งแก้วแล้วเดินกลับไปทำอาหารที่สั่ง วินัยจึงถือแก้วเปล่าไปที่โต๊ะวางโหลยาดองเรียงราย แล้วตักเองอีกหนึ่งแก้วพร้อมร้องบอกแม่ค้า
“ผมเอาอีกหนึ่งนะป้า” พร้อมชูแก้วให้ดูเมื่อแม่ค้าหันมามองแล้วพยักหน้ารับทราบ วินัยเดินไปนั่งที่เดิมมองสายฝนที่พร่างพรมลงมาไม่ขาดสาย หนักบ้างซาลงบ้างสลับกันไป รวมถึงฟ้าคะนองก็มีเป็นระยะๆ เหมือนฟ้าแกล้งคนทำงานในไร่ให้เปียกปอนหนาวสั่น
แต่สำหรับไร่แห่งนี้มีที่พักให้คนงานได้หลบแดดหลบฝนเวลาหยุดพักจากงานของตัว มีที่ให้หลบแดดกินข้าวกลางวัน บางคนนำปิ่นโตไปจากบ้านจะได้ไม่ต้องออกไปหาซื้อกินซึ่งจะมีร้านขายอาหารแบบนี้อยู่สองที่และห่างกันพอสมควรเพื่อจะได้ไม่แย่งลูกค้ากันเอง
“ขอบคุณป้า ฝนตกแบบนี้ลูกค้าหายหมดสิครับ”วินัยพูดเมื่อแม่ค้านำข้าวผัดที่สั่งมาให้
“ไม่หรอกจ้ะ ตอนเที่ยงคนงานมากินกันไปยกหนึ่งแล้ว บ่ายๆ แบบนี้ไม่มีลูกค้าหรอก รอโน่นหลังเลิกงานอีกทีพวกคอเหล้า ก็ได้ขายทั้งยาดองทั้งกับแกล้ม ว่าแต่ที่บอกว่าถูกไล่ออกนะจริงหรือ” ป้าแม่ค้ายังคาใจ เพราะรู้จักหน้าค่าตาดีว่าวินัยเป็นใครทำงานส่วนไหน ไม่ใช่คนงานปลายแถวหรือลูกจ้างรายวัน ทั้งเรื่องข่าวเล่าข่าวลือก็มีหนาหู ยิ่งไม่น่าจะถูกไล่ออกง่ายๆ
“ไม่รู้ไล่จริงหรือหยอกเล่นเหมือนกันป้า แต่ไหนๆ เขาก็ไล่แล้วผมเลยเกงานมันเสียเลย ฝนตกแบบนี้น่าเมาจะตาย” เขาพูดเรื่อยๆ พลางตักอาหารเข้าปาก
“อ๋อ ถ้าแบบนั้นคงล้อเล่นแหละ คุณๆ แกไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำไล่คนออกบ่อยๆ เสียที่ไหน” แม่ค้าว่าแล้วเดินกลับไปหาที่นั่ง
“ไม่มีลูกค้าแล้วป้าจะงีบก็ได้นะ ผมเฝ้าร้านเอง รอฝนซาค่อยไปหาที่เมาต่อ”
“ขอบใจพ่อคุณ แต่ป้าเอนหลังแล้ว นี่ก็เตรียมของสำหรับขายตอนเย็นไปเรื่อยๆ”
“ครับ” วินัยหันไปพยักหน้ารับทราบ แล้วกินข้าวต่อจนหมด ตบท้ายด้วยกระดกยาดองหมดแก้วแล้วดื่มน้ำตาม แต่เมื่อไม่รู้จะไปที่ไหนดีจึงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เห็นคนงานทยอยมาซื้อกับข้าวและตั้งวงแล้ว เขาจึงรีบจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน
“อ้าวหัวหน้า หน้าไปโดนอะไรมาช้ำหมด” เป็นความบังเอิญหรือสวรรค์แกล้งก็ไม่รู้ที่คนงานเห็นใบหน้าเขาแล้วทักขึ้น ทำให้ทุกสายตามองเขาเป็นจุดเดียว
“ฝนตกถนนลื่นไง ล้มไม่เป็นท่าเลย” แล้วเขาก็แกล้งหัวเราะพลางรีบเดินไปสตาร์ทรถแล้วขี่ออกไปทันทีทั้งที่ฝนยังโปรยปรายไม่ขาดเม็ด
วินัยขับรถผ่านสำนักงานเห็นไฟปิดสนิทก็แปลกใจ เพราะปกติไฟด้านหน้าซึ่งติดตั้งระบบเปิดปิดอัตโนมัติเอาไว้จะต้องทำงานแล้ว ยิ่งฝนตกฟ้าครึ้มไฟจะยิ่งส่องสว่างตลอดเวลา
หรือฟิวส์ขาด เมื่อสงสัยเขาจึงจอดรถลงไปดู
วินัยเดินฝ่าความสลัวเข้าในอาคารไปที่แฝงควบคุมไฟฟ้าอย่างคุ้นเคย เพราะทำงานมาหลายปีและเป็นที่ไว้วางใจเขาจึงรู้ว่ากุญแจอยู่ตรงไหน สามารถเปิดเข้ามาเองได้โดยไม่ต้องรอให้ยามมาเปิดประตูให้เพราะไม่อยากรอให้ยามรักษาการณ์ที่จะขับรถวนไปรอบๆ ไร่ ทั้งวันทั้งคืนวนกลับมา
“มีอะไรครับพี่” เสียงตะโกนถามอยู่ด้านหลัง วินัยหันไปมองเห็นรถยนต์จอดไฟสว่างแล้วคนที่ถามกำลังเดินมาหา ส่วนคนขับยังอยู่ในรถ
“ไฟด้านหน้านั่นมันมืด เลยมาดูแผงควบคุม นี่ไงไฟมันตัด” วินัยบอก
“คงเพิ่งตัด เมื่อกี้ผมผ่านมายังสว่างอยู่เลยครับ เดี๋ยวผมทำเองครับพี่ตัวเปียก” ชายวัยฉกรรจ์รีบบอกแล้วลงมือทำ เมื่อสะพานไฟถูกยกขึ้นไฟอัตโนมัติด้านหน้าประตูก็เปิดสว่าง ทว่าไม่ได้สว่างแค่ไฟด้านหน้า ไฟในห้องทำงานพีรวัสก็เปิดสว่างขึ้นด้วย
“อ้าว ใครลืมปิดไฟ” วินัยว่าแล้วเดินไปที่ห้อง ยิ่งเดินเข้าใกล้เสียงครางฮือๆ ก็ดังชัดขึ้น
“ผีหรือเปล่าพี่” รปภ.หนุ่มฉกรรจ์ตัวล่ำใหญ่แต่ถามเสียงตื่นกลัวจนวินัยอดหันไปมองไม่ได้
“กลัวผีหรือเรา แล้วอยู่ยามกลางคืนทำยังไง”
“ก็มีเพื่อนนี่ครับพี่ ไม่ได้อยู่คนเดียว” ตอบเสียงอ้อมแอ้ม วินัยจึงบอกให้รอตรงนี้หรือกลับไปเลยก็ได้ ส่วนเขาเร่งฝีเท้าไปถึงห้องทำงานเจ้านายแล้วเปิดประตูเข้าไปทันที
“เฮ้ย! น้องเพี้ยง!