[3]
จูบของเลฟและกลิ่นซิก้า
กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยมาจากแก้วของใครสักคน ณัชรินทร์ปรือตาขึ้นมอง แสงสว่างจากภายนอกส่องผ่านหน้าต่างบานหนาเข้ามาปะทะร่างของเลฟ
แน่นอน...เธอมั่นใจว่านั่นคือเขา เพราะสูทที่สวมบนร่างนั้นเป็นสีเทาแสนทึมทึบ ไม่ใช่ลายดอกไม้สีสันสดใสอย่างที่อเล็กเซย์โปรดปราน เขามองมาทางนี้ ดวงตาเหมือนมีไฟกองเล็กๆ ปะทุอยู่ภายใน อะไรกันล่ะ เมื่อคืนก็นึกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ
ณัชรินทร์ลุกขึ้นนั่ง เลฟโยนบางอย่างมาให้
ตุ้บ!
สมาร์ตโฟนของเขาหล่นลงมาบนตักของเธอ เธอก้มลงมอง ขยี้หูตาอีกคราเมื่อเห็นว่ามีรูปของเธอกับอเล็กเซย์อยู่บนหน้าจอ เหมือนจะเป็นข่าวอะไรสักอย่างที่มีภาษาอังกฤษสอดแทรกอยู่ไม่กี่ประโยค และเธอมั่นใจว่าคนเขียน เข้าใจบางอย่างผิดไป
“นั่นไม่ใช่คุณ ทำไมในข่าวบอกว่าเป็นคุณล่ะ ชื่อคุณเด่นหราซะ และฉันไม่เห็นชื่ออเล็กเซย์”
“เป็นเรื่องธรรมดาของฝาแฝดละมั้ง ยินดีด้วยนะชาช่า ได้เป็นผู้หญิงของมาเฟียจริงๆ ก็คราวนี้”
“ไม่เห็นอยากจะเป็นเลย”
“แน่นอน ใช่ว่าจะเป็นกันง่ายๆ นี่ รู้ไหมว่าผู้หญิงของมาเฟียต้องเจอกับอะไร” เขาถาม แต่หล่อนยักไหล่แล้วคลานลงจากเตียง เขาเดินเข้าไปหา วางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะแล้วพิจารณาแก้มใสๆ ของคนตรงหน้า
สีผิวหล่อนช่างนวลตา ไม่เหมือนผู้หญิงที่เขาเคยใกล้ชิด ผู้หญิงเหล่านั้นส่วนมากมีผิวที่ขาวซีด...เหมือนศพ
“ฉันไม่สนหรอก”
“ถ้าอยู่นี่เกินสองเดือน ศัตรูของฉันได้หมายหัวเธอแน่ และถ้าเธอก้าวออกจากคฤหาสน์ของมาติเนซโดยไร้บอดี้การ์ดละก็ เธอมีสิทธิ์ถูกลักพาตัว ถูกทรมานร่างกาย แบบว่า...ผูกขาห้อยไว้กับพัดลมเพดานสักตัว ในขณะที่หัวจมอยู่ในถังน้ำมันเก่าๆ ที่ใส่น้ำจนเต็ม”
“ฮึบ!” ณัชรินทร์เผลอกลั้นหายใจ คิดภาพตามที่เลฟพูดมาแล้วรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำ
“กลัวแล้วใช่ไหมล่ะ เอาละกระต่ายน้อย คราวหน้าถ้าคิดจะก้าวขาออกจากที่นี่ก็ช่วยบอกฉันหรือไม่ก็ฟีโอดอร์ อย่าหายไปดื้อๆ อย่าคิดหนี อย่างน้อยก็จนกว่าฉันจะได้เพชรคืน เข้าใจนะ”
เปลือกตาของณัชรินทร์กะพริบถี่ๆ ชั่งใจเป็นนาทีก่อนจะพยักหน้าอย่างว่าง่าย
เลฟมองท่าทีหล่อนอย่างพึงใจ ตอนที่หล่อนไม่ดื้อ ไม่เถียง ก็น่ารักดีนะ โอ...ให้ตายสิ หล่อนเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาชมว่าน่ารัก ประหลาดชะมัดเลย
ณัชรินทร์เม้มปากเมื่อเขาเอาแต่จ้องหน้ากันไม่ยอมละสายตา
“อย่าเม้มปาก” เขาสั่ง
“ฮะ?”
“เธอยั่วฉันเหรอ”
“ยั่วกับผีน่ะสิ แค่เม้มปาก” เธอเถียงเสียงเขียว
“แล้วทำไมต้องมาเม้มต่อหน้าฉันด้วยล่ะ หรืออยากจะย้ายไปนอนบนเตียงสี่เสา”
เธอรีบยกมือขอยอมแพ้ อีตานี่คิดเป็นอยู่เรื่องเดียวหรือไง ผู้หญิงบนเกาะนี้ไม่มียาไส้เหรอ ถึงได้คิดเรื่องหื่นๆ กับเธออยู่เรื่อย เฮ้อ...การปะทะคารมกับเลฟตั้งแต่ตื่นนอนไม่เป็นผลดีเลย เสียสุขภาพจิตชะมัด
“เอาละเลฟ จะดีมากถ้าคุณบอกมาว่าฉันพอจะช่วยอะไรได้บ้างเรื่องน้องสาวฉัน และเพชรที่หายไป”
“จะดีกว่าถ้าคุณเลิกพูดแล้วไปล้างหน้าล้างตาซะ”
ณัชรินทร์ทำหน้าเบื่อโลก อันที่จริงเธออยากนอนต่ออีกสักนิด นอนคิดเรื่องพาขวัญ อยากนอนจมเตียงไม่ต้องลุกมาเถียงกับเขายิ่งดี
“ทำไมชอบมาวุ่นวายกับฉันนักนะ”
“ไปแปรงฟันชาช่า”
“ไม่”
“ไปแปรงเดี๋ยวนี้!”
“แล้วมันเรื่องอะไรต้องมาบังคับกันฮะ จะพาฉันออกไปข้างนอกเหรอ”
“เปล่า...แค่อยากจูบ” เขาตอบหนักแน่น ไร้แววล้อเล่นใดๆ ดวงตาคู่คมกวาดมองไปทั่วเรือนร่างของคนที่ยังอยู่ในชุดนอน ถ้าชุดนั่นแนบเนื้อสักหน่อย เขาคงได้เห็นรูปทรงหน้าอกของหล่อนชัดเจน อา...แค่คิดก็อยากจะวัดขนาดพุ่มทรวงของหล่อนด้วยฝ่ามือ มันคงจะ...นุ่มหยุ่นเอามากๆ เลย
ณัชรินทร์รีบเผ่นเข้าห้องน้ำ ก่อนที่พ่อมาเฟียจอมบงการจะกระชากเธอไปจูบแล้วลากเข้าสู่วังวนแห่งราคะ ถึงไม่พูดออกมาแต่เธอดูออก ความนิ่งของเขา แววตาเขา จังหวะลมหายใจของเขา มันไม่ต่างจากท่าทีของเสือร้ายที่กำลังคิดหาวิธีตะครุบเหยื่อที่เป็นกระต่ายตัวน้อยๆ และกระต่ายอย่างเธอจะไม่ยอมตกเป็นเป้านิ่งเด็ดขาด!
เธอจงใจอยู่ในห้องน้ำนานกว่าปกติ หวังว่าเลฟจะไม่อยู่ตอนออกมา และใช่ เขาออกจากห้องไปแล้ว เธอเริ่มแต่งตัวด้วยชุดที่วาเลนติน่าจัดหามาให้ ชุดสวยราคาแพง แต่สวมใส่ไม่สบายอย่างที่คิด เธอยังหนักใจเรื่องพาขวัญจนไม่กล้าจะโทรกลับบ้าน กลัวว่าลุงกับป้าจะถามหาน้อง เธอไม่อยากโกหกพวกท่านว่าเจ้าหล่อนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย เธอโกหกไม่เก่ง
“เลฟต้องหายัยขวัญเจอสิ แม่คนนั้นจะไปไหนได้ อาจจะแค่ตกใจเรื่องแฟนเลยต้องหาที่ซ่อนตัว ใจเย็นๆ นะน้ำ แกต้องใจเย็นๆ ทำใจให้สงบแล้วหาวิธีต่อกรกับเลฟ ก่อนที่เขาจะต้อนแกขึ้นเตียง นั่นแหละ สิ่งที่แกควรทำ” บอกตัวเองในกระจกแล้วสำรวจร่างกายอีกครา ทุกอย่างยังปกติ เธอดูดีเสมอเมื่อสวมใส่เสื้อผ้ามีราคา ทว่าเมื่อมองไปที่ลำคอ จึงได้รู้ว่าบางอย่างหายไป
“สร้อยล่ะ? สร้อยหายไปไหนกัน”
กระต่ายน้อยของเลฟออกตามหาสร้อยที่สวมติดคอ จำได้ว่าก่อนนอนเธอยังสวมมันอยู่ ตะขอของมันอาจจะหลุดเลยหล่นอยู่บนเตียง เธอควานหามัน ทั้งสลัดผ้านวมออกดูแต่ไม่เจอ
“หรือว่า...เขาจะเอาไป” เธอนึกถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เขาจะเอาสร้อยเงินเส้นเล็กๆ ไปทำไมในเมื่อมันไม่ได้มีค่ามีราคาอะไรเลย
ในขณะที่ณัชรินทร์กำลังควานหาสร้อย บนคฤหาสน์อีกหลัง สร้อยเงินวาววับก็กำลังถูกหยิบจากถาดกำมะหยี่ เลฟหยิบมันขึ้นมา สองตาจ้องสร้อยเส้นน้อยแล้วเผลอยิ้มไม่รู้ตัว
ฟีโอดอร์มองรอยยิ้มของผู้เป็นนายแล้วต้องเลิกคิ้วสูง รอยยิ้มแบบนั้น เขาเห็นนับครั้งได้
“เรียบร้อยดีใช่ไหม” เลฟถาม ปลายนิ้วแตะลูบตัวสร้อยอย่างเบามือ
“เรียบร้อยดีครับ” ฟีโอดอร์ยืนยัน
“ดี”
เลฟบอกเพียงสั้นๆ แล้วมองไปที่ประตู ฟีโอดอร์รู้หน้าที่ รีบก้าวออกไปพร้อมกับถาดที่ถือมา
เมื่ออยู่เพียงลำพัง เลฟก็ได้พิจารณาสร้อยของณัชรินทร์อีกครั้ง มันเป็นสร้อยเงินเส้นเล็กๆ มีจี้ดอกเดซี่สีขาว เกสรตรงกลางเป็นคริสตัลสีเหลืองอ่อนจาง มองมันแล้วยิ่งนึกถึงเจ้าของ คิดถึงผิวเหลืองนวลของหล่อน คิดถึงเสียงแวดๆ ของหล่อนตอนด่าเขา พลังของหล่อนมีมากเหลือเกินตอนยืนเถียงเขาคอเป็นเอ็น
“ดอกเดซี่นี่เหมาะกับเธอดีนะ แสนจะธรรมดา แต่ว่า...สดใสดีจัง”
เปรยกับตัวเองแล้วยิ้มบางๆ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะหุบลงเมื่อมีเสียงเคลื่อนไหวที่หน้าประตู มีคนมา และไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น บานประตูก็เปิดอ้า
“เมื่อคืนนอนที่ห้องกับแม่หนูนั่นเหรอ แปลกดีนะ”
พอได้ยินเสียงมารดา เลฟก็ส่งสร้อยเข้าในกระเป๋ากางเกง ดวงตาคมกล้าของเขา มองมารดาอย่างรำคาญใจ มีเรื่องอะไรที่คุณนายวาเลนติน่าต้องการจากลูกชายจนต้องมาหาถึงที่นี่ด้วยเหรอ
“แปลกเรื่องอะไร ปกติก็เปลี่ยนผู้หญิงเดือนละหลายคน”
“แปลกที่ยอมไปหาแม่หนูนั่น ทั้งที่เจ้าหล่อนนอนอยู่บ้านโน้นยังไงล่ะ”
พอมารดาเอ่ยอย่างรู้ทัน ลูกชายก็ไร้คำจะโต้แย้ง เขาเลือกจะเงียบ อย่างที่ทำเป็นประจำ
“หายโกรธกันแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้โกรธ” เลฟสวนทันควัน
“ไม่จริง ลูกยังโกรธแม่อยู่ มันผ่านมานานแล้วนะเลฟ ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากความเจ็บปวดของผู้หญิงที่ลูกเรียกเธอว่าแม่”
“มันก็คงไม่มีจริงๆ ละมั้ง มันผ่านมานานแล้วอย่างที่เรารู้กัน แต่ถ้าแม่เชื่อผมสักนิด หรือแค่บอกให้คนของเราตรวจสอบ บางทีอาจจะเจออะไรบ้างก็ได้”
“นั่นไม่ใช่ที่ของเรา ที่นั่นไม่ใช่เกาะนี้ และลูกเพิ่งจะเจ็ดขวบ ลูกเป็นแค่เด็กที่กำลังสะเทือนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
เลฟส่ายหัวให้เรื่องราวที่กำลังย้อนกลับมาที่จุดเดิม จุดที่เขากับมารดาต้องมาทะเลาะกันอยู่เรื่อย เขาเหนื่อยเต็มทีแล้ว
“มาที่นี่ทำไม กลับไปที่ของแม่สิ”
“เลฟ!? แม่ไม่ได้เจอหน้าลูกสักพักแล้วนะ ไปถึงบ้านโน้น ใจคอจะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ ลูกใจดำเกินไปแล้ว”
“ใครว่าใจดำ ผมไม่มีหัวใจต่างหาก ผมไม่เหมือนอเล็กเซย์คนโปรดแม่หรอก”
วาเลนติน่าขมวดคิ้วแน่นเมื่อถูกลูกประชด นางไม่เข้าใจเลย ทำไมเขาต้องฝังใจกับเรื่องราวในอดีตนัก ลืมๆ มันไปบ้างก็ได้
“อ้อ...อย่ายุ่งกับเธอ เธอเป็นของผม”
“หมายถึงใคร ชาช่าเหรอ ไม่...แม่หนูนั่นเป็นคนของอเล็กเซย์”
“คนของผมต่างหาก เธอเป็นหนี้ผมอยู่ เท่ากับเป็นสมบัติของผม อย่ามาวุ่นวาย ขอร้อง”
“ลูกถึงกับขอร้องแม่เพื่อผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันเนี่ยนะ อันตรายเกินไปแล้วนะเลฟ ลูกมีใจให้เธองั้นเหรอ”
เลฟขมวดคิ้วอย่างรุนแรง มารดาที่เคารพพล่ามเรื่องบ้าอะไรอีก
“ก็เพิ่งบอกไปแท้ๆ ว่าเธอเป็นหนี้ผม”
“ถ้าลูกมีใจให้เธอ ลูกจะตกอยู่ในอันตราย”
“น้องสาวเธอขโมยเพชรผมไป และเธอต้องชดใช้!”
“ศัตรูของลูกจะรู้ว่าเธอเป็นจุดอ่อน และไม่นานหลังจากนี้ ลูกจะถูกเล่นงาน เลฟ...พอเถอะ ส่งเธอกลับเมืองไทยไปซะ!”
สองแม่ลูกเจรจากันอยู่ แต่เหมือนว่าเรื่องที่เจรจา จะต่างกันอย่างสิ้นเชิง เลฟจ้องมารดาอย่างตำหนิ
“ผมไม่มีหัวใจ ผมรักใครไม่เป็น อย่าพูดเรื่องไร้สาระนี่อีก มันน่ารำคาญ”
วาเลนติน่าใจหายเมื่อได้เห็นท่าทีของเลฟ เขาดูเปลี่ยนไปนะ เพราะอะไรล่ะ เพราะแม่หนูจากเมืองไทยนั่นหรือ
ก๊อกๆๆ
ประตูถูกเคาะทั้งที่เปิดอยู่ วาเลนติน่าหันไปมอง เจอแม่สาวร่างเล็กในชุดเดรสสั้นสีส้มอ่อน ชุดแบรนด์เนมหรูหรา ยามอยู่บนร่างหล่อนช่างส่งให้คนสวมดูสง่า อกเป็นอก เอวเป็นเอว ใบหน้างามกระจ่างอยู่กลางแพรผมสีนิลสนิท รวมๆ แล้ว หล่อนดูสว่างสดใสราวกับพระอาทิตย์ในวันที่มีหิมะโปรยปราย
“ขอโทษที่มารบกวนนะคะ คือ...หนูอยากจะถามอะไรเลฟสักหน่อย”
วาเลนติน่าสูบลมหายใจเข้าลึก มองใบหน้าเล็กเรียวของสาวเจ้าแล้วเหนื่อยใจ คงดีกว่านี้ถ้าณัชรินทร์ไม่ได้ดูสวยแปลกตา และคงดีกว่าหากหล่อนหน้าตาคล้ายๆ ผู้หญิงบนเกาะนี้ที่มีออกเกลื่อน
“เชิญจ้ะ เอ่อ...เมื่อคืนหลับสบายดีไหม”
คนถูกถามกะพริบตาถี่ๆ หรือวาเลนติน่าจะรู้ว่าเมื่อคืนเลฟไปค้างที่ห้องนอนของเธอ
“ค่ะ...หลับสบายที่สุดเลย”
“คืนนี้เธอจะนอนที่นี่ ไม่ต้องจัดห้องให้เธออีก”
เลฟเอ่ยแทรกการพูดคุยของสองสาว วาเลนติน่าเหลือบมองลูกชายทางหางตา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ก่อนจะก้าวออกจากห้องไป
เลฟกวาดตามองคนในชุดเดรสเรียบหรู ที่ตัวเสื้อแนบไปกับผิวเนื้อหล่อน มันดูดีจนเขาอยากจะถอดชุดนั่นทิ้งเสีย
“บอกทีว่าคุณเอาสร้อยฉันมา” ณัชรินทร์เริ่มคำถาม
เลฟไม่ได้โต้ตอบในทันที เขากำลังควบคุมอารมณ์ให้นิ่งอยู่ เลยหันมองแต่ปุยหิมะนอกหน้าต่าง มันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกแม้แต่นิดเดียว
“เลฟ!?”
“เอาสร้อยมาจากไหน” เขาย้อนถามณัชรินทร์ มือข้างหนึ่งล้วงเอาสายสร้อยออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“มีคนให้น่ะสิ เอามานะ นั่นของฉัน”
เธอทวงคืนของที่เลฟขโมยมา เขาไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับของของเธอ
“เธออายุเท่าไหร่”
“ผู้ชายไม่ควรถามอายุผู้หญิงแบบนี้นะ ที่นี่เขาไม่รู้จักคำว่ามารยาทเหรอ”
เลฟยักไหล่ ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แต่ทำให้คนมองอย่างณัชรินทร์ต้องกะพริบตาถี่ๆ เวลาเขายิ้มก็เหมือนว่าเธอจะเห็นรอยยิ้มของอเล็กเซย์ด้วย
“ขอถามอีกรอบว่าเอาสร้อยมาจากไหน”
ณัชรินทร์มุ่นคิ้วแรงๆ อะไรของเขากันนะ
“ยัยขวัญให้มาตั้งแต่ตอนฉันเล็กๆ น่ะ คงใส่จนเบื่อเลยโยนมาให้ละมั้ง”
เลฟคิดตามคำบอกเล่า มองสร้อยในมือสลับกับใบหน้าของคนพูด
“ขวัญ?”
“พาขวัญ น้องสาวฉันไง คุณไม่รู้ชื่อเธอเหรอ”
เขาส่ายหน้าปฏิเสธ เริ่มคิดถึงคนที่เคยเป็นเจ้าของสร้อยเส้นนี้ คงดีหากเจ้าหล่อนอยู่ที่นี่ด้วย เพราะเขาจะได้ถามสักคำว่าเพชรอยู่ที่ไหน
“ขยับมา จะให้ใส่”
“ฉันใส่เองได้น่า” เอ่ยปฏิเสธ แต่เขากลับดึงเธอเข้าไปใกล้ ใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ ราดรดใบหน้าเธอ ปลายนิ้วเขาช่างอุ่นร้อน ยิ่งตอนที่เขาบรรจงสวมสร้อยให้กัน เธอก็ได้ยืนตัวแข็งทื่อ ผู้ชายอย่างเลฟทำอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอ ท่าทีเขาเหมือนจะป่าเถื่อนละนะ แต่ตอนที่ตั้งอกตั้งใจติดตะขอสร้อย มันดูอ่อนโยนจนรู้สึกได้เลย
“ถ้าเป็นของสำคัญก็ไม่ควรทำหายสิ เธอทำมันหล่นบนเตียงเมื่อคืนนี้”
“ฉันแน่ใจว่าไม่มีทางทำมันหล่นแน่ๆ คุณต่างหากที่ขโมยมา”
เลฟทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ มองคนที่กำลังกล่าวหาเขาอย่างไม่กริ่งเกรงใดๆ เขาเป็นเจ้าของเกาะนี้นะ เป็นเหมือนราชา หล่อนไม่เกรงกลัวบารมีกันบ้างหรือ
“พาสปอร์ตฉันจะได้วันไหน”
“ได้แล้ว”
“หือ?”
พอหญิงสาวส่งเสียงคราง เลฟก็ได้เปิดเซฟของเขาแล้วหยิบเอาพาสปอร์ตเล่มหนึ่งออกมา คนที่มีอำนาจและเงินตรา มันดีอย่างนี้เองสินะ เขาสามารถเสกพาสปอร์ตเล่มใหม่ให้เธอได้ในพริบตาเลย
ณัชรินทร์โผเข้าไปหมายว่าจะคว้าพาสปอร์ตจากมือเลฟ แต่เลฟไวกว่า เขาโยนพาสปอร์ตเล่มนั้นเข้าเซฟแล้วปิดล็อก ก่อนจะคว้าเอวบางของกระต่ายน้อยน่ารัก กอดหล่อนไว้ พาร่างหล่อนออกห่างจากตู้เซฟ
“ปล่อยฉันนะ!”
“ไม่ปล่อย ทำไมนิสัยไม่ดีล่ะ แค่ให้ดู ไม่ใช่ว่าจะให้เลย พาขวัญเอาเพชรมาคืนเมื่อไหร่ เธอได้พาสปอร์ตแน่”
“แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะ! ถ้าหาพาขวัญไม่เจอ ฉันไม่ต้องอยู่ที่นี่จนแก่ตายเหรอ!”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เห็นหรือยังว่าการปล่อยเวลาให้สูญเปล่ามันไร้ประโยชน์” เขาชี้แนะแล้วเริ่มลูบไล้แผ่นหลังของณัชรินทร์ “สาวๆ ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านไปเปล่าๆ ไปขลุกอยู่บนเตียงสี่เสาสนุกกว่าเยอะ ทั้งโซ่แส้ กุญแจมือ มีทุกอย่างเลย ถ้าเธอต้องการ”
“โรคจิต! คุณพูดเรื่องอย่างว่าตอนเช้าขนาดนี้ได้ยังไง ไม่พะอืดพะอมบ้างเหรอ”
“ก็ไม่นะ ฉันชอบไง จะเวลาไหนก็สะดวก โดยเฉพาะเวลาที่มีผู้หญิงปากเก่งมายืนเถียงฉอดๆ ในอ้อมแขน”
หญิงสาวอ้าปากค้าง ทั้งดิ้นทั้งทุบเข้าที่แผงอกของคนตัวโต
หมับ!
“อ๊ะ! เจ็บนะ!” ร้องโอดโอยเมื่อมือใหญ่ขยุ้มเข้าที่พวงผมของเธอ ก่อนจะบังคับให้เธอเงยหน้า เพื่อเผยออ้าริมฝีปากให้เขาจ้องมอง
“ขอโทษทีนะคนสวย พอดีตื่นเต้นน่ะ เลยมือหนักไปหน่อย เธอควรทำตัวให้ชินนะ ฉันอาจจะรุนแรงได้มากกว่านี้ เพราะฉันมันโรคจิต!”
“ไอ้บ้า! ไอ้...อื้อ...”
ด่าเขาไม่ทันสาแก่ใจก็ถูกริมฝีปากชายบดบี้ขยี้จูบลงมา เขากอดเธอไว้ด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาดันศีรษะเธอเข้าหา ให้เธอไม่อาจเบี่ยงใบหน้าหนีจุมพิตตีตราที่เขายัดเยียดให้ ปากเขาอุ่นเหลือเกิน ทั้งอุ่นทั้งหวาน ลิ้นเขาแตะต้องลิ้นกันแต่ละทีเหมือนมีกระแสไฟพุ่งไปที่ปลายเท้า มันชวนให้เธออยากละทิ้งทิฐิและความตั้งอกตั้งใจทั้งหลาย แล้วแก้ผ้าลงตรงนี้ ถอดชุดอันแสนเกะกะ กอดบราที่คับแน่นเกินไป ให้เหลือเพียงกายเนื้อล่อนจ้อน เพื่อให้เลฟ...ได้ลงโทษกันให้สาแก่ใจ