“คุณสิงคะ คุณพายเธอ…”
“ถ้างานของคุณเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เชิญคุณกลับไปได้ ที่เหลือเดี๋ยวผมจะจัดการเอง”
“คุณสิงจะให้คุณพายทำงานต่อเหรอคะ”
“ผมบอกว่าผมจะจัดการเอง” ดวงตาคมเข้มตวัดกลับไปจ้องหน้าจนเลขาสาวต้องห้มหน้าลง ทำได้เพียงรีบถอยหลังออกไปจากห้องปล่อยให้เจ้านายจัดการทุกอย่างเองต่อให้ลึกๆ แล้วเธอเองก็อยากทำแบบตามใจตัวเองแค่ไหนก็ตาม
ปานลนาพอจะรู้อยู่บ้างว่าเจ้านายของเธอและพระพาย มีความสัมพันธ์แบบไหนต่อกัน แม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เข้าใจแต่เธอก็รู้ว่าคนทั้งคู่อยู่บ้านเดียวกัน อาจจะมีอะไรที่มันลึกซึ้งมากกว่านั้นแต่การที่เจ้านายของเธอปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนั้นแบบนี้เขาก็อาจจะมีเหตุผลบางอย่างสุดท้ายก็ทำได้เพียงภาวนาให้คนทั้งคู่แตกหักกันเร็วๆ
แกร๊ก~
ประตูห้องเอกสารถูกเปิดตามด้วยร่างสูงโปร่งของสิงหาที่เดินเข้ามาในห้อง
“ให้เวลาทำงานทั้งวันเธอทำได้แค่นี้เองเหรอ” น้ำเสียงกระแหนะกระแหนส่งผลให้คนตัวเล็กลอบถอนลมหายใจออกมาเบาๆ
“ก็เอกสารที่ให้หามันย้อนหลังไปตั้งสามปี ถามตัวเองก่อนดีไหมว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร“
“พูดจาเหมือนคิดว่าฉันกลั่นแกล้งเธอเลยนะ”
“แล้วไม่ได้กำลังทำแบบนั้นหรอกเหรอ”
“แล้วทำไมฉันต้องทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นด้วย เวลาฉันมีค่ากว่านั้นเยอะไม่จำเป็นที่ฉันจะลงไปเล่นอะไรที่มันไร้สาระกับเธอ” พระพาย เค้นเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
ต่อให้เขาจะพูดแบบนี้แต่ลึกๆ เธอมั่นใจว่าเขากำลังกลั่นแกล้งเธอแน่ๆ มีความจำเป็นข้อไหนที่ต้องรื้อเอกสารยอดขายภายหลังถึงสามปีมันไม่มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้เลยสักนิด
“ที่จริงเอกสารพวกนี้จำเป็นต้องใช้ตั้งแต่บ่ายของวันนี้ แต่ในเมื่อเธอไม่ได้มีประสิทธิภาพมากพอที่จะทำทุกอย่างให้มันทันเวลา”
“เดี๋ยวนะ เอกสารเยอะแยะขนาดนี้จะให้หาให้ครบก่อนบ่ายมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้มีสักสิบคนสิบมือที่ช่วยกันรื้อสุดท้ายมันก็ไม่ทันอยู่ดี”
“จะบอกว่าตัวเองมีประสิทธิภาพงั้นเหรอ”
“เลิกทำตัวไร้สาระแบบนี้สักทีเถอะสิง โตๆ กันแล้วช่วยมีเหตุผลหน่อยได้ไหม”
“แล้วทำไมฉันจะต้องมีเหตุผลกับคนที่ไร้เหตุผลแบบเธอ”
“ตั้งใจจะคุยเรื่องไหนกันแน่”
“แล้วเธอคิดว่าฉันอยากคุยเรื่องอะไรล่ะ”
“ถ้าเป็นเรื่องเดิมๆ ก็เคยบอกไปแล้วว่ามีเหตุผล”
“ในเมื่อเธอไม่เคยบอกว่าเหตุผลของเธอมันคืออะไรฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพยายามเข้าใจเธอเพราะสุดท้ายเธอเองมันก็เห็นแก่ตัวคิดถึงแค่ผลประโยชน์และความต้องการของตัวเอง”
“สิง…”
“รู้ว่าผู้หญิงแบบเธอมันน่ารังเกียจขนาดไหน เสียแรงที่เคยคบเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน”
