สำนักงานของลูคัสตั้งอยู่บนชั้นสูงของตึกเวสต์ฟิลด์ กรุ๊ป การตกแต่งภายในห้องใช้โทนสีดำและเทา ดูทันสมัยและสะอาดตา แฝงไปด้วยความเคร่งขรึมและมีเสน่ห์เฉพาะตัว บนโต๊ะทำงานมีเอกสารวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ แล็ปท็อปเครื่องหนึ่งเปิดทิ้งไว้ หน้าจอสว่างแสดงข้อมูลที่สำคัญสำหรับงานของเขา หน้าต่างบานใหญ่ด้านหนึ่งของห้องให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามา ทำให้บรรยากาศดูโปร่งโล่งและมีชีวิตชีวา แต่กลับเต็มไปด้วยความเงียบสงบที่เหมาะสมกับการทำงานที่ต้องใช้สมาธิ
ลูคัสกำลังนั่งพิจารณาเอกสารบางอย่างที่โต๊ะทำงาน ใบหน้าของเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่สายตาเพ่งมองตัวเลขและข้อมูลที่ต้องใช้ในการตัดสินใจสำคัญ จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรง เอริคก้าวเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและหงุดหงิด เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะของลูคัสโดยไม่รอให้เพื่อนเชิญ แสดงถึงอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านในใจ
ลูคัสเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจปนขบขัน รอยยิ้มเย้าแหย่ปรากฏขึ้นมุมปาก "มึงเป็นอะไรวะ ดูหัวเสียมาเลย" เขาถามขึ้นอย่างสนใจ
เอริคถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงของเขาหนักแน่นและเต็มไปด้วยความหงุดหงิด “กูเพิ่งเจอยัยเด็กนั่นมาที่บริษัท เห็นนั่งกับแม่กูแล้วหงุดหงิดชิบ”
ลูคัสเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าของเขาสงสัยปนเอ็นดู
"เอวาก็แค่มาหาแม่ แม่ของมึงก็เหมือนแม่ของเธอนะ มึงจะอะไรนักหนา?”
เอริคหันมองลูคัสด้วยสายตาเย็นชา ริมฝีปากบีบแน่นแสดงถึงความไม่พอใจที่สะสมมานาน “กูไม่ชอบที่เธอทำตัวเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกูไง” เขาตอบกลับทันควัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว
“กูรู้สึกเหมือนยัยเด็กนั่นพยายามแทนที่กู ทำตัวเหมือนเป็นลูกคนโปรด กูเกลียดยัยเด็กนั่น”
ลูคัสหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความขบขันและพยายามจะทำให้เอริคใจเย็นลง
“มึงนี่คิดมากไปเองรึเปล่าวะ? เอวาก็แค่อยากทำให้แม่มึงมีความสุขเท่านั้นเอง มึงคิดไปเองรึเปล่าว่าเธอพยายามแทนที่มึง”
เอริคหันมามองลูคัสด้วยสายตาที่คมกริบ ราวกับจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น “มึงไม่เข้าใจกูหรอก”
เขาพูด น้ำเสียงตัดพ้อปนแข็งกระด้าง
“เออ กูอาจจะไม่เข้าใจ แต่กูก็เห็นว่ามึงคิดมากเกินไป” ลูคัสยักไหล่ พยายามจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย “บางทีน้องเอวาอาจจะทำไปเพราะเธอรู้สึกผูกพันกับแม่มึงมากกว่าอะไร มึงก็ลองเปิดใจดูบ้าง”
เอริคส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจ ความโกรธยังคงแฝงอยู่ในน้ำเสียง “กูไม่ไว้ใจยัยนั่น ไม่เคยไว้ใจ”
ลูคัสพยักหน้าอย่างเข้าใจ “โอเค ๆ กูเข้าใจว่ามึงไม่ไว้ใจเธอ แต่กูก็แค่หวังว่ามึงจะไม่ตัดสินใจอะไรไปเพราะความรู้สึกส่วนตัวเกินไปนัก”
เอริคเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงเข้ม
“กูพยายามจะไม่ทำแบบนั้น” น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่ชัดเจน
“ก็ดีแล้วเพื่อน” ลูคัสหัวเราะเบา ๆ พยายามให้กำลังใจ “แต่บางทีนะ มึงก็ควรจะลองเปิดใจดูบ้าง
เผื่ออะไร ๆ มันจะดีขึ้น”
เอริคยิ้มเย็น ๆ มองลูคัสด้วยสายตาที่ไม่แสดงความรู้สึก “กูไม่คิดว่าการเปิดใจมันจะช่วยอะไรได้หรอก มันไม่มีประโยชน์”
ลูคัสยักไหล่ ไม่ยอมแพ้ “เออ แล้วแต่มึงละกัน แต่อย่าลืมนะเว้ย ว่าบางทีคนเราต้องลองเสี่ยงบ้างเพื่อหาคำตอบ”
เอริคถอนหายใจ ยกมือขึ้นนวดขมับด้วยความเหนื่อยล้า “กูไม่ชอบความเสี่ยง กูต้องการให้ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม”
“มึงแม่งก็เป็นแบบนี้ตลอดเลย” ลูคัสพูดพร้อมหัวเราะ
เอริคยิ้มมุมปาก ความอ่อนล้าในสายตาค่อย ๆ จางหายไปเล็กน้อย “บางครั้งกูก็ต้องการที่ระบายบ้าง
กูไม่สามารถเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวได้ตลอดหรอก”
“ก็ไม่เป็นไรเพื่อน กูอยู่ตรงนี้เสมอ” ลูคัสตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “ถ้ามึงต้องการพูดคุยหรือระบายอะไรอีก กูพร้อมฟังเสมอ”
เอริคยิ้มเบา ๆ รอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“ขอบใจมึง ลูคัส”
“ไม่เป็นไรเพื่อน” ลูคัสยิ้มตอบ “มึงก็แค่ต้องเปิดใจนิดหน่อย แค่นั้นเอง”
เอริคยิ้มแห้ง ๆ หันมองออกไปนอกหน้าต่าง มองเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้า
“กูจะลองคิดดู แต่ไม่รับปากอะไรทั้งนั้น”
ลูคัสยิ้มและพูดขึ้น “ก็แค่ลองดู ไม่ต้องจริงจังอะไรมาก”
เอริคไม่ตอบอะไร เขาเพียงแค่หันกลับมามองลูคัสก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ “กูไปทำงานต่อแล้ว ขอบใจที่ฟังนะเว้ย”
“ไม่เป็นไรเพื่อน” ลูคัสยิ้ม “มีอะไรก็บอกกูได้เสมอ”
เอริคพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง สายตาของเขายังคงเคร่งเครียด แต่มีบางอย่างที่ดูเหมือนจะเบาลงเล็กน้อย หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนสนิทของเขา
เมื่อเอริคออกไปแล้ว ลูคัสนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน มองตามเพื่อนที่เพิ่งเดินออกไป เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาทำงานต่อ ความคิดในใจของเขายังคงสงสัยว่าเอริคจะจัดการกับความรู้สึกที่ซับซ้อนของเขายังไงต่อไป