“หัวเราะอะไรเหรอคะ”
“ยอกันเกินไปน่ะครับ มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ บางทีอาจจะมีผู้หญิงหนีผมอยู่ก็ได้นะครับ”
“จริงนะคะ นิลคิดแบบนั้นจริงๆ แต่ผู้หญิงคนไหนนะ จะกล้าหนีคุณภู” ประโยคของเธอทำให้เขายิ้มบางๆ
“แต่เอ่อ... นิลก็ทำไม่ดีนะคะ หนีออกจากบ้าน”
“ทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ”
“ทำไมคุณภูรับนิลเข้าทำงานล่ะคะ” เธอเอ่ยถามอย่างสนใจ
“เรื่องหนีออกจากบ้านเป็นเรื่องส่วนตัวครับ ไม่เกี่ยวกับงาน เพราะคุณนิลถูกบังคับให้แต่งงาน เป็นผมก็คงไม่ยอมครับ ผมเคารพการตัดสินใจของคนอื่น ไม่ชอบถูกบังคับเหมือนกันครับ และผมก็เห็นความมุ่งมั่นของคุณนิลเลยคิดว่าจะรับเข้ามาทดลองงานดูครับ ถ้าคุณนิลชอบก็ทำได้ตลอดเลยครับ ผมไม่เคยคิดจะไล่ใครออกเลยครับถ้าไม่ได้ทำความผิดอะไรร้ายแรง”
“การที่นิลหนีออกจากบ้านคุณภูคิดว่านิลทำถูกและเป็นเรื่องที่ดีเหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมคิดว่าจริงๆ แล้วคุณนิลควรเผชิญหน้ากับความเป็นจริง มีปัญหาก็ต้องแก้ปัญหานะครับ บอกคุณพ่อคุณแม่ไปตรงๆ และรอคุยกับว่าที่เจ้าบ่าวก่อน จะได้เข้าใจตรงกันน่ะครับ การหนีไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา แถมยังทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจอีกด้วยครับ”
“ก็จริงนะคะ” นิลยาหน้าสลดลง เธอรู้สึกผิดกับบิดามารดาเหลือเกิน
“พ่อแม่ของเราต้องรักเราอยู่แล้วครับ พวกท่านมักคิดว่าสิ่งที่หาให้ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้ามันไม่ตรงใจของเราก็ควรหาเหตุผลมาพูดคุยกันครับ การหันหน้ามาคุยกันเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่าการหนีปัญหานะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะ งั้นพรุ่งนี้นิลจะกลับบ้านไปหาคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ไปบอกให้พวกท่านยกเลิกงานแต่ง”
“ครับ” เขารับคำสั้นๆ ง่ายๆ
“ครับนี่คือคุณภูเห็นด้วยเหรอคะ”
“เห็นด้วยครับ เราไม่ควรทิ้งปัญหาเอาไว้ให้ครอบครัวต้องแก้ไข แต่เราควรเผชิญกับปัญหาครับ ไม่มีใครได้อะไรในโลกนี้ไปทั้งหมด ก็เหมือนกับว่าบางอย่างเราอาจจะต้องฝืนใจตัวเอง หรือหาทางออกที่ดีกว่าการยอมทำอะไรสักอย่างให้ใครครับ”
“พรุ่งนี้นิลจะกลับบ้านค่ะ ไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ให้รู้เรื่อง”
“เดี๋ยวผมไปส่งครับ” เขาเอ่ยขึ้นมา ขณะเงยหน้ามองดวงบนท้องฟ้า
“ขอบคุณคุณภูมากๆ เลยนะคะ คุณภูมีน้ำใจคอยช่วยเหลือนิลเอาไว้ถึงสองครั้ง”
“สองครั้งยังไงเหรอครับ”
“ก็จากโจรในครั้งแรก และเรื่องงานแต่งค่ะ นิลทิ้งให้ครอบครัวต้องเผชิญกับปัญหา พ่อแม่ของนิลจะตอบคู่หมั้นของนิลว่ายังไงล่ะคะ ที่นิลหนีมาแบบนี้ นิลนี่แย่จังเลยค่ะ” เธอรู้สึกผิดและคิดว่าควรจะเผชิญหน้ากับความจริง ไม่ใช่หนีมาแบบนี้
“ไม่หรอกครับ บางครั้งคนเราก็ตัดสินใจอะไรผิดพลาดไปบ้างครับ แต่ถ้าเรารู้ตัวและแก้ปัญหาก็ถือว่าเรารับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองครับ เพราะเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตอะไรได้อีกแล้วครับ”
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ” เธอขอบคุณเขาจากใจ
“มาครับมาดูดาวกัน ผมซื้อกล้องดูดาวมาไว้สำหรับดูดาวด้วยครับ เราจะได้เห็นดาวชัดขึ้น” เขาสอนวิธีใช้กล้องดูดาวให้เธอ ก่อนจะชี้ชวนให้เธอดูดาว
นิลยารู้สึกประทับใจในตัวของเขาเป็นอันมาก เธอแอบมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของเขาแล้วอมยิ้ม
“คุณภูมาเป็นแฟนหลอกๆ ของนิลได้ไหมคะ”
“ครับ!” เขาหลุดอุทานออกมาเหมือนเพิ่งหาเสียงเจอ
“ผมฟังไม่ชัดคุณนิลว่าอะไรนะครับ” เขาไม่ได้คิดว่าจะได้ยินเธอพูดแบบนี้ออกมา เลยถามซ้ำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“นิลหาทางออกได้แล้วค่ะ ถ้านิลบอกว่ามีแฟนแล้ว คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะไม่บังคับให้นิลแต่งงานกับพ่อเลี้ยงนั่นอีก คุณภูจะมาเป็นแฟนกำมะลอให้นิลได้ไหมคะ”
“เอ่อ... ผมว่าเราค่อยคุยเรื่องนี้กันดีกว่าครับ” เขากะพริบตาปริบๆ จะสารภาพกับเธอตรงๆ ในตอนนี้เลย เขาก็คิดว่ามันยังไม่เหมาะไม่ควร
“คุณภูรังเกียจนิลเหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ แต่สำหรับผมถ้าจะมีแฟนก็ขอเป็นแฟนจริงๆ ผมไม่ชอบหลอกใครถ้าไม่จำเป็นครับ” เขามองสบตาเธอ นั่นทำให้นิลยาเขินอายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ”
“ไว้เจอกับคุณพ่อคุณแม่ก่อนครับ แล้วเราค่อยคุยกันอีกที” เขาบอกเธอเสียงนุ่ม หาทางออกให้เธอ นั่นทำให้เธอเองต้องพยักหน้าให้เขาในทันที เพราะคิดว่าเป็นการรบกวนเขาจนเกินไป
“มาดูดาวกันต่อเถอะครับ” เขาชวนเธอดูดาว ก่อนจะพาเธอลงจากหอดูดาวและส่งเธอเข้านอน
“นอนหลับฝันดีนะครับ ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ทุกปัญหาแก้ไขได้ แค่เราพูดความจริงเท่านั้น”
“ขอบคุณนะคะ” นิลยางับประตูปิดเมื่อเขาหมุนร่างเดินจากไป เธอเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำอุ่นอีกรอบ ก่อนจะเข้านอน
หญิงสาวนอนครุ่นคิดอะไรมากมายในหัวก่อนจะตัดสินใจทุกอย่างอีกครั้ง
รุ่งเช้าของวันใหม่เธอไม่ได้รบกวนเจ้าของไร่ แต่เธอแบกเป้หนีกลับบ้านของตัวเองทันที โดยการขอร้องคนงานในไร่ที่กำลังจะเข้าเมืองให้มาส่งเธอ คนงานในไร่ของเขาใจดีทุกคน จึงมีคนช่วยเหลือ พาเธอกลับมาส่งที่ไร่ของบิดามารดาได้เป็นผลสำเร็จ
ในขณะที่นิลยาคิดว่าเจ้าของไร่ไม่รู้ แต่ภูษิตกลับยืนมองเธอขึ้นรถไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู เขาสั่งพนักงานหรือคนงานในไร่เอาไว้แล้วว่าหากนิลยาต้องการขอความช่วยเหลืออะไรก็ให้ช่วยเธอทุกอย่าง นั่นจึงทำให้คนงานพาเธอกลับไปส่งไร่ เขาคิดว่าเธอคงไม่อยากรบกวนเขา ซึ่งเขาเองนั้นก็ไม่อยากบังคับอะไรเธอ ปล่อยให้เธอได้ตัดสินใจด้วยตัวเองเพราะเธอโตแล้ว เขาไม่ต้องการบังคับให้ใครต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับเขาด้วยความไม่เต็มใจ เพราะไม่ใช่แค่หล่อนที่ต้องทน เขาเองก็คงต้องเหนื่อยและทนเช่นกัน
การอยู่ด้วยกันยิ่งอยู่ด้วยกันในฐานะคู่สามีภรรยา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรัก การให้เกียรติซึ่งกันและกัน และความยินยอมพร้อมใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขก็พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยกัน
นิลยามองบ้านหลังใหญ่ของตัวเองแล้วถอนใจพรืดใหญ่ เธอต้องโดนบิดามารดา พี่สาวและพี่เขยตำหนิเอาแน่ๆ เลย พอคิดดังนั้นก็ทำท่าจะหมุนร่างหนี เพราะเธอยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับใครในเวลานี้
“ยายนิล” เสียงดีใจของมารดาและร่างที่วิ่งเข้ามากอดทำให้นิลยาตัวแข็งทื่อ เธอหนีไม่ทันเสียแล้ว!!!
“เป็นยังไงบ้างลูก พ่อกับแม่กับพี่ๆ ของเราเป็นห่วงแทบแย่เลยรู้ไหม”
“พ่อจ๋าแม่จ๋านิลขอโทษนะคะ” นิลยาร้องไห้น้ำตาซึมเพราะไม่คิดว่านอกจากพวกท่านจะไม่ตำหนิแล้วก็ยังเป็นห่วงเธอขนาดนี้ หญิงสาวก้มลงกราบขออภัย พวกท่านก็ลูบหลังลูบไหล่อย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรๆ หนูไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” นันทกากอดปลอบบุตรสาว ลูบหลังลูบไหล่อย่างห่วงใย
“คุณพ่อกับคุณแม่ไม่โกรธหนูเหรอคะ”
“พ่อกับแม่เข้าใจหนูนะ และต้องขอโทษหนูเสียด้วยซ้ำที่พวกเราบังคับหนูแบบนี้ ดีที่หนูไม่เป็นอะไรมาก”
“คุณแม่พูดเหมือนรู้ว่าหนูไปเจอกับอะไรมาบ้าง”
“เอาเป็นว่าหนูไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเราค่อยลงมาคุยกันนะ วันนี้แม่กับพี่ของเราทำอาหารเอาไว้ให้เราเยอะแยะเลย” นิลยางุนงงเมื่อมารดาพูดเหมือนรู้ว่าเธอจะกลับมา แต่เธอก็โล่งใจที่ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ถูกตำหนิแรงๆ อย่างที่คิดเอาไว้แต่แรก
นิลยาอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยก็ลงมาชั้นล่าง ได้ยินเสียงของมารดาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขณะเดินเข้ามาหา
“นิลมาพอดีเลยลูก คู่หมั้นของหนูมาน่ะ” นิลยาทำหน้าเซ็งนิดๆ
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ จะได้คุยกันให้รู้เรื่องไปเลย นิลไม่อยากแต่งงานค่ะคุณแม่”
“หนูอย่าเพิ่งตัดรอนแบบนั้นสิจ๊ะ ลองทำความรู้จักกับพ่อเลี้ยงก่อน เขาเป็นคนดีนะลูก”
“คุณแม่จะไม่บังคับหนูอีกใช่ไหมคะ”