“แล้วสิ่งที่ฉันพยายามชดเชยให้มันไม่เคยมีผลอะไรเลยเหรอ มันไร้ค่าขนาดนั้นเลยรึไง”
“เธอก็รู้ว่าฉันไม่เคยให้ความสำคัญ”
“งั้นก็เชิญตามสบาย อยากแกล้งฉันไปถึงไหนอยากจะเอาคืนด้วยวิธีไหนก็ตามสบาย”
“ถือว่าเธอท้าทายฉันเองนะ จำเอาไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทุกอย่างมันเป็นเพราะตัวเธอเอง ที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะเธอ” ไม่ว่าจะวันนี้หรือเหตุการณ์ภายในสี่เดือนย้อนหลังสิงหาเลือกที่จะย้ำคำนี้ตลอดเวลาเขาบอกตลอดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอสูญเสียหรือชดเชยให้มันไม่เคยมีค่าอะไรกับเขาทั้งนั้นมันก็คงมีแต่เธอที่ดื้อรั้นไปเองฝ่ายเดียว
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกว่าเอกสารภายในห้องเก็บเอกสารจะถูกรื้อในส่วนที่จำเป็นต้องใช้ออกมาจากกองเอกสารจำนวนมากที่ถูกเก็บไว้แบบปีทบปี
พระพายหอบทุกอย่างมาวางบนหน้าตัก เปิดเช็คความเรียบร้อยอีกครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดและจะไม่มีใครมากลั่นแกล้งให้เธอต้องมารื้อซ้ำได้อีกจึงหอบทุกอย่างออกมาจากห้องนั้น
ไฟภายในตัวอาคารถูกปิดไปแล้วบางส่วนและไม่มีใครอยู่ที่นี่ระบุได้ว่ามันเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว
พระพายปลีกตัวไปยังห้องผู้บริหาร พอเปิดประตูเข้าไปกลับพบว่าสิงหาไม่ได้อยู่ในห้องนี้จึงจำต้องควานหาโทรศัพท์มือถือแล้วกดโทรออกหาเขาแทน
“ฉันทำงานเสร็จแล้ว นายอยู่ไหน”
(อยู่ที่ลานจอดรถ)
“นี่มันก็สองทุ่มแล้ว ถ้าต้องหาแท็กซี่เวลานี้มันอาจจะหายาก ขอกลับพร้อมกันเลยได้ไหมมันคงไม่มีใครอยู่ที่บริษัทแล้วแหละ” เธอร้องขอในสิ่งที่เขาไม่เคยให้แต่ในเมื่อเธอต้องทำงานล่วงเวลาเพราะเขาและอีกอย่างเวลานี้ก็ไม่มีใครเห็นแน่นอนหากเธอและเขาต้องกลับพร้อมกัน
(ได้…)
“งั้นรอ…”
(ฉันให้เวลาเธอแค่สองนาทีเท่านั้น)
“อะไรนะ”
(ฉันให้เวลาเธอเดินมาขึ้นรถภายในสองนาที ถ้าเธอช้ากว่านี้ฉันก็ไม่รับรองหรอกนะว่ายังจะรอเธออยู่หรือเปล่าพอดีว่าฉันไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น)
“สิง! แต่สองนาทีถึงยังไงมันก็ไม่ทันอยู่แล้ว ฉันกำลังลงไป…” ยังพูดไม่ทันได้จบประโยคด้วยซ้ำคนที่อยู่ในสายก็เลือกที่จะวางสายใส่ พระพายจึงทำได้เพียงหอบเอกสารทุกอย่างไปวางบนโต๊ะของผู้บริหารจากนั้นก็รีบลงไปลานจอดรถอย่างรวดเร็ว
พยายามที่จะกึ่งวิ่งกึ่งเดิน หวังจะเดินลงไปที่ลานจอดรถให้เร็วที่สุดเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะทะเลาะ ทว่าทันทีที่เธอเดินพ้นประตูอาคาร มันกลับเป็นจังหวะเดียวกับที่รถของสิงหาเลื่อนออกจากลานลานจอดของผู้บริหาร เธอวิ่งสุดแรงหวังจะให้เขาเห็นเธอ แต่เขากลับเลือกที่จะทำเหมือนไม่เห็นและขับรถผ่านหน้าของเธอไปโดยไม่คิดที่จะจอดรับ
ทำให้เห็นแบบซึ่งหน้ามากว่าเขาตั้งใจที่จะแกล้งเธอ!
พระพายหอบหายใจหนักๆ กดโทรออกซ้ำหาคนที่เพิ่งขับรถผ่านหน้าของเธอไปหากเขาเลือกที่จะจอดยังไงเราก็สามารถกลับด้วยกันได้แต่เขาไม่ได้คิดที่จะจอด แต่ยอมรับสายเธอ
(ว่า….)
“นายก็เห็นฉันลงมาถึงแล้วแล้วทำไมถึงไม่รอ”
(ขี้เกียจรอ)
“สิงหา!”
(ใครบอกเธอชักช้าฉันบอกไปแล้วว่าให้เวลาแค่สองนาที)
“ทั้งที่เห็นอยู่ว่าฝนกำลังจะตกนี่นะ นายจะเลิกใจร้ายกี่โมง จะเลิกเป็นคนที่ไร้เหตุผลแบบนี้เมื่อไหร่กัน”
(เอาเป็นว่าฉันจะเลิกในวันที่เธอยอมบอกว่าน้องสาวของเธอไปอยู่ที่ไหนแบบนั้นดีไหม) พอได้ยินแบบนั้นบอกเลยว่าหมดแรงครั้งแล้วครั้งเล่า เธอจะไม่ติดอะไรเลยหากเขาเลือกที่จะเอาอย่างอื่นมาเป็นข้อต่อรอง ยกเว้นเรื่องนี้
(เงียบทำไมล่ะ เธอทำไม่ได้แค่พูดออกมาก็ยังทำไม่ได้ งั้นเธอก็ทนไปสิ ทนต่อไปยาวๆ ทนจนกว่าฉันจะเอาคืนจนพอใจ) สิงหาวางสาย ปล่อยพระพายให้ยืนเคว้งอยู่กับที่ ทั้งเหนื่อยกับสิ่งที่เธอกำลังเผชิญ เหนื่อยกับทุกสิ่งทุกอย่าง
แค่สี่เดือนเธอยังต้องแบกรับทุกอย่างขนาดนี้หากเธอปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตัวเธอจะสาหัสแค่ไหน ร่างกายคงไม่เท่าไหร่แต่หัวใจนี่สิมันยับเยินครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกเขาเหยียบซ้ำจนมันเจ็บจนชา
ร่างบอบบางเดินออกมาจากบริษัทขนาดใหญ่ ใช้เวลาไม่นานสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาท่วมร่าง เสมือนกำลังซ้ำเติมจนคนที่ยืนตากฝนน้ำตาคลอเบ้า
ใบหน้าสวยเชิดขึ้น เม็ดฝน ตกกระทบลงมาบนใบหน้าเนียนจนเจ็บแสบ แต่สุดท้ายทำได้เพียงกัดฟันแน่นไม่ยอมเดินหนี ปล่อยใหตัวเองเปียกปอนอยู่แบบนั้นพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลออกมามากกว่าเดิม
“ซ้ำเติมไปเถอะซ้ำเติมไปเลยจนกว่าจะพอใจ” มือเรียวกำสายประเป๋าสะพายเอาไว้แน่น ร่างกายเปียกปอนเริ่มสั่นเทิ้มเพราะความหนาวเย็น สุดท้ายก็ทำได้เพียงโอบกอดตัวเองเอาไว้ อย่าได้คิดที่จะไปร้องขอความเห็นใจจากใครเพราะสุดท้ายเธอก็ไม่มีวันได้สิ่งนั้นอยู่ดี
สิ่งเดียวที่สิงหาต้องการคือการที่เธอส่งตัวเพลงพิณให้เขา เมื่อไหร่ที่เขามีโอกาสได้เบี่ยงเบนเป้าหมายด้วยการเอาคืนน้องสาวของเธอ วันนั้นเธอเป็นอิสระจากผู้ชายใจร้ายแบบเขา ในเมื่อเธอเองก็เจ็บไปแล้ว ให้เธอทนเจ็บต่อไปเถอะ เธอจะแบกรับทุกอย่างเอง ไม่จำเป็นต้องถามว่านานแค่ไหน เพราะคำตอบของเธอคือจนกว่าเขาจะพอใจ หรืออีกหนึ่งเหตุผลก็คือจนกว่าเธอเองจะทนไม่ไหว