“แต่ผมทำไม่ได้... ลูกสาวผมไม่ยอมแน่... และผมก็ไม่อยากทำ...”
คาร์โลสหัวเราะ จ้องหน้าอนิรุจด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “นั่นมันแล้วแต่คุณ... เลือกเอาสิ... จะยอมให้ลูกสาวมาเป็นเมียผมแค่ครั้งสองครั้ง หรือว่าจะยอมเสียทุกอย่าง...”
ความอำมหิต เลือดเย็นของหนุ่มวัยฉกรรจ์ตรงหน้าทำให้นายอนิรุจถึงกับคอตก น้ำตาไหลออกมา ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
“ผม... ผมขอเวลาคุยกับลูกก่อน...ได้ไหม...”
ไหล่กว้างทรงพละกำลังไหวน้อยๆ บอกให้รู้ว่าเขาไม่แยแสอะไรทั้งนั้น “ผมต้องการแม่นั่นคืนพรุ่งนี้... และถ้าคุณพาเธอมาไม่ได้ ข้อตกลงที่เราตกลงกันไว้ก็จะถือว่าเป็นโมฆะ... และคุณจะไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ที่ซุกหัวนอน...”
ความเลือดเย็นของนักธุรกิจที่ติดอันดับโหดเหี้ยมที่สุดในโลกสะท้อนเข้าตาของอนิรุจจนแสบตา ชายชราทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับคำพิพากษานั้นด้วยความชอกช้ำ
“ผม... จะพยายาม...”
“ม่าย... ไม่ใช่พยายาม แต่ต้องทำให้ได้สิครับ...”
คาร์โลสร้องขัดเสียงเหี้ยมเกรียมน่ากลัว ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูไม้ขนาดใหญ่ที่แกะสลักไว้อย่างงดงาม กระชากมันออกแรงๆ
“เชิญคุณอนิรุจกลับไปทำตามข้อตกลงของเราได้แล้ว... เชิญ...”
อนิรุจตาแดงก่ำด้วยความเสียใจ เดินคอตกออกไปจากห้องอย่างหมดทางเลือก
หนุ่มหล่อแสยะยิ้มหยัน พร้อมกับกระชากประตูให้ปิดสนิทลงเมื่อร่างของอนิรุจก้าวพ้นธรณีประตูออกไปแล้ว ชายหนุ่มก้าวยาวๆ กลับมาที่โต๊ะทำงาน สมองไม่รักดีผุดภาพใบหน้าผุดผาดของแม่นั่นอีกครั้ง
ร่างกายทรงพละกำลังของเขาขานรับเสน่ห์นางของกัญญิกา ทั้งๆ ที่เห็นได้พบหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ให้ตายเถอะ... แล้วหากเขาได้สัมผัสร่างกายของหล่อนจริงๆ ล่ะ เขาจะคลั่งได้ขนาดไหน
“ฉันจะใช้เธอให้หายคลั่ง...” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ข่มทุกความรู้สึกเอาไว้ภายในหน้ากากความเลือดเย็น
“จากนั้นก็จะเขี่ยเธอทิ้งให้เหมือนกับกระดาษชำระ แม่สาวน้อยแสนสวย ...
ไม่เคยเลยที่คาร์โลสผู้เลือดเย็น จะติดตาต้องใจผู้หญิงคนไหนเพียงแค่ได้เห็นหน้าเท่านั้น และไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเลยที่เขาต้องจ่ายค่าตัวสำหรับขึ้นเตียงด้วยแพงมหาศาลแบบแม่ลูกสาวของนายอนิรุจ คุณานันท์คนนี้
แต่เขาต้องการหล่อน ให้ตายเถอะ... ต้องการหล่อนบนเตียงโดยเร็วที่สุด ต้องการมากมายจึงปวดร้าวรุนแรง ซอกขาอึดอัดจนแทบแตกระเบิด
“ฉันจะทำให้เธอคลั่ง เหมือนกับที่ฉันกำลังคลั่งอยู่ตอนนี้...”
มือใหญ่กระแทกลงกับโต๊ะแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์ กรามแกร่งขบเข้าหากันแน่นจนแทบระเบิด ลางสังหรณ์บางอย่างที่จู่โจมหัวใจของเขาตั้งแต่ได้สบตากับแม่สาวคนสวยนั่นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นอย่างไม่ปรานี
ร่างอรชรของกัญญิกาผุดลุกขึ้นจากโซฟานุ่มทันที เมื่อเห็นบิดาเดินหน้าซีดออกมาจากห้องของผู้ชายสุดหล่อแต่แสนเลือดเย็นอย่างคาร์โลส
“เขาว่ายังไงบ้างคะคุณพ่อ...”
อนิรุจส่ายหน้าช้าๆ พยายามจะฝืนยิ้มให้กับบุตรสาวที่เดินเข้ามาเกาะแขนด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ทำได้ดีที่สุดแค่ยิ้มขมขื่นออกไปเท่านั้น
“ไม่มีอะไรหรอกลูก... เราไปกันเถอะ...”
