EP.5 อดีตที่ไม่เคยลืม
ชายหนุ่มขับรถผ่านคฤหาสน์หลังใหญ่ไปยังด้านหลัง บ้านของเขาอยู่ฝั่งซ้ายของคฤหาสน์ เป็นบ้านสองชั้นติดแม่น้ำเจ้าพระยา หลังไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่จนเกินไปนัก เขาจอดรถแล้วก้าวลงมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้าน ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ที่เขายังทนอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณปู่ เขารักคุณปู่ นอกจากมารดาแล้วก็มีคุณปู่ เขารักและเคารพท่านเหนือสิ่งอื่นใด หากวันใดสิ้นต้นโพธิ์ต้นนี้ เขาคงพามารดาออกไปจากที่นี่ทันที ไม่คิดอยากอยู่ร่วมชายคากับคนน่ารังเกียจบนตึกใหญ่แม้เสี้ยววินาทีเดียว
เมื่อเขาก้าวลงจากรถก็พบกับน้องชายคนที่สอง...อัครัช ที่เพิ่งกลับมาเหมือนกัน เมื่อเจอหน้ากันจังๆ ภีมวัจน์จึงเอ่ยทักทายอย่างรักษามารยาท
“เพิ่งกลับเหรอ”
“ครับ”
อีกฝ่ายตอบกลับมาสั้นๆ ภีมวัจน์พยักหน้าแล้วไม่คิดซักถามอะไรอีก เพราะเขาสี่พี่น้องไม่เคยสนใจหรือยุ่งวุ่นวายเรื่องของกันและกัน ไม่สิ...ยกเว้นน้องชายคนสุดท้าย ไอ้กบกร่างหรือเกียรติก้อง...ที่มักจับผิดคนอื่นๆ ทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทรัพย์สิน คอยสอดส่องเพราะกลัวว่าพวกเขาจะเข้าไปขอเงินจากคุณปู่
ทว่าตัวเองนั้นกลับไม่ได้วิเศษวิโสกว่าคนอื่น ออกจะแย่ที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมดด้วยซ้ำ เพราะปล่อยตัวอ้วนเผละ เอาแต่กิน นอน ออกเที่ยว งานการไม่รู้จักทำ นี่พอเขาได้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทปัทมนันท์ก็เต้นผาง โวยวายแล้วหนีออกจากบ้าน ทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นทั้งที่อายุสามสิบกว่าแล้ว แต่หัวสมองกลับมีขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียว
ดีหน่อยที่น้องชายต่างมารดาอีกสองคนของเขาทำงานมั่นคง นอกจากจะช่วยกิจการของตระกูลแล้วยังมีกิจการของตัวเองกันอีกด้วย แม้ทั้งสองคนจะได้นิสัยเจ้าชู้ประตูดินจากเกื้อกูลผู้เป็นบิดามาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเอามาปะปนจนเสียงานเสียการ
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในบ้านแล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่ามารดายังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
“ทำไมกลับมาช้านักล่ะภีม เมื่อวานก็ไม่กลับบ้าน รู้มั้ยว่าแม่ เป็นห่วงขนาดไหน” พรรณีเอ่ยเสียงเย็นเนิบช้า ละสายตาจากหนังสือ นวนิยายในมือ มองบุตรชายตัวโตที่บัดนี้นั่งลงบนพื้นแล้วกางแขนมาโอบกอดเธอเอาไว้ ไม่คิดเลยว่าลูกน้อยที่เธอกอดไว้แนบอกเมื่อแรกคลอด จะโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อที่มีความสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรเช่นนี้ จนกลายเป็นว่าหากเธอยืนคุยกับบุตรชายต้องแหงนหน้ามองเลยทีเดียว
“ไปนั่งดื่มกับอเล็กซ์มาครับคุณแม่ ว่าแต่ดึกแล้วทำไมยังไม่เข้านอนอีกครับ”
“ก็รอเรานั่นแหละ พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าหน่อยได้มั้ย ตักบาตรเป็นเพื่อนแม่หน่อย”
“อยู่รอเพื่อบอกเรื่องนี้กับผมน่ะหรือครับ คุณแม่น่าจะทิ้งโน้ตเอาไว้หรือโทรศัพท์บอกผมก็ได้ ไม่เห็นต้องนอนดึกเพื่อรอผมเลย ระวังจะไม่สบายนะครับ ผมยิ่งมีคุณแม่แสนดีแบบนี้อยู่คนเดียว หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วด้วย”
ชายหนุ่มเอียงศีรษะซบลงบนตักมารดาอย่างออดอ้อน เสือดาวหนุ่มจอมเจ้าชู้ยามอยู่บ้านกับมารดาจะแปลงร่างเป็นลูกแมวเชื่องๆ ได้อย่างน่ารักน่าชัง แต่เขาจะทำเฉพาะอยู่กับมารดาสองคนเท่านั้น หากมีคนอื่นหรือแม้กระทั่งคนใช้อยู่ด้วย เขาจะไม่แสดงท่าทางออดอ้อนเช่นนี้ให้ใครเห็นอย่างเด็ดขาด
“ที่นั่งรอก็เพราะอยากจะเจอหน้าภีมน่ะสิ” พรรณียิ้มกว้าง ลูบผมเส้นหนาของบุตรชายเบาๆ มองใบหน้าหล่อเหลาของบุตรชายแล้วสะท้อนในอก ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนผู้เป็นพ่อจนเธอใจหาย
“แล้วนี่หิวมั้ย เอาข้าวต้มร้อนๆ สักถ้วยมั้ยภีม แม่จะไปทำมาให้”
“อย่าลำบากเลยครับคุณแม่”
“ลำบากที่ไหนกัน เรื่องแค่นี้เอง ภีมทำงานมาทั้งวันให้แม่ได้ดูแลภีมเถอะนะ” พรรณีทำท่าจะลุกเข้าครัว ทว่าบุตรชายตัวโตกลับไม่ยอมให้ลุก ซ้ำยังโอบเอวเธอเอาไว้แน่น
“ผมอิ่มแล้วครับคุณแม่ กินมาจากข้างนอกบ้างแล้ว”
“ในท้องมีแต่สุราน่ะสิไม่ว่า” พรรณีต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้อย่าลืมตื่นมาตักบาตรกับแม่นะ” เอ่ยย้ำอีกครั้งด้วยกลัวว่าบุตรชายจะลืม
“ยังไงพรุ่งนี้เช้าผมจะลงมาตักบาตรกับคุณแม่แน่นอนครับ” ชายหนุ่มรับคำแข็งขัน ปกติเขาเป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว ถ้าจะตื่นเช้าขึ้นอีกสักหน่อยเพื่อไปตักบาตรกับมารดาก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปนอนเถอะ ประเดี๋ยวจะตื่นไม่ทัน”
“ครับ เดี๋ยวผมไปส่งคุณแม่เข้านอน”
ภีมวัจน์ลุกขึ้นยืนแล้วประคองมารดาไปส่งที่ห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นล่างของตัวบ้าน กอดและหอมแก้มท่าน บอกราตรีสวัสดิ์แล้วจึงกลับขึ้นไปบนห้องนอนของเขาซึ่งอยู่ชั้นบน
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนที่นอน ก่อนจะเอี้ยวตัวหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะมาเปิดดู พรุ่งนี้คือวันที่ห้า เดือนมกราคม ครบรอบวันเสียชีวิตของบิดา ทุกปีมารดาจะชวนเขาตักบาตรโดยไม่พูดถึงบิดาสักคำ เพราะรู้ว่าหากพูดถึงเขาจะต้องไม่พอใจ เขาจึงตามใจท่านและไม่คิดปริปากเอ่ยถามเช่นกัน เป็นอันรู้กันว่าหากมารดาชวนเขาตักบาตรเมื่อใด แสดงว่าถึงวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดา มารดาคงอยากให้เขาซึ่งเป็นบุตรชายทำบุญให้บิดาผู้ให้กำเนิดบ้าง
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ภีมวัจน์ไม่เคยเข้าใจ!
บิดาทำผิดกับมารดาของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ท่านก็ยังรัก ยังรอบิดาเสมอ แม้ว่าการกลับบ้านมาทุกครั้งของบิดา จะนำมาซึ่งการทะเลาะเบาะแว้งและควงภรรยาคนใหม่มาเย้ยให้มารดาของเขาช้ำใจ
‘คุณแม่ควรจะเกลียดคุณพ่อ ควรจะดีใจที่คุณพ่อตาย คุณแม่จะร้องไห้ให้กับคนอย่างนั้นทำไมครับ ผมไม่เข้าใจเลย’
ภีมวัจน์ในวัยยี่สิบเอ็ดปียืนอยู่หน้าเมรุด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีใครรู้ว่าเขาเสียใจหรือไม่ ชายหนุ่มไม่มีน้ำตาสักหยดเมื่อทราบว่าบิดาได้จากไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ เขามองมารดาที่ร้องไห้ตั้งแต่วันสวดคืนแรกจนกระทั่งวันเผา ร้องไห้และเป็นลมวันละหลายครั้ง เขาไม่เข้าใจจึงได้เอ่ยถามออกไปเช่นนั้น
‘เพราะแม่รักพ่อของลูก’
‘รักเหรอครับคุณแม่ ทั้งที่ผ่านมาคุณพ่อไม่เคยทำหน้าที่สามีที่ดีเลย คุณพ่อทำให้คุณแม่เสียใจมาโดยตลอด ตอนมีชีวิตอยู่ก็ทำให้คุณแม่ร้องไห้ พอตายก็ยังทำให้คุณแม่ร้องไห้อีก ผมเกลียด...’