เด็กคนนั้นมีสารพัดวิธีที่จะเอาคืนผู้อื่นอย่างเจ็บแสบจนน่าตกใจ และแน่นอนว่าด้วยฝีมือของจื่อรั่วอิงจึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะล่วงเกินจื่อเว่ยแม้แต่คนเดียว
"ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ"
เสียงหวานใสที่พระองค์คิดถึงทั้งวันในที่สุดก็ปรากฏกายแล้ว สีพระพักตร์จึงแย้มยิ้มขึ้นทันใด
หวังกงกงที่ยืนคอยปรนนิบัติก็พลันรู้สึกเบิกบานไปด้วยหลังจากที่หายใจไม่คล่องตั้งแต่จื่อกุ้ยเฟยกลับวังหลวงผิดเวลา
"เหตุใดจึงกลับช้านัก หากช้ากว่านี้ข้าคงออกไปตามเจ้าด้วยตนเองแล้ว"
จื่อกุ้ยเฟยนั่งลงข้าง ๆ ฝ่าบาทพร้อมกับกล่าวขออภัย
"เกิดเรื่องที่บ้านขึ้นเล็กน้อยเพคะ หม่อมฉันเลยต้องจัดการก่อนกลับเพคะ"
ฝ่าบาทยิ้มพร้อมกับล้มตัวลงนอนหนุนตักพระสนมรัก จับมือขาวหอมของนางมาสูดดมแล้วเอ่ยว่า
"น้องสาวของเจ้าหรือ จื่อรั่วอิงคนนั้นทำสิ่งใดอีก"
จื่อเว่ยยิ้มงดงาม
"น้องสาวของหม่อมฉันมีถึงสามคน ไยฝ่าบาทคิดว่าเป็นนางเล่าเพคะ"
พระองค์ทรงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"ทุกครั้งที่เจ้าวิ่งหน้าตื่นออกจากวัง หรือไม่ก็วิ่งมาหาข้าล้วนเพราะต้องการช่วยปกปิดความผิดให้น้องสาวผู้นี้มิใช่หรือ เด็กคนนั้นทำความลำบากใดให้เจ้าอีก"
จื่อเว่ยไม่กล้าตอบความจริง หากเล่าเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทฟังนางย่อมรู้ว่าคงไม่พ้นสมรสพระราชทานเป็นแน่ และฐานะจื่อรั่วอิงนั้นเป็นเพียงบุตรสาวของอนุอย่างไรเสียก็ไม่มีทางได้แต่งเป็นพระชายาเอกของท่านอ๋อง คงได้เป็นเพียงตำแหน่งอนุมิหนำซ้ำยังเป็นอนุของบุรุษตาบอด ท่านพ่อของนางรักจื่อรั่วอิงมากเพียงนั้น ย่อมไม่ต้องการให้น้องสาวอยู่ร่วมกับสามีพิการที่จิตใจวิปริตไปตลอดชีวิต
"ไม่มีสิ่งใดเพคะ นางก็ซนตามประสาหม่อมฉันจัดการเรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมา"
"อืม สิ่งใดที่อยากทำก็ทำเถิด เพียงแต่ว่าหากคราหน้าจะอยู่นานก็ส่งคนมาบอกเสียหน่อย ข้าเป็นห่วงสนมรักของข้า"
"เพคะ"
จื่อเว่ยเห็นท่าทางของฝ่าบาทเองก็กลัดกลุ้มอยู่มาก นางจึงเอ่ยว่า
"ฝ่าบาท มีเรื่องในพระทัยหรือเพคะ"
ฝ่าบาททรงไม่เคยปิดบังนางอันเป็นที่รัก จึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า
"ข้าหวังจะหาพระชายาให้เสด็จอาสักคน ทว่าขุนนางร้ายกาจพวกนั้นกลับไม่มีผู้ใดยินยอมยกบุตรสาวให้เขา ข้าก็เข้าใจหัวอกพวกเขาจึงไม่อาจบังคับ แต่ข้าก็รู้สึกผิดต่อเสด็จอาบัดนี้เขามอบกำลังทหารคืนข้าจนหมดสิ้น ตนเองเหลือเพียงกององครักษ์อารักขาไม่กี่นาย ตำแหน่งราชการไม่รับสักตำแหน่งคนจึงมองว่าเขาสิ้นไร้หนทางรุ่งเรืองแล้วสตรีที่เหมาะสมจึงนับวันจะหายากขึ้นทุกที หากเพราะไม่ใช่ข้าส่งเขาไปออกศึก เขาคงไม่กลายเป็นคนพิการเช่นนี้ เว่ยเว่ยข้ารู้สึกผิดต่อเสด็จอายิ่งนัก"
จื่อเว่ยถึงกับพูดไม่ออก ใจของนางอยากจะทูลฝ่าบาทไปทำตามความประสงค์ของน้องสาวและทำให้ฝ่าบาทสมหวัง ทว่าเมื่อคิดถึงท่านพ่อและนึกถึงใบหน้าเหี้ยมเกรียมของลี่หมิงอ๋องแล้วก็จำต้องกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดกลัว
เกรงว่าหากส่งจื่อรั่วอิงเข้าจวนอ๋องจริง ๆ สตรีซุกซนเช่นนางจะทำท่านอ๋องขุ่นเคือง หากเขาพลั้งเผลอลงมือสังหารจื่อรั่วอิงไปจะทำเช่นใดกัน ฝ่าบาทรักเสด็จอามากเพียงนั้นต่อให้จื่อรั่วอิงตายด้วยน้ำมืออ๋องตาบอด เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่เอาความผิดท่านอ๋องเป็นแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้จื่อเว่ยจึงต้องใคร่ครวญให้ดีอีกสักครั้ง ยามนี้ยังไม่อาจบอกเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบได้
สามวันต่อมา
ในขณะที่จื่อรั่วอิงยังคงถูกขังอยู่แต่ภายในเรือน ของหมั้นจากจวนราชครูถังก็ถูกส่งมาถึงดูเหมือนว่าบิดาของนางจะยินดียิ่ง เรื่องที่นางถูกลวนลามก็ถูกปิดราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น แน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้
มารดาของจื่อรั่วอิงเปิดประตูเข้ามาด้วยน้ำตานองใบหน้านั่นคงเป็นเพราะว่ากำลังปลาบปลื้มกับวาสนาจอมปลอมของจื่อรั่วอิงเป็นแน่
แน่ล่ะในเมื่อมารดาของนางเป็นเพียงผู้ช่วยหมอในหมู่บ้านเล็ก ๆ นับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่บิดาต้องตาต้องใจในตอนที่เขาไปคุมงานสร้างเขื่อนนอกเมืองหลวงจึงได้รับนางมาเป็นอนุคนที่สี่ซึ่งนับเป็นอนุคนสุดท้ายของจวน
บิดาของนางก็ล้วนให้ความเป็นธรรมกับบรรดาภรรยาทั้งสี่คนพวกเขาแม้จะไม่ถึงขนาดรักใคร่ปรองดองแต่ก็ไม่เคยอยู่ที่จวนนี้อย่างยากลำบากเหมือนสตรีจวนอื่น
มารดาของจื่อรั่วอิงก็เป็นเพียงสตรีโบราณการที่เห็นนางแต่งงานเป็นเมียน้อยคนมีฐานะมีหน้ามีตาในเมืองก็ย่อมต้องเห็นดีเห็นงามแทบอยากจะจัดงานแต่งวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ และที่สำคัญคนที่ตามมารดามาก็คือฮูหยินผู้เฒ่าหรือท่านย่าของจื่อรั่วอิงนั่นเอง
เรื่องที่จื่อรั่วอิงถูกลวนลามนั้นทั้งมารดาและท่านย่าต่างก็รู้ดี แต่ทั้งสองคนกลับปิดปากเงียบราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ต่างจากท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย จื่อรั่วอิงทำความเคารพคนทั้งสองด้วยใบหน้าบูดบึ้งเอาแต่ใจ สายตาของนางสำรวจท่านย่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วย้อนมาที่ศีรษะอีกครั้ง
"ท่านย่าเจ้าคะ อาการปวดคอของท่านยังไม่หายดีไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจึงได้ประโคมเครื่องทองทั้งปิ่นหยกเต็มศีรษะเช่นนั้น ไม่หนักแย่หรือเจ้าคะ"
บ่าวรับใช้ของฮูหยินใหญ่ประคองผู้ชราไปนั่งบนตั่งไม้ตัวหนึ่งขณะที่ท่านย่าของจื่อรั่วอิงหัวเราะลั่นอย่างมีความสุข ยามนั้นนั่นเองที่ท่านแม่ของจื่อรั่วอิงเอื้อมมือมาหยิกแขนนางเบา ๆ
"อิงเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท รีบขอโทษท่านย่าเดี๋ยวนี้"
จื่อรั่วอิงเบ้ปากทั้งแสร้งโวยวาย
"ท่านแม่ข้าเจ็บนะเจ้าคะ ที่ข้าพูดเพราะห่วงสุขภาพคอของท่านย่าไม่รู้เหรอ คนแก่อายุก็เจ็บสิบแล้วใส่เครื่องหัวแน่นขนาดนั้นกระดูกคอไม่เสื่อมก็ให้มันรู้ไป"
"นี่เจ้ายังไม่หยุดอีก"
ฮูหยินผู้เฒ่าวันนี้กำลังอารมณ์ดียิ่งนัก ด้วยสินสอดที่ส่งมานั้นมีนับไม่ถ้วน เดิมทีคิดมาต่อว่าจื่อรั่วอิงเรื่องที่ทำตัวตกต่ำถึงขั้นคิดคว้าคนตาบอดมาเป็นสามี ทว่าเมื่อเห็นเงินทองมากมายจึงอารมณ์ดีและยอมปล่อยผ่านไปสักครั้ง
หลานสาวคนนี้แม้จะรูปโฉมงดงามไม่เป็นรองจื่อกุ้ยเฟย ทว่ากลับถูกกิริยาหยาบช้าปกปิดความงามเอาไว้จนมิด ถ้าหากจะโทษก็ต้องโทษที่ลูกชายของเขาดันไปคว้าสตรีชาวบ้านมาเป็นภรรยา จึงได้คลอดบุตรสาวที่ไม่อาจขัดเกลาได้คนนี้ออกมา
แต่วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแก่สินสอดที่ซื่อจื่อแห่งจวนถังอ๋องนำมามอบให้ด้วยตนเอง ทำให้ฮูหยินชรามองหลานสาวคนนี้ว่าน่าเอ็นดูขึ้นมาเล็กน้อย
"พอเถิดวันนี้จะละเว้นโทษให้นางสักวัน สินสอดก็ส่งมาแล้วแม้เจ้าจะแต่งเข้าไปจวนอ๋องมีฐานะเป็นเพียงอนุ แต่ก็เป็นอนุของซื่อจื่อ ถังป๋อคนนี้ดีนักใบหน้าหล่อเหลา เขาคงถูกตาต้องใจเจ้าจึงได้ทุ่มเทมากมายเช่นนี้ เดิมทีข้าไม่เคยคิดว่าเจ้าจะมีโชควาสนาอันใดกับเขาแต่ครานี้โชคมาถึงที่แล้ว วันนี้มาบอกเจ้าให้เตรียมตัว เรื่องแต่งงานข้าจะเร่งให้เร็วที่สุด หาไม่หากฝ่ายนั้นเปลี่ยนใจขึ้นมาเราเป็นฝ่ายหญิงจะเสียหายเอาได้"