“ออกไปเดินเล่นกันสักหน่อยนะ จะได้สดชื่น” ภูษิตชวนเธอออกไปเดินเล่น นิลยาตามเขาออกไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านนั้นมีอาชีพเกษตกร หาของป่าขาย กำลังตากพริก ทำปลาแห้ง ตากสมุนไพรกันอยู่กลางลานหมู่บ้าน
เธอยอมรับว่าไม่เคยสัมผัสวิถีชีวิตแบบนี้มาก่อน มันทำให้เธอตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
“เพิ่งรู้นะคะว่าพริกแห้งเขาทำกันแบบนี้” เธอมองชาวบ้านนำพริกที่เก็บมาทำเป็นพริกแห้ง พริกไทย และเพิ่งเห็นต้นพริกไทยเป็นครั้งแรก อาจเพราะเธออยู่แต่ในเมืองใหญ่ไม่เคยสัมผัสชีวิตเกษตรกรเหมือนดังเช่นครอบครัวบิดามารดา
“วันนี้จะมีงานแต่งด้วยนะครับ” ภูษิตบอกหญิงสาวข้างกายเพราะเมียนายบ้านได้บอกเขาเอาไว้
“ดีจังเลยค่ะ”
“เดี๋ยวเมียของนายบ้านจะเอาชุดมาให้ พูดถึงก็มาเลยครับ” เขาเห็นว่าเมียนายบ้านนั้นเดินมาแต่ไกล พร้อมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
“เตรียมชุดให้แล้วนะจ๊ะทั้งสองคนเลย” เมียนายบ้านชื่อจำปาอายุราวๆ ห้าสิบเศษค่อนข้างใจดีและยิ้มง่าย ลูกบ้านให้ความเคารพยำเกรง เป็นแม่งานเวลาในหมู่บ้านมีงานอะไรต่อมิอะไรก็จะวิ่งโร่ไปหานาง
ใครมีปัญหาอะไรนางจะคอยช่วยเหลือไม่เคยเกี่ยงงอนสมกับเป็นเมียของนายบ้านที่ดูแลหมู่บ้านแห่งนี้
นิลยาอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ลองสวมชุดที่จำปานำมาให้ เธอเดินออกมาด้านนอกก็เจอเข้ากับหญิงสาวในหมู่บ้านที่มาชักชวนเธอไปแต่งหน้าแต่งตาและทำผมเพื่อร่วมพิธีแต่งงานในค่ำคืนนี้
เธอไม่เห็นภูษิต หญิงสาวที่ชื่อดอกแก้วจึงบอกว่าภูษิตไปช่วยพวกผู้ชายเตรียมงานในหมู่บ้าน
“รู้ได้ไงจ๊ะว่าฉันกำลังมองหาใครอยู่” นิลยาเอ่ยพลางเขินอาย
“รู้ก็แล้วกัน แต่งงานกันนานแล้วเหรอ ดูท่าทางเขาจะรักเธอมากนะ” ดอกแก้วเอ่ยถามอย่างอยากรู้
“เราไม่ได้เป็นสามีภรรยาหรือแต่งงานกันนะ”
“อ้าว... แค่คบกันเป็นแฟนอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ได้คบกันด้วย”
“อ้าว... แล้วเป็นอะไรกันเหรอ” ดอกแก้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“แค่หมั้นกันเอาไว้เฉยๆ น่ะ”
“อ๋อ... แบบนี้นี่เอง”
“ผิวดีมากเลย มาจ้ะเดี๋ยวแต่งหน้าให้” การแต่งหน้าของสาวชาวป่าเช่นนี้ใช้สีสันจากดอกไม้แต่งแต้มปาก แก้มและดวงตา กลิ่นหอมของพืชพรรณไม้ป่าทำให้นิลยาเพลิดเพลินไม่น้อย
“งานแต่งงานของหมู่บ้านเราไม่เหมือนที่ไหนนะ” สาวๆ ในหมู่บ้านชวนนิลยาคุยอย่างเป็นกันเอง
“ไม่เหมือนยังไงเหรอจ๊ะ” นิลยาเอ่ยถามสาวๆ ที่ชวนเธอคุยอย่างสนุกสนาน การได้คุยกับสาวๆ วัยไล่เลี่ยกันทำให้เธอยิ้มอยู่ตลอดเวลาเพราะแต่ละคนน่ารักและจริงใจไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรให้ต้องหวาดระแวง
“หมู่บ้านของเราน่ะเป็นแฟนกันรักกันหรือชอบกันก็ใช่จะได้แต่งงานกันง่ายๆ น่ะสิ”
“อ้าว... ทำไมเหรอจ๊ะ นึกว่าถ้ารักกันชอบกัน ส่งผู้ใหญ่ไปทาบทามสู่ขอก็แต่งงานกันได้เลยเสียอีก”
“ผู้หญิงที่มีแฟนหรือคนรัก จะต้องได้ช่อดอกไม้ป่าที่เป็นมงกุฏดอกไม้จากเจ้าสาวที่แต่งงานจ้ะ ถึงจะได้แต่งงานกัน”
“หมายความว่ายังไงเหรอ”
“หมายความว่าเมื่อมีงานแต่งงานเกิดขึ้น สาวๆ ที่อยากแต่งงานจะไปยืนรอรับมงกุฏดอกไม้จากเจ้าสาวที่จะโยนมาทางด้านหลัง ถ้ามงกุฎดอกไม้ไปตกลงบนหัวใคร คนนั้นก็จะได้แต่งงานในอีกวันรุ่งขึ้นจ้ะ แต่ถ้ามงกุฎไม่ไปตกบนหัวของใครเลย ก็จะไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้น”
“ถ้าไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้น แล้วสาวๆ คนอื่นๆ ก็จะไม่ได้แต่งงานอย่างนั้นเหรอ”
“ได้แต่งจ้ะ งานแต่งจะเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อหญิงบ้านใดมีกลิ่นหอมประจำตัวของดอกไม้ป่าโชยออกมาจากตัว เดินไปตรงไหนก็หอม ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านจะรู้ก็จะจัดงานแต่งงานให้”
“แสดงว่าหญิงคนนั้นก็ต้องมีคู่รักอยู่ก่อนแล้วใช่ไหม”
“ใช่จ้ะ หญิงที่มีกลิ่นหอมประจำกายออกมาจากตัวนั้นจะมีคู่รักที่พร้อมแต่งงานถูกตามประเพณี”
“คืนนี้ทุกคนคงแย่งมงกุฎดอกไม้กันสิจ๊ะ”
“ก็ใช่จ้ะ แต่ถึงจะแย่งยังไงถ้าเจ้าป่าเจ้าเขาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่พร้อมที่จะให้แต่งงาน ก็ไม่มีทางได้ตบแต่งหรอกจ้ะ”
“คืนนี้ไปรับมงกุฎดอกไม้บ้างสิ จะได้แต่งงานกับพ่อรูปหล่อไง” หญิงสาวอีกคนพูดขึ้น นั่นทำให้นิลยาถึงกับยิ้มเขิน ส่ายหน้าไปมา เธอว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีอะไรแปลกดี แต่ก็แปลกไปในทางที่ดี ไม่ใช่แปลกไปในทางน่ากลัวอะไรแบบนั้น
“ไม่เอาหรอกจ้ะ ฉันไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ไม่ไปยื้อแย่งมงกุฏดอกไม้กับใครหรอก”
“ไม่ใช่ก็ไม่เกี่ยวนะ เคยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเดินป่า เจอหมู่บ้านของเราแล้วเป็นคู่รักกันได้แต่งงานกันก็มีจ้ะ”
นิลยาเพียงแต่ยิ้มรับเท่านั้น เธอคงไม่ไปยื้อแย่งมงกุฏดอกไม้อะไรกับสาวๆ คนอื่นหรอก เพราะหลายคนก็อยากแต่งงาน เธอไม่อยากไปดับความหวังคนอื่น
“ในหมู่บ้านมีงานเลี้ยงแบบนี้ทุกวัน ตอนเย็นๆ ทุกคนที่ออกไปทำงานก็เอาอาหารที่ตัวเองหาได้ มาช่วยกันปรุง แล้วก็กินเลี้ยงกัน หมู่บ้านเรามีลูกได้ครอบครัวละคนเท่านั้น ตามธรรมเนียมของหมู่บ้านจ้ะ” ดอกแก้วที่คุยเก่งเป็นบุตรสาวของนายบ้านเล่าให้เธอฟัง
“มีลูกได้แค่คนเดียว แล้วหลังจากนั้นก็คุมกำเนิดเหรอจ๊ะ” นิลยาถามอย่างสงสัย
“ไม่ได้คุมนะ เหมือนกับว่าถ้าแต่งงานทุกคนก็มีลูกแค่คนเดียวอยู่แล้ว เป็นธรรมดาของที่นี่จ้ะ คือหลังจากมีลูก พอคลอดออกมาหมอตำแยจะให้กินดอกไม้หอมชนิดหนึ่ง แล้วก็ไม่มีใครมีลูกอีกเลย” ดอกแก้วเล่าไปก็พานิลยามาที่กลางหมู่บ้าน ที่นี่เป็นชุมชนเล็กๆ มีทั้งเด็ก วัยหนุ่มสาวและคนแก่ ดูแล้วเป็นหมู่บ้านที่มีความสามัคคีมีอะไรก็แบ่งปันกัน ทั้งอาหารเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่เธอเห็นว่าในหมู่บ้านช่วยกันทอผ้าใช้เอง อาหารก็ช่วยกันทำเอง ผู้ชายหาของป่ามาให้ผู้หญิงนำมาตากแห้งบ้าง ปรุงอาหารบ้าง
“แล้วคนที่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านล่ะจ๊ะ เขาคลอดในเมืองไม่ได้คลอดกับหมอตำแย จะมีลูกได้กี่คน”
“คลอดได้มากกว่าหนึ่งคนจ้ะ” ประโยคนั้นทำให้นิลยาพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมามาก
“งานแต่งงานแบบนี้เราจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนะ อาหารส่วนใหญ่จะเป็นผักหญ้าและอาหารตากแห้งที่นำมาปรุงจ้ะ” ดอกแก้วนั่งลงที่แคร่กลางหมู่บ้าน
นิลยาหันไปมองรอบกายเพื่อสำรวจงานแต่ง เธอเห็นว่าภูษิตเดินมาแต่ไกล จึงยืนขึ้นอย่างเผลอไผล เขากำลังมองตรงมาทางเธอ ชุดที่เขาสวมเหมือนผู้ชายในหมู่บ้าน เป็นผ้าทอแต่ดูแปลกตาทำให้เขาดูดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ภูษิตเองก็ยิ้มกว้าง เขามองคู่หมั้นของตัวเองด้วยรอยยิ้ม ปฏิกิริยาของคนทั้งสองทำให้หลายคนแอบอมยิ้ม เรื่องที่ภูษิตกับนิลยาเป็นคู่หมั้นกัน ทำให้ทุกคนรับรู้ในเวลาอันรวดเร็ว
“สวยจังครับ” ประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักหนาทำให้เธอเขินอายไม่น้อย
“ดอกไม้สำหรับคนสวยครับ” เขาไปช่วยหนุ่มๆ จัดงานเลยเก็บดอกไม้ป่ามาฝากเธอ นิลยายื่นมือไปรับเอาไว้ก่อนจะอมยิ้มและมีท่าทีขัดเขิน
“ขอบคุณค่ะ” เธอยกไปดมก่อนจะมองดอกไม้ป่าแสนสวยที่เขาเก็บมาให้
“สวยและหอมมากค่ะ”
“รู้ไหมผู้ชายให้ดอกไม้ชนิดนี้แปลว่าเขากำลังจีบอยู่นะ” ดอกแก้วเข้ามากระซิบบอกทำเอานิลยายิ้มเขินหนักกว่าเดิม
สองหนุ่มสาวได้ตื่นตาตื่นใจกับงานแต่งงานเล็กๆ ที่ถูกจัดขึ้นในหมู่บ้าน ความอบอุ่นอบอวลอยู่รอบกาย
สาวๆ พากันไปเต้นรำกับหนุ่มๆ อย่างสนุกสนาน อาหารการกินเป็นอาหารที่ทำจากผักหญ้า ธัญพืช ถั่วและงา รสชาติอร่อยหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วลานหมู่บ้าน
เธอกินขนมถั่วงารสชาติอร่อยที่ไม่เคยกินมาก่อน มีเครื่องดื่มจากน้ำผลไม้กลิ่นหอม เธอคิดว่ามันเป็นไวน์หมักดีๆ นี่เอง
บรรยากาศในงานสนุกสนาน เธอดื่มน้ำผลไม้หมักเข้าไปก็รู้สึกครื้นเครงตามไปด้วย จึงไปเต้นรำกับภูษิตหลายเพลง เสียงหัวเราะของเธอกับเขาประสานกับเสียงของคนอื่น
ก่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะถูกส่งตัวเข้าห้องหอ จะมีพิธีโยนมาลัยดอกไม้ นิลยาไปยืนอยู่ห่างๆ จากรัศมีการโยน ปล่อยให้สาวๆ ในหมู่บ้านที่ปรารถนามาลัยดอกไม้กันแทบทุกคนได้เข้าไปยื้อแย่งกันอย่างสนุกสนาน