“ล่ามโซ่ผัวไม่ดีก็มาด่าคนอื่นว่าหน้าด้านแย่งผัวตัวเอง ทั้งๆ ที่ฉันก็อยู่ของฉันดีๆ เห็นไหม?” ก็ถ้ามีตาคงจะรู้นะว่าผัวของหล่อนมันตามตื๊อฉันขนาดนี้ “เอาเป็นว่าฉันบล็อกเลยแล้วกัน แต่เธอก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าใครแย่งผัวเธอนะ”
“ตบมันเลยชิ”
“กล้าก็ลอง” เพื่อนหล่อนยุยงให้ตบฉัน มาดิ ฉันกลัวที่ไหนอย่าคิดว่ามีคนเยอะแล้วฉันจะกลัวนะเว้ย “หึงไม่ดูตาม้าตาเรือเลยนะ โง่ซะจริง”
“อยากลองดีใช่ปะ”
“ก็มาดิ” ฉันท้าทายขณะบล็อกเบอร์หมอนั่นเรียบร้อยแล้ว แต่พอเห็นฉันเอาจริงพวกหล่อนก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก “จะเข้ามาคนเดียวหรือทั้งหมดก็ได้นะ”
“เหอะ ฉันไม่เอามือไปแปดเปื้อนหรอก นิสัยคงจะอ่อยผู้ชายไปทั่วสินะ ผู้ชายถึงไม่เอาเธอไปทำเมีย”
“...”
“จำเอาไว้นะอย่ามายุ่งกับผัวฉัน!”
“อยากจะยุ่งตายล่ะไอ้ชาติหมาแบบนั้น”
“อย่ามาด่าผัวฉันนะ”
หมับ
เพียะ
“!”
“เธอก็อย่ามาด่าฉันทั้งที่ยังไม่รู้ส้นตีนอะไรด้วย!” นังชิจะฟาดมือลงบนแก้มฉันสุดท้ายก็โดนฉันจับข้อมือไว้และฟาดมือลงบนแก้มหล่อนจนหน้าหัน
“แก”
“ดูแลผัวตัวเองให้ดีนะ อย่าปล่อยให้หลุดมาวุ่นวายกับฉันอีก ไม่งั้นอย่าหาว่าไม่เตือน”
ผลักร่างบอบบางจนเซไปหาเพื่อนตัวเอง หล่อนมองฉันตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ นี่ล่ะนะที่เขาว่าหลงผัวจนไม่สนว่าใครผิดใครถูกทั้งที่ผัวตัวเองผิดแท้ๆ ที่มาจีบฉันก่อน แถมไม่บอกด้วยนะว่ามีเมียแล้ว ไอ้ระยำ! เกลียดผู้ชายแบบนี้ฉิบหาย อย่าได้เจอกับไอ้เวรพวกนี้อีกเลยได้ไหมวะ
เพราะเมื่อคืนกว่าจะกลับถึงบ้านดันมีเรื่องให้ปวดกบาล ฉันก็เลยตื่นเกือบเที่ยง ดีนะที่วันนี้ไม่มีวิชาเรียนแต่ต้องไปทำโมเดลต่อและเขียนแบบอีกเมื่อคืนก็เลยเขียนไปได้เยอะพอควร ปกติของฉันก็คือมักจะสวมชุดนักศึกษาแบบเซอร์ๆ สภาพนี้คือไม่พร้อมจะทำอะไรทั้งสิ้น เหมือนคนบ้าที่หอบของพะรุงพะรังเต็มไปหมด มาถึงมหาลัยฉันก็ยกมือปิดปากหาวยกมือเกาศีรษะตัวเองมาถึงคณะก็ตรงเข้าไปหวังจะเอาโมเดลก็พบว่าตอนนี้มีนักศึกษาประมาณสามสี่คนและมีเคลียร์กับฟินน์กำลังยืนมุงอะไรกันอยู่
“เคลียร์ ฟินน์ มาแล้วเหรอ?”
“กะ เกี๊ยว” จู่ๆ เคลียร์ก็หันมามองฉันพลางทำหน้าตกใจ
“มีอะไรกัน” ถามออกไปด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนที่ฟินน์จะทำหน้าขึงขังและบอกให้ทุกคนออกจากห้อง เพื่อนมองหน้าฉันนิ่งๆ และเดินออกจากห้องไปทันทีราวกับรีบไปไหน
“เกี๊ยว โมเดลแก...”
“โมเดลฉันทำไมเคลียร์” พอเคลียร์เดินหลีกทางให้ฉันมองผลงานโมเดลที่อุตส่าห์ทำทั้งคืน เวลานี้ดวงตาของฉันเบิกกว้างขึ้นราวกับตกใจที่เห็นผลงานที่กำลังรีบทำของตัวเอง พังยับไม่เป็นท่า “กะ เกิดอะไรขึ้น!”
“ฉันไม่รู้ ฟินน์จะมาเอาโมเดลแต่เห็นของแกโดนทำลายยับเลย ฟินน์โกรธมาก” ฉันทิ้งกระบอกเขียนแบบและกระเป๋าผ้าลงบนพื้น เดินไปหยุดตรงโมเดลที่ทำเมื่อคืน ตอนนี้มันถูกทำลายจนย่อยยับ ไม่มีทางที่มันจะตกลงมาแล้วพังขนาดนี้ ต้องเป็นฝีมือใครสักคนที่ทำลายมัน จนฉันหยิบมันขึ้นมาดูด้วยมือที่สั่นเทา “เกี๊ยว”
“กำหนดส่งอาทิตย์หน้า” พึมพำออกมาเพราะฉันทำโมเดลชิ้นนี้กำหนดระยะเวลาออกมา มันต้องเสร็จทันส่งคมกริชแน่ หากแต่ว่าพอมันพังปุ๊บฉันไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าถ้าทำคนเดียวมันจะเสร็จทันไหม
“ไม่เป็นไรนะเกี๊ยว ฉันกับฟินน์จะช่วยแกเอง”
“ของแกกับฟินน์ยังไม่เสร็จ จะมาช่วยฉันได้ยังไง?” หันไปสบตากับเพื่อนที่ทำหน้าไม่สบายใจ “ฉันตั้งใจจะทำมันด้วยมือของฉันเองโดยไม่พึ่งพาพวกแก แต่...”
“แกพอจะรู้ไหมว่าใครทำ?”
“คนในคณะไม่มีทางทำแน่” เพราะเด็กสถาปัตย์ไม่มีวันทำลายผลงานที่สร้างมากับมือ ดังนั้นมันต้องเป็นคนนอกแน่นอนไม่งั้นฟินน์ไม่รีบออกไปหาตัวคนทำ หากแต่ว่ามันจับมือใครดมไม่ได้ ไม่มีกล้องวงจรปิดฉันจะไปปรักปรำใครได้ล่ะ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าน่าจะเป็นฝีมือของใคร
“ไม่เป็นไรนะแก”
“ฉันขออยู่คนเดียว”
“เกี๊ยว”
“ขอร้อง”
คำขอร้องและสีหน้าของฉันทำให้เคลียร์พยักหน้ารับและปล่อยให้ฉันได้อยู่ในห้องคนเดียว เพื่อที่จะประกอบเศษชิ้นส่วนขึ้นมาใหม่ สุดท้ายมันก็เหมือนเดิม ฉันไม่รู้ว่าตัวเองทำแบบนี้มานานแค่ไหน รู้แค่ว่าแสงแดดจากบานหน้าต่างกำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นมืดลงเรื่อยๆ จนในห้องตอนนี้มีเพียงแค่ฉันคนเดียวที่ยังคงทำมัน จนฟินน์กับเคลียร์ก็ไม่กล้าเข้ามายุ่ง เพราะฉันกำลังรู้สึกเสียใจ หากแต่ว่าน้ำตาของฉันกลับไม่รินไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว คงเป็นเพราะตอนเด็กฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้ให้กับอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้ตัวเองต้องเสียใจ ฉันคิดว่าน้ำตามันเป็นการแสดงออกด้านที่อ่อนแอ ร้องไห้ครั้งล่าสุดก็คือตอนที่เคลียร์ต้องเจ็บตัวเพราะปกป้องฉัน
หลังจากนั้นมันก็ไม่เคยมีอีกเลยจนกระทั่งฉันยกโมเดลที่พังเละ ไม่สามารถทำให้มันกลับมาเป็นแบบเดิมออกมาหน้าคณะ ทิ้งตัวลงนั่งยองเปิดน้ำจากสายยางและมองมือที่สั่นเทาของตัวเองเต็มไปด้วยรอยบาดจากกระดาษที่เลือดไหลซึมออกมาเกือบทั้งสิบนิ้ว ฉันยกมือปิดหน้าตัวเองหลับตาลงกำลังคิดหาวิธีที่จะทำโมเดลให้เสร็จคงต้องทำทั้งวันทั้งคืน รายละเอียดยิบย่อยมันเยอะเกินไปที่จะทำแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วหยุดพัก
ฉันสูดลมหายใจเข้าและหยิบสายยางขึ้นมาหวังจะล้างมือที่โดนกระดาษบาดเต็มไปหมด กระทั่งเห็นปลายรองเท้าผ้าใบสีดำหุ้มข้อไม่คุ้นตา คิ้วขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อไล่มามองกางเกงยีนส์สีดำ เสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนถึงข้อศอกรอยสักที่คุ้นตา ไหนจะใบหน้าหล่อเหลาที่แลดูเรียบนิ่งของเขาอีก มาได้ยังไง?
สมองของฉันประมวลภาพตรงหน้าซ้ำๆ ขณะที่เขาย่อตัวลง ดึงมือขวาฉันไปและหยิบสายยางเพื่อให้น้ำชำระเลือดบนมือ ปลายนิ้วโป้งถูเลือดที่แห้งกรังให้หลุดออก ดวงตาของฉันลอบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงก้มหน้าล้างมือให้ฉันราวกับฉันคือเด็กที่รอให้ผู้ใหญ่ทำให้
“ไม่ใช่เธอเลยนะ” น้ำเสียงเข้มแหบพร่าเอื้อนเอ่ยขึ้นมาในที่สุด “เหมือนไม่ใช่ยัยเกี๊ยวที่ฉันรู้จัก”
“...”
“โมเดลกระจอกๆ แบบนั้น ทำง่ายจะตายไป” ฉันกัดผนังในปากจนเจ็บหนึบ ขณะที่ไนท์เงยหน้าสบตากับฉัน เขาเอื้อมมือมาประคองแก้มพลางใช้ปลายนิ้วโป้งเกี่ยตรงหางตาเบาๆ “ไปกับฉัน”
“ไปไหน?”
“ไปทำโมเดล” ไนท์จับมือฉันให้ลุกขึ้นยืนก่อนที่ฉันจะคว้าของส่วนตัวมาถือไว้ ลอบมองแผ่นหลังของไนท์ที่เปิดประตูรถให้ฉันเข้าไปนั่ง พอไม่เข้าไปเขาก็ถอนหายใจออกมาหยิบโมเดลที่พังยับเยิ่นของฉันโยนเข้าไปในรถ
“นายช่วยฉันได้หรือไง”
“นี่เธอไม่รู้เหรอ?” คิดว่าไนท์จะมากวนประสาทที่ไหนได้ หมอนี่มาโหมดนี้ก็ทำให้ฉันไปไม่เป็นเหมือนกันนั่นแหละ
“รู้อะไร”
“ฉันจบวิศวะมาก่อน” แล้วเกี่ยวอะไรกับสถาปัตย์ล่ะ “เอาเป็นว่าเธอลองเชื่อฉันสักครั้ง”
“...”
“ไม่อยากให้เคลียร์กับฟินน์ช่วย ก็มีแค่ฉัน” ทำไมต้องเอาตัวเข้ามาพัวพันในชีวิตของฉันด้วย คนที่อยากให้หายดันไม่หายไป แต่คนที่ไม่อยากให้หายดันหาย มันเกิดอะไรขึ้นกับโชคชะตาของฉันกันแน่นะ จนสบตากับไนท์ที่ยกยิ้มมุมปาก “เกี๊ยว”
“ก็ได้”
ฉันจะลองเชื่อใจนายสักครั้งเพราะตอนนี้ฉันเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เราสองคนสบตากันเป็นครั้งแรกที่ฉันไม่โวยวายไนท์หรือบางทีฉันอาจจะลดทิฐิที่มีต่อเขาลงอย่างที่เคลียร์พูดล่ะมั้ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีก
*--------------------------------------------------*