กัญญิกาขืนตัวไว้เมื่อมือใหญ่ของผู้เป็นบิดารั้งให้หล่อนเดินไปที่ลิฟต์ ก่อนจะตามด้วยความแปลกใจ
“ไม่จริงหรอกค่ะ ญิกาแน่ใจว่าผู้ชายร้ายกาจคนนั้นต้องพูดอะไรกับคุณพ่อแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ตามคุณพ่อขึ้นไปพบอีกรอบหรอก... คุณพ่อขา...บอกญิกามาเถอะค่ะ บางทีเราอาจจะช่วยกันแก้ไขได้...”
จ้องมองบุพการีอย่างอ้อนวอน อนิรุจเห็นแล้วก็น้ำตาซึม แต่ก็แข็งใจไม่พูดสิ่งอัปยศนั้นออกไป
“ไม่มีอะไรจริงๆ ลูก ไม่มีจริงๆ เรากลับบ้านกันเถอะ... เชื่อพ่อนะญิกา...”
แม้จะไม่เต็มใจแต่สาวน้อยก็ไม่อยากขัดใจบิดา จึงได้เดินตามบิดาเข้าไปในลิฟท์ ระหว่างทางก็ลอบสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองของท่านอย่างสงสารจับใจ
หล่อนไม่มีทางเชื่อหรอกว่าผู้ชายคนนั้นไม่ได้พูดหรือทำอะไรให้บิดาเจ็บช้ำ เขาร้ายกาจจะตายไป ร้ายกาจทั้งวาจา แววตา และสามัญสำนึก
หล่อนเกลียดผู้ชายคนนั้นนัก... เกลียดๆ ๆ เกลียดที่สุด
แม้จะร้องบอกตอกย้ำลงไปในอกมากเพียงใด แต่กัญญิกาก็ดีว่ามันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่พยายามสร้างขึ้นเท่านั้น หล่อนไม่ได้เกลียดคาร์โลสแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม กลับรู้สึกติดตาต้องใจต่างหาก
เมื่อกลับมาถึงบ้าน นายอนิรุจก็หนีขึ้นไปเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องนอน กัญญิกามองตามไปด้วยความห่วงใย พยายามจะเข้าไปคุยด้วย แต่ก็ถูกบิดาปฏิเสธ
“พ่อขอคิดอะไรคนเดียวสักพัก... ญิกาไม่ต้องเป็นห่วงพ่อนะลูก พ่อไม่มีทางคิดสั้นเด็ดขาด...”
แม้จะโล่งอกกับคำสัญญาที่บิดาให้ไว้ แต่หญิงสาวก็อดห่วงไม่ได้
“งั้นญิกาจะให้ลิ้นจี่ยกข้าวต้มขึ้นมาให้ตอนเย็นนะคะคุณพ่อ...”
ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากบิดา กัญญิกาจึงได้แต่เดินคอตกจากไปด้วยความกลุ้มใจเป็นกำลัง และพาลถึงโมโหไปถึงผู้ชายนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มดุดันคนนั้น
“ในเมื่อฉันรู้จากพ่อไม่ได้ คุณก็ต้องรับผิดชอบ...”
ร่างอรชรคว้ากระเป๋าใบเล็กขึ้นมาคล้องไหล่ ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินออกไปนอกบ้าน แต่ระหว่างทางก็ไม่ลืมสั่งสาวใช้เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในบ้าน
“ลิ้นจี่จ๊ะ หกโมงเย็นยกข้าวต้มขึ้นไปให้คุณพ่อที่ห้องนอนด้วยนะจ๊ะ...”
หญิงสาวพูดจบก็จะเดินไป แต่ลิ้นจี่เรียกไว้ และถามขึ้นด้วยความแปลกใจเสียก่อน
“แล้วคุณญิกาจะไปไหนหรือคะ จะมืดแล้วด้วย ลิ้นจี่เป็นห่วงค่ะ”
กัญญิกาเงยหน้ามองท้องฟ้า ก็ทันได้เห็นแสงสีแดงฉานของดวงอาทิตย์ยามอัสดงแสงสุดท้ายพอดี หญิงสาวยิ้มบางๆ ให้กับลิ้นจี่
“ญิกานัดเพื่อนเอาไว้นะจ้ะ คงกลับค่ำหน่อย ถ้าคุณพ่อถามก็บอกตามนี้นะ...”
หล่อนจำใจต้องโกหกเพราะไม่อยากให้เรื่องที่ตัวเองกำลังจะบุกไปหาคาร์โลสรู้ถึงหูของบิดา เพราะท่านจะเป็นห่วงเสียเปล่าๆ
“ค่ะคุณญิกา... ดูแลตัวเองนะคะ ลิ้นจี่เป็นห่วง...”
สาวใช้พูดออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย กัญญิกายิ้มหวานให้อย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบใจมากจ้ะลิ้นจี่ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงญิกาหรอก ญิกาสัญญาว่าจะดูแลตัวเองให้ดี... ญิกาไปนะจ๊ะ ฝากคุณพ่อด้วย...”
ลิ้นจี่มองร่างอรชรของนายสาวผู้น่าสงสารก้าวหายขึ้นไปในรถแท็กซี่ มองจนลับตาแล้วนั่นแหละจึงหมุนตัวกลับเข้าไปในครัว เตรียมข้าวต้มไว้ให้กับนายอนิรุจตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย