EP 4/1 บนเตียงสี่เสาอันเร่าร้อน

3053 คำ
[4] บนเตียงสี่เสาอันเร่าร้อน กลิ่นชากุหลาบอบอวลที่ปลายจมูก ณัชรินทร์ชอบมันเหลือเกิน เธอสูดกลิ่นนั้นเข้าเต็มปอด ก่อนจะปรือตาขึ้นมอง แลเห็นม่านมุ้งที่ขึงไว้กับเตียงสี่เสา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธออยู่ในห้องใคร “ดูแย่กว่าที่คิดนะ ไม่สบายเหรอ” เขาถามพลางประคองหล่อนให้ลุกนั่ง หมอนสองใบถูกหยิบมาซ้อนหลังให้หล่อนได้พิง “ปะ...เปล่า ก็แค่...แพ้กลิ่นบุหรี่นั่นแหละ” พอได้ยินณัชรินทร์เอ่ยเช่นนั้น ตลับสีเงินวาววับที่มีบุหรี่ราคาแพงอยู่ข้างในก็ถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง “เราเคยจูบกัน และเธอยังดูปกติ” “น่าจะเพราะมันเป็นกลิ่นซิก้าละมั้ง มันไม่เหมือนกลิ่นบุหรี่ของคุณ และมัน...ทำให้ฉันหายใจไม่ออก” บอกเขาแล้วมุ่นคิ้ว ยังรู้สึกเหมือนว่าได้กลิ่นซิก้าของเทรเวอร์ เลฟมุ่นคิ้ว มองณัชรินทร์อย่างพิจารณา ทั้งขยับเข้าไปหา นั่งลงบนเตียงข้างกัน มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหาแก้มบาง ไล้หลังมือไปตามแนวคางมน คนที่เอาแต่หน้าซีดเซียวจึงค่อยๆ มีสีแดงระบายที่พวงแก้ม “อย่างนี้ค่อยดีขึ้นมาหน่อย ไม่ชอบเห็นเธอหน้าซีดเลย มันดูเหมือนศพ” ณัชรินทร์ได้แต่เม้มปากแน่น เขาไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งที่คิดออกมาจนหมดก็ได้ เธอดึงเสื้อคลุมออกจากร่าง มันร้อนเกินไปยามอยู่ในห้องสองต่อสองกับเลฟ มาเฟียหนุ่มมองเรือนร่างที่ถูกหุ้มห่อด้วยเนื้อผ้านุ่มนิ่ม ตัวเสื้อรัดรึงพุ่มทรวงหล่อนจนเห็นเป็นรูปทรงชัดเจน เขาเลื่อนมือที่ไล้อยู่ปลายคางลงมาตามแนวลำคอ ลากมันลงหาเนินอกที่ถูกซ่อนไว้ในเดรสตัวสวย “ฉันไม่เคยยุ่งกับชุดของผู้หญิงคนไหน ตราบใดที่เจ้าหล่อนต้องถอดมันทิ้งบนเตียง แต่ว่า...บอกตามตรง ไม่ชอบจริงๆ นะ ชุดนี้ของเธอ” “มันไม่ได้โป๊สักนิด ดูสิ...ปิดตั้งแต่คอยันเข่า” เธอเถียงด้วยความจริง นึกอยากหลับสักงีบเพราะเริ่มปวดหัวตุบๆ “ก็ดูอยู่นี่ไง และก็เห็นว่ามัน...รัดรูปเกินไป มองแล้วรู้สึก...กระหายยังไงชอบกล” ณัชรินทร์กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝือเต็มที สถานการณ์ชักไม่ปลอดภัยแล้ว “กระหายน้ำเหรอ หิวน้ำหรือเลฟ” “เปล่า...หิวเธอ” “ไม่...อย่านะ ฉัน...อาการไม่ค่อยดี ฉันเพลีย” ณัชรินทร์สารภาพ เนื้อตัวเธอสั่นสะท้านอย่างกริ่งเกรงด้วยยังรู้สึกถึงกลิ่นซิก้าฉุนๆ แต่เลฟหาได้สนคำห้ามปราม เขาเลื่อนมือขึ้นมาที่ลำคอของเธอ กำมันไว้หลวมๆ แล้วรั้งเข้าหาตัว ใบหน้าเธอเลยถลาไปหาเขา พาริมฝีปากที่กำลังเผยออ้าไปยั่วยวนเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ “ดีแล้ว เพลียมากๆ จะได้ไม่มีแรงดิ้น” เขายิ้มตอนที่พูดอย่างนั้น และจงใจส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เข้าไปในดวงตาของแม่กระตายน้อย “ไหนว่าจะให้เวลา ฉันขอเวลา เลฟ...ได้โปรด” เลฟแตะต้องริมฝีปากที่กำลังขยับขึ้นลงของณัชรินทร์ ปากนุ่มๆ สีกลีบกุหลาบทำให้เขาอดทนได้ยากนัก “เสียใจด้วยที่รัก ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันอยากมีเซ็กซ์กับเธอ...ตอนนี้” ณัชรินทร์ตาเบิกโต ส่ายหน้าพรืด แลหาทางหนีทีไล่แม้สังขารไม่อำนวย แต่เธอหรือจะทันเล่ห์เหลี่ยมมาเฟียจอมหื่น ยังไม่ทันได้ก้าวขาลงจากเตียง เสียงโซ่ถูกลากครืดๆ ก็ดังขึ้น ก่อนที่ข้อมือทั้งสองจะถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ของเลฟ หัวใจเธอเต้นถี่ระรัวยามถูกคุกคามจากชายร่างใหญ่โตที่นั่งคร่อมเธออยู่ เขาดึงเนกไทที่ผูกไว้ดิบดีออกมามัดปากเธอไว้ อย่าได้ฝันว่าจะได้ส่งเสียงร้องใดๆ ได้อีก เขาขยับถอยร่างออกไปจนสามารถนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างท่อนขาของเธอ ก่อนจะยกขาเธอขึ้นมาช้าๆ ทั้งหลับตาพริ้มขณะพาแก้มสากถูไถยังน่องเรียว เขาดูมีความสุขราวกับกำลังพาแก้มสัมผัสกับผ้าไหมเนื้อดี เธออยากจะกรี๊ดดังๆ เธอเกลียดสีหน้าแบบนั้น ไอ้บ้าเลฟ คนโรคจิต! “ผิวเธอ...นุ่มจัง” เลฟชมเปาะแล้วกรีดนิ้วไปตามท่อนขาของณัชรินทร์ ไม่ได้เลิกชายกระโปรงที่ยาวคลุมเข่าขึ้นไป แต่สอดปลายนิ้วไต่เข้าไปจนใกล้เนินเนื้อนุ่มนูนที่อยู่กลางหว่างขา ณัชรินทร์ส่ายหน้าระรัว หลับตาปี๋เมื่อรับรู้ถึงนิ้วแข็งแรงที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ เขาสัมผัสตัวตนของเธอผ่านกางเกงชั้นใน ลูบแตะมันช้าๆ แต่เชื่อไหมว่าสร้างแรงกำหนัดอัดแน่นในร่างนี้เหลือเกิน เลฟได้ใจเมื่อเห็นแม่สาวร่างเล็กหลับตาปี๋และบิดร่างไปมาด้วยความเสียวสะท้าน จากที่เพียงลูบแตะที่เนินเนื้ออวบอูมก็กลายเป็นถูไถแรงขึ้น จนณัชรินทร์ครางอืออาไม่เป็นภาษา เขาจับขาหล่อนให้ตั้งชันไว้ ก่อนจะเลิกชายกระโปรงไปกองที่สะเอว ความงดงามที่ถูกซ่อนไว้ใต้กางเกงชั้นในตัวจ้อยจิ๋วช่างน่าปรารถนายิ่ง เขาไม่รอช้า โน้มหน้าลงไปหา พาริมฝีปากไปจุมพิต ทั้งอ้าปากงับเอาความอวบอูมนั้น กางเกงชั้นในสีขาวสะอาดเริ่มเปียกชื้นด้วยการกระทำของเขา พอๆ กับเสียงหอบหายใจหล่อนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ “ให้ตายสิ! ไม่เคยรู้สึกอยากมีเซ็กซ์กับใครมากขนาดนี้มาก่อน ฉันคงตายแน่ๆ ถ้าไม่ได้เข้าไปอยู่ในตัวเธอ ฉันจะเล่นกับเธอให้หนำใจ จะจูบ จะเลียทุกส่วนบนร่างนี้ จะดมให้กลิ่นเธอติดจมูกฉันไปสามวันสามคืนเลย” ณัชรินทร์ได้แต่กลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ คำพูดเขาทำไมทำให้ร่างกายเธอสั่นสะท้านได้นะ มันรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นด้วยยาปลุกเซ็กซ์ทีเดียว เลฟค่อยๆ ดึงชิ้นส่วนอันเล็กจ้อยออกมาตามเรียวขา หมายว่าจะพาปากลงไปสัมผัสกลีบสาวที่ยังเบียดชิดราวกับดอกไม้ตูมเต่ง เขากรีดนิ้วผ่านรอยแยกอันชุ่มฉ่ำที่กำลังรอตัวตนเขาให้เข้าไปเติมเต็ม ความรู้สึกเหมือนพบเจออาหารจานหายากแต่ไม่อาจจ้วงชิมอย่างตะกละตะกลาม เขาพยายามใจเย็นอยู่ เขาจะละเลียดชิมหล่อนอย่างช้าๆ ดูดชิมลิ้มรสหล่อนให้รู้ซึ้งถึงรสชาติอันหวานหอม จะไม่ยอมให้ความดิบเถื่อนในร่างนี้ทำลายความสดใหม่จนยับเยินจนสิ้นรสแห่งพรหมจรรย์อย่างแน่นอน ปลายนิ้วเรียวของเลฟสอดแทรกเข้าสู่ร่องรูอันเล็กจ้อย ณัชรินทร์บิดร่างไปมาเมื่อสิ่งแปลกปลอมคืบคลานเข้าสู่ร่าง เธอส่ายหน้าระรัวเมื่อรับรู้ถึงนิ้วอันแข็งแรง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ทั้งกัดฟันแน่นหนึบ ทุกการกระทำของเลฟล้วนอยู่ในสายตา ไม่ไหวแล้ว มันเจ็บแปลบแต่ก็เสียวประหลาด มันรู้สึกคับตึง จนอยากให้เขาทำอะไรสักอย่างให้เธอหายจากอาการที่เป็น “อ๊ะ!” “ชู่ว์...ใจเย็นๆ ที่รัก นิ้วของฉันไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย ยังมีให้เธอได้ตื่นตะลึงมากกว่านี้ เชื่อฉันสิ หึๆๆ” ณัชรินทร์หายใจไม่ทั่วท้อง เสียงหัวเราะของเลฟช่างฟังดูเจ้าเล่ห์นัก เขายังเล่นกับส่วนนั้นของเธอ สอดปลายนิ้วเข้าๆ ออกๆ เร็วบ้างช้าบ้างสลับกัน ร่างกายเธอเริ่มมีปฏิกิริยา มันรู้สึกวูบวาบชอบกล เส้นขนบนร่างลุกซู่ชูชัน บางคราก็ทนไม่ไหว ส่งเสียงครางอย่างน่าละอาย แล้วพอเธอส่งเสียงคราง เลฟก็ยิ่งได้ใจ เขาโน้มหน้าลงไปหาส่วนนั้นของเธอ จ้องมอง ลูบแตะ และกำลังจะใช้ปลายลิ้นไล้เลีย ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูทำเอาเลฟต้องเม้มปากแล้วหลับตาแน่นหนึบ ทำไมเสียงเคาะประตูบ้าๆ นั่น ต้องมาดังขึ้นในตอนนี้ทุกที ก๊อกๆๆ เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง “นายครับ ผมเอง” เลฟจำต้องดึงชายกระโปรงของณัชรินทร์ลงมาเมื่อได้ยินเสียงฟีโอดอร์ ณัชรินทร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก พวงแก้มที่แดงเถือกค่อยๆ ลดระดับลงมา เลฟยังมองเธอสลับกับบานประตู ก่อนที่เขาจะโน้มหน้าลงมาอีกครั้งแล้ว กดจูบลงมาแรงๆ บดบี้ขยี้ปากให้สมกับการที่เขาต้องละทิ้งสิ่งที่ต้องการ เธอไม่ได้อยากลุ่มหลงในจูบของซาตาน ทว่าเมื่อความหวานของปลายลิ้นแตะต้องสัมผัสกัน สำนึกส่วนดีใดๆ ก็หายไปชั่วพริบตา เธอเผยออ้าริมฝีปากให้เขา ยอมให้เขาจูบแต่โดยดี จุมพิตครานี้ช่างหวานหอมยิ่งนัก ก๊อกๆๆ สองมือของเลฟผละจากแก้มของณัชรินทร์ ปลายนิ้วโป้งลูบไล้ที่ริมฝีปากล่างของหล่อนอย่างแสนเสียดาย “ถ้าไม่ใช่ฟีโอดอร์ อย่าหวังว่าฉันจะหยุด เธอทำให้ฉันคลั่งได้ยังไงนะชาช่า” คนถูกถามได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ เธอไม่ได้ทำอะไรเลย เธอแค่นั่งโง่ๆ ให้เขาจูบเอา...จูบเอา! เลฟลงจากเตียงตรงไปที่ประตู กระชากมันออกอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “ถ้าเรื่องที่จะรายงานไม่สำคัญละก็ นายโดนดีแน่” ฟีโอดอร์ทำตาโตแต่ไม่ได้นึกกลัวแม้แต่น้อย กับเจ้านายผู้นี้ เขาเป็นทั้งเจ้านาย เป็นเพื่อนและเป็นเหมือนคนในครอบครัวก็ว่าได้ “ลูก้ากลับมาแล้วครับ พร้อมกับมิสพาขวัญ” “อะไรนะ? ยัยขวัญเหรอ เจอน้องฉันแล้วใช่ไหม!” บุรุษทั้งสองหันมองคนบนเตียง เลฟเดินกลับไปหาหล่อน ปลดเอาสายโซ่ออกจากข้อมือข้างหนึ่งให้ แต่ปากยังเอ่ยกับฟิโอดอร์ “ลูก้าไม่เป็นไรใช่ไหม” “ครับนาย” เขาพยักหน้าเมื่อได้รับคำตอบ ลูก้าเป็นมือขวาของเขา หากทุกสิ่งในคฤหาสน์หลังนี้เรียบร้อยลงได้ด้วยการจัดการของฟิโอดอร์ เมื่ออยู่นอกรั้วคฤหาสน์ ทุกสิ่งที่เขาสั่ง ย่อมเรียบร้อยลงได้ด้วยมือของชายที่ชื่อลูก้า “ปล่อยสิ! อีกข้างน่ะ อีกข้าง!” เธอท้วงเมื่อเขาไม่ยอมปลดพันธนาการที่ร้อยรัดข้อมือข้างขวา “อยู่นี่ อย่าไปไหน นอนพักซะ” เขาสั่งแล้วโน้มร่างไปหากระต่ายน้อย ดึงเอาสายสร้อยที่รอบคอหล่อนมาครอบครอง “อย่านะ! เอาสร้อยฉันคืนมา!” “ขอยืมก่อน” “นี่! สัญญากับฉันสิว่าจะไม่ทำอะไรน้องสาวฉัน เลฟ!?” ณัชรินทร์ร้องเสียงขรม กลัวว่าเลฟจะทำอะไรพาขวัญเข้า “ต้องดูก่อนว่าน้องเธอรู้เรื่องเพชรหรือเปล่า และถ้ารู้แล้วตุกติกละก็ คงเหลือแค่ศพกลับเมืองไทยละชาช่า” คนถูกขู่อ้าปากค้าง เขาพูดเล่นใช่ไหม เขาไม่ทำจริงๆ หรอกน่า “เลฟ! ขอร้อง...ได้โปรด...” หญิงสาวเฝ้าวอนขอ ดวงตาคู่สวยทอทอดแววที่ชวนให้เห็นอกเห็นใจ เลฟยิ้มมุมปากให้ณัชรินทร์หน่อยหนึ่ง เวลาที่หล่อนร้องขออย่างสิ้นท่านี่ช่างน่าเอ็นดู ทั้งสีหน้า แววตาและน้ำเสียง ชวนให้เขาอยากยกหัวใจให้หล่อนจริงๆ “นอนซะ อีกชั่วโมงฉันจะกลับมา” นั่นคือคำสั่งสุดท้ายของเลฟ ก่อนที่เขาจะก้าวจากไปพร้อมฟีโอดอร์ ณัชรินทร์หลับไม่ลงทั้งที่ปวดศีรษะมากเหลือเกิน เธอห่วงพาขวัญ คนที่ทำให้เธอต้องเดือดร้อน ถึงจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ ณ ตอนนี้ พาขวัญก็ไม่มีใครเลย ขอให้เลฟเมตตาพาขวัญบ้างเถอะ สักเล็กน้อยก็ยังดี ภายในห้องที่ผนังสามด้านเป็นชั้นหนังสือสูงติดเพดาน พาขวัญถูกสั่งให้นั่งลงบนเก้าอี้ เธอมองตรงไปยังโต๊ะตัวใหญ่ซึ่งตั้งเยื้องกับเตาผิงที่ไฟในนั้นกำลังลุกโชน เหนือเตาผิงขึ้นไปเป็นผนังสีแดงเข้มที่มีภาพวาดของเจ้าของห้อง แขวนอยู่ มันสูงใหญ่เกือบเท่าตัวจริง และนั่นทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงมดแมลงยามถูกคนในภาพวาดจ้องมอง ดูเหมือนว่าเลฟต้องการเจอเธอ บางทีพี่สาวอาจบอกเขาให้ตามหาเธอก็เป็นได้ แอ๊ดดด... หลังเสียงเปิดปิดประตู เสียงการเคลื่อนไหวของพวกชายชุดดำก็ดังเข้าหูมา ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ที่เธอเคยเห็นในโทรทัศน์จะปรากฏแก่สายตา หัวใจเธอเต้นระรัวอย่างน่าละอาย แทบจะลืมไปแล้วว่าแฟนหนุ่มเพิ่งจะตายจากไป ก็เลฟช่างหล่อเหลาจนเธออยากจ้องมองใบหน้านี้ไปนานๆ “เพชรของฉันอยู่ไหน” พาขวัญเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินคำถามเป็นภาษาไทยจากปากของเลฟ “พะ....เพชร? เพชรเหรอ เพชรอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง” พาขวัญละล่ำละลักบอก ส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่อีกฝ่ายทวงถาม เลฟมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา มันเชื่อได้ยากในเมื่อหล่อนคือหนึ่งในคนที่ขโมยเพชรไป “ถ้าโกหก คนของฉันจะจับเธอมัดแล้วฝังไว้ใต้หิมะนอกหน้าต่างนั่น คิดดีๆ สิพาขวัญ เพชรที่พวกเธอขโมยไป อยู่ที่ไหน” พาขวัญยังส่ายหน้ารัวๆ สีหน้ามีแต่แววหวาดกลัวจนปิดไม่มิด น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นหยดแล้วหลดเล่า “ฉันไม่รู้ค่ะ ฉันไม่รู้...” “เล่ามาว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น” พาขวัญกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ ก่อนจะเริ่มเล่าช้าๆ “ระ...เรา...เราทะเลาะกันเรื่องกระเป๋าที่บังเอิญสลับกับผู้ชายคนหนึ่งที่หน้ากาสิโน ก่อนหน้านั้นเขาเมามาก เขาดื่มแต่หัวค่ำจนเดินเซไปชนคนกลุ่มหนึ่งเข้า พวกนั้นเกือบจะฆ่าเรา ดีที่ฉันขอร้องเอาไว้ เรากลับไปที่ห้องพัก เขาดูกระวนกระวายแปลกๆ และพอถึงเวลามื้อค่ำ กินยังไม่ทันเสร็จดี เขาก็แอบพาฉันหนีออกจากกาสิโนไม่ให้พี่ฉันรู้ ระ...เรา เราหนีไปพักที่โรงแรมอีกแห่ง แต่แล้วก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาพร้อมปืน เราพากันวิ่งหนีแล้วเขาก็ถูกยิงจนตกบันได ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรอยู่ในกระเป๋า รู้แค่ว่าต้องหนีเอาตัวรอด ฉะ...ฉัน ฉันไม่รู้ว่าเขามีศัตรูเยอะแค่ไหน ตอนอยู่เมืองไทยเขาดูเป็นคนดีมากจนฉัน...ยอมตามเขามาที่นี่” พาขวัญเล่าพลางปาดน้ำตา เสียงสะอื้นผะแผ่วยังดังอยู่ เหลือบมองเลฟก็เห็นสีหน้าเขาดูอ่อนลง เลฟไม่แน่ใจนักว่าจะเชื่อพาขวัญได้ไหม แต่หยดน้ำตานั่นช่วยได้มากที่เดียว ฟีโอดอร์กระซิบบางอย่างที่ข้างหู เขาชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะดึงสายสร้อยออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทแล้ววางลงตรงหน้าสาวเจ้า “พี่สาวเธออยู่กับฉัน จะเป็นประโยชน์มากหากนับตั้งแต่วันนี้ เธอจะช่วยนึกให้ออกว่ามีอะไร หรือใครบ้างที่เข้ามาติดต่อพวกเธอหลังจากได้เพชรไป ตอนนี้เพชรนั่นเป็นของฉันแล้ว และฉันอยากได้มันคืน” “คงจะแพงมากเลยใช่ไหมคะ” “แพงจนแม้แต่ชีวิตพวกเธอสองพี่น้องก็ยังเทียบไม่ได้ เอาละพาขวัญ เรื่องเพชรฉันจะไม่เร่งเร้า จะไม่บังคับให้เธอคิดให้ออกว่าเพชรอาจจะอยู่ที่ไหนหรืออยู่กับใคร แต่เธอช่วยตอบหน่อยว่าสร้อยตรงหน้า เป็นของเธอหรือเปล่า” พาขวัญเป็นงงเมื่อถูกถาม เธอมองสร้อยตรงหน้า แล้วจำมันได้ดี ที่ด้านหลังของจี้ดอกเดซี่ มีอักษร VL สลักไว้ “ค่ะ...ของฉันเอง ฉันยกให้พี่สาวเมื่อนานมาแล้ว” เลฟมุ่นคิ้วเมื่อได้ฟัง พิจารณาสตรีตรงหน้าก็ไม่ได้เห็นแววโป้ปดแต่อย่างใด “เอาสร้อยมาจากไหน” “ฉันเก็บได้ค่ะ มัน...ไม่ได้เปื้อนเลือดอะไร ฉันเลย...เก็บมา ฉันทำผิดมากจริงๆ มันไม่ใช่ของฉันด้วยซ้ำ ขอโทษค่ะ” เลฟไม่ใส่ใจคำขออภัย เขากำลังสนใจอย่างอื่นอยู่ “จำอะไรได้บ้างไหม เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น” “คุณหมายถึง...” “ตอนที่เธอยังเด็ก...ที่...ร้านอาหาร...” หัวใจของพาขวัญเต้นถี่ขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะเอ่ยถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เธออยากลืม “ฉันไม่อยากพูดถึงมันค่ะ” เธอตอบสั้นๆ สมองประมวลผลอย่างเร่งด่วนถึงเรื่องราวที่ติดอยู่ในความทรงจำ “สร้อยนี่เป็นของฉัน” เลฟบอกสั้นๆ ความเงียบงันดังกระหึ่มขึ้นในห้องที่อุ่นจนเกือบร้อน ไฟในเตาผิงช่างทำงานได้ดีจนสองมือของพาขวัญที่ประสานกันไว้บนตักเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ที่นี่ไม่ต่างจากรังมาเฟีย หากเธอพูดอะไรไม่ถูกใจเจ้าของสถานที่ ไม่แน่ว่านาทีข้างหน้าเธออาจได้กลายเป็นศพ “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะขโมย ฉันยังเด็ก และสร้อยมันก็สวยดี ฉันเลย...” “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ถ้าเธอพอจะนึกอะไรออกละก็...” “มันนานมากแล้วค่ะ ฉันไม่อยากนึกถึง มันทรมาน” เลฟเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างปลงๆ มองคนตรงหน้าแล้วยังไม่มั่นใจว่าตัวเองคิดถูก แต่หล่อนก็ยืนยันมาแล้วว่าเก็บสร้อยของเขาได้ แสดงว่าวันนั้น หล่อนอยู่ที่นั่นจริงๆ พาขวัญมองเลฟดีๆ สมองอันชาญฉลาดบอกว่าเธอน่าจะหาประโยชน์จากสิ่งที่เลฟเอ่ยอ้างได้ เหตุการณ์ในวันนั้นเธอไม่ได้ลืม แต่เธอจำรายละเอียดต่างๆ ไม่ได้มากนัก เธอยังเด็กและเอาแต่ตกใจกลัว แค่รอดมาได้ก็บุญแล้ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม