อรรถพลคิดอย่างสะใจ ก่อนส่งสายตาสั่งคนของตนเอง ให้ขับรถออกไปจากบริเวณของลานวัดเสียที
อภิยาอยู่ที่วัดเพื่อจัดการธุระเท่าที่เด็กสาวคนหนึ่งพอจะทำได้จนเสร็จสิ้นเรียบร้อยดีค่อยกลับเข้าบ้าน บ้านหลังนี้ติดจำนองกับธนาคาร หมายศาลคุณลุงอรรถพลช่วยเคลียร์ให้แล้ว
เงินที่เธอมีเท่าที่นับได้เป็นตัวเลขที่สี่หลักเท่านั้น
ให้กำลังใจตัวเอง นึกถึงคำที่พ่อและแม่เคยสอน ว่าเกิดเป็นคนแล้ว อย่าย่อท้อต่ออุปสรรค แล้วลงมือเก็บข้าวของที่เหลือจนเสร็จเรียบร้อยค่อยอาบน้ำเข้านอน ตื่นแต่เช้าตรู่ ไปแจ้งที่คณะเพื่อเข้าสอบในวิชาที่เธอขาดไป อาจารย์เห็นใจและเข้าใจเธอเป็นอย่างดี หลังสอบเสร็จ เธอแจ้งอาจารย์เรื่องย้ายมหาวิทยาลัยต่อจากนั้น ท่านสอบถามถึงปัญหาของเธอ เมื่อยื่นข้อเสนอให้กู้เรียน เธอคิดเอาไว้แล้วว่าคงจะแก้ปัญหาที่มีไม่ได้ จึงบอกท่านว่าอย่างไรก็คงต้องย้าย เนื่องจากหนี้สินมากมายที่มีอยู่ในตอนนี้เป็นปัญหาหลักของเธอ ท่านช่วยทำเรื่องให้ พร้อมอวยพรให้เธอประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้
แล้วแวะไปหาผู้มีพระคุณอีกสองคน ที่เกื้อหนุนเธอมาตลอด นอกจากช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลของแม่แล้ว ยังให้งานเธอทำอีกด้วย พอพวกท่านรู้ว่าเธอย้ายไปเรียนที่ใหม่ที่เป็นมหาวิทยาลัยเปิด พวกท่านก็บอกว่าจะส่งเสียเธอเอง ได้ยินแล้วซาบซึ้งใจนัก แต่ที่เธอเคยได้รับมาจากพวกท่านก็มากโขแล้ว จึงบอกท่านทั้งสองไปว่าไม่ต้องห่วง ยกมือไหว้ลาพวกท่าน จากนั้นตรงกลับเข้าบ้าน
หอบกระเป๋าที่จัดไว้แล้ว ไปยังสถานีขนส่ง ซื้อตั๋วไปยังปลายทางตามที่ได้รับที่อยู่มาจากคุณลุงอรรถพล
นั่งรถจากต้นทางนานร่วมห้าชั่วโมงได้กว่าจะถึง
รถจอดที่ด้านหน้าของสวนขนาดใหญ่ ที่ซึ่งด้านหน้ามีป้ายเขียนข้อความมากมายบนนั้น บอกว่ามีกิจการอะไรตั้งอยู่ภายในบริเวณบ้าง นอกจากสวนแล้ว ยังมีร้านขายสินค้าแปรรูป คาเฟ่ ที่มีคำว่า ‘ไร่เทียมพสุธา’ พ่วงท้ายไว้ด้วยทุกอัน
ไม่ผิดหรอกแบบนี้
เธอมาไม่ผิดที่แน่
อภิยาจับสายกระเป๋าเป้ขึ้นคล้องไหล่ทั้งสองข้างให้กระชับ แล้วเดินมุ่งหน้าไปตามทางปูนลาดยาว ตรงเข้าไปยังด้านใน เดินได้เดี๋ยวเดียวเสียงบีบแตรดังลั่นที่ด้านหลัง ขยับหลบเข้าข้างทาง เห็นว่าตัวเองก็เดินชิดริมทางแล้วนี่นา แต่ทางนั้นก็ยังคงบีบแตรเสียงดังลั่นอยู่ จึงหันกลับไปมอง
เขาจอดรถข้างเธอ ถามอย่างเป็นมิตรว่า “มาหาใครหรือหนู”
“มาหาคุณพสุธาค่ะ”
“คุณพุธหรือ” ทางนั้นทวนชื่องึมงำเบา ๆ กับตัวเอง แล้วชวนเธอ “ขึ้นมาสิ กว่าจะเดินเข้าไปถึงข้างในขาได้ลากกันก่อนพอดี”
อภิยายิ้ม มองอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดไม่