เสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตสีดำคันหรูดังก้องสะท้อนท่ามกลางความเงียบสงัดภายในโบสถ์ใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ
ซึ่งวันนี้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานศพ บรรยากาศภายในโบสถ์เคร่งขรึมและสงบเงียบ
ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่งดงามในความหม่นหมองของมัน พวงหรีดดอกลิลลี่ขาวเรียงรายล้อมรอบโลงศพ
กลิ่นหอมของดอกไม้ผสานกับแสงเทียนอ่อน ๆ ที่สะท้อนบนผนังหินอ่อน
ทำให้ทุกสิ่งดูเงียบสงบแต่ก็แฝงไปด้วยความโศกเศร้าอย่างลึกซึ้ง
เมื่อรถสปอร์ตคันหรูค่อย ๆ ชะลอตัวลงและหยุดจอดตรงประตูโบสถ์
แขกในงานศพต่างหันไปมองด้วยความสงสัย ทันทีที่ประตูรถเปิดออก
เผยให้เห็นชายหนุ่มร่างสูงที่ก้าวลงมาด้วยท่วงท่ามั่นใจ ทุกคนเงียบลงทันที
"นั่นเขาใช่ไหม... เอริค เวสต์ฟิลด์? "
เสียงกระซิบดังมาจากกลุ่มแขกที่ยืนอยู่ด้านหลัง
"ใช่... เขากลับมาแล้ว"
อีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
"เขาไม่เคยกลับมาหลายปีแล้วนะ... ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนจะมองเขาแบบนั้น"
อีกคนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูทั้งเกรงใจและหวาดระแวง
เอริคก้าวลงจากรถด้วยท่าทางสง่างาม ชุดสูทสีดำที่เขาสวมใส่เสริมความเคร่งขรึมให้กับบรรยากาศ
เขายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เต็มไปด้วยความสงสัยและอึดอัดใจ
สายตาของผู้ที่มองมายังเขาเต็มไปด้วยความคิดหลากหลาย
แต่เอริคไม่ได้สนใจสายตาใด ๆ ทั้งสิ้น
"ดูสายตาเขาสิ... เหมือนจะฆ่าใครได้เลยนะ"
เสียงกระซิบดังขึ้นเบา ๆ ในกลุ่มแขก
"อย่าพูดแบบนั้นเลย... เขาเพิ่งเสียพ่อไปนะ"
อีกคนแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจ
"แต่ก็จริงนะ... เขาไม่เคยกลับมาหาพ่อเลย จนกระทั่งวันนี้"
คนเดิมพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจและตัดสิน
เอริคกวาดสายตามองไปยังโลงศพที่ตั้งอยู่กลางโบสถ์ ดวงตาของเขาไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ
ทั้งสิ้น ไม่มีทั้งความเศร้าและความโกรธ ทุกสิ่งดูเยือกเย็นและเฉยเมย บางคนมองเขาด้วยความเห็นใจ
บางคนกลับรู้สึกโกรธเคืองกับความเย็นชาของเขา
"เขาไม่แสดงอารมณ์อะไรเลย...ไม่เหมือนคนที่เพิ่งเสียพ่อไป"
เสียงหนึ่งพูดขึ้น
"เอริคไม่เคยเป็นคนที่จะโชว์ความรู้สึกให้ใครเห็น... เขาเป็นแบบนั้นมาตลอด"
อีกเสียงหนึ่งตอบกลับ
ที่หน้าโลงศพ แคทเธอรีน เวสต์ฟิลด์ แม่ของเอริค ยืนอยู่ท่ามกลางแขกคนอื่น ๆ
เธอสวมชุดสูทสีดำเรียบ ๆ และถือผ้าเช็ดหน้าในมือ ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้
เธอพยายามทำตัวให้สงบและมั่นคงในสถานการณ์นี้
แต่ความโศกเศร้าก็ยังคงชัดเจนบนใบหน้าของเธอ
เอริคเดินตรงไปยังโลงศพ สายตาของเขาจับจ้องไปข้างหน้า
ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทายหรือพูดคุย ทุกคนต่างดูเหมือนจะกลัวเขา
หรืออย่างน้อยก็ไม่อยากเสี่ยงกับการขัดขวางท่าทีของเขาในเวลานี้
เมื่อเขาเดินผ่านไป แขกทุกคนค่อย ๆ เปิดทางให้เขาผ่านไป เสียงกระซิบยังคงดังขึ้นรอบตัว
เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนต้องการแสดงความเสียใจ แต่ก็ลังเล
แววตาที่เย็นชาของเอริคเหมือนเป็นกำแพงที่ขวางกั้นไม่ให้ใครกล้าเข้าใกล้
"ทำไมเขาถึงดูเหมือนไม่แคร์อะไรเลย? "
เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้น
"เขาอาจจะรู้สึก แต่ก็แค่ไม่แสดงออก... หรืออาจจะไม่รู้สึกอะไรจริง ๆ ก็ได้"
อีกคนหนึ่งตอบ
เอริคหยุดยืนอยู่หน้าโลงศพ มองดูรูปพ่อที่ตั้งอยู่บนแท่น ดวงตาของเขายังคงนิ่ง
ไม่แสดงความอาลัยอาวรณ์ใด ๆ เขากระซิบเบา ๆ กับรูปพ่อที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพ
"พ่อ... ถ้าพ่อคิดว่าผมจะร้องไห้ละก็... พ่อคิดผิด"
เขายืนเงียบอยู่นาน ไม่มีใครกล้าเข้าหาหรือพูดคุยกับเขา ทุกคนต่างเฝ้ามองเขาด้วยความระมัดระวังใจ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดและความไม่แน่ใจเกี่ยวกับความตั้งใจของเอริคในวันนี้
"เขาจะอยู่ที่นี่นานไหม? "
เสียงหนึ่งถามขึ้น
"ฉันก็ไม่รู้... แต่หวังว่าเขาจะไม่สร้างปัญหาอะไรขึ้นที่นี่"
อีกเสียงหนึ่งตอบ
ทันใดนั้น สายตาของเอริคหันไปจับจ้องไปที่มุมหนึ่งของโบสถ์ ใกล้กับโลงศพที่ตั้งอยู่ เอริคเห็น
เอวา เวสต์ฟิลด์ น้องสาวต่างสายเลือดที่เป็นลูกบุญธรรมของครอบครัวเวสต์ฟิลด์ นั่งอยู่ที่นั่น
มือของเธอกำผ้าเช็ดหน้า ผมสีน้ำตาลเข้มปล่อยยาวลงมาท่ามกลางแสงเทียนที่สะท้อนประกายบนเส้นผม
ใบหน้าของเธอซีดเซียว น้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความเจ็บปวด
เอริคมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา ก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงไปยังเอวา ท่ามกลางความเงียบงัน
ทุกย่างก้าวของเขาทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกหวาดหวั่นและถอยห่างออกไป
เมื่อเขาหยุดยืนตรงหน้าเอวา เอริคมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ริมฝีปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดคำที่ทำให้ทุกคนรอบข้างต้องสะดุ้ง
"คนนอกคอกอย่างเธอ มาทำไมที่นี่ เสแสร้งทำเป็นเสียใจไปเพื่ออะไร? "
คำพูดของเอริคทำให้เอวาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตกใจ น้ำตายังคงไหลอาบแก้มของเธอ
ดวงตาใสบริสุทธิ์สะท้อนความเจ็บปวดและความสับสนในสิ่งที่เอริคพูด เธอพยายามจะรวบรวมความกล้าเพื่อตอบกลับ
แต่คำพูดที่โหดร้ายของพี่ชายทำให้เธอพูดไม่ออก
"พี่เอริค... หนูแค่..."
เธอพูดด้วยเสียงสั่นเครือและแผ่วเบา
เอริคมองเธอด้วยความเย็นชาและไม่สนใจคำอธิบายใด ๆ เขาตัดบททันที เสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความขมขื่น
"อย่ามาทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าคนอื่นเลย เธอคิดว่าฉันจะเชื่อในสิ่งที่เธอแสดงออกเหรอ?"
เอวานิ่งเงียบไป หัวใจของเธอเต้นแรงและเจ็บปวดในทุกคำที่เอริคพูดออกมา
น้ำตายังคงไหลลงมาตามแก้ม แต่เธอพยายามกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นออกมาให้ได้ยิน
เธอรู้สึกเหมือนหัวใจของเธอกำลังแตกสลาย
แคทเธอรีนมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เธอพยายามจะก้าวเข้ามาใกล้
แต่ก็หยุดลงเมื่อเห็นแววตาของเอริคที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความขมขื่น เธอยกมือขึ้นแตะหน้าอกตัวเอง
พยายามสงบสติอารมณ์ ในฐานะแม่ เธอรู้สึกทั้งเศร้าใจและหวาดหวั่นกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างลูก ๆ ของเธอ
เอริคยังคงมองดูเอวาด้วยสายตาเย็นชา ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ต่อความทุกข์ของเธอ
เขาหันหลังกลับและเดินออกไปจากบริเวณนั้นโดยไม่เหลียวหลังมอง
ในขณะที่เอริคเดินจากไป เอวารู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังจะแตกสลาย เธอพยายามหายใจเข้าลึก ๆ
เพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ความเจ็บปวดในคำพูดของพี่ชายทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลกนี้
บรรยากาศในโบสถ์ยังคงเงียบงันและตึงเครียด ความเงียบของทุกคนยังคงถูกครอบงำด้วยความไม่แน่ใจและความสับสนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
ทุกสายตายังคงมองไปยังเอวาที่นั่งอยู่ตรงนั้น น้ำตาของเธอยังคงไหลอาบแก้ม แต่เธอก็ยังคงพยายามกลั้นความรู้สึกและรักษาความสงบของตัวเองไว้
แคทเธอรีนเดินเข้ามาใกล้เอวา เธอวางมือเบา ๆ บนไหล่ของเอวา สายตาของเธอเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความห่วงใย
"ไม่เป็นไรนะลูก... แม่อยู่ตรงนี้"
เสียงของเธอนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความรัก เอวาพยักหน้าเบา ๆ และกอดแม่ของเธอไว้แน่น
การเผชิญหน้าระหว่างพี่น้องครั้งนี้ช่างดูเหมือนกับภาพสะท้อนของความเจ็บปวดและความแตกแยกที่ไม่มีวันจางหายจากครอบครัวนี้ และไม่มีใครรู้ว่าเรื่องราวนี้จะจบลงอย่างไร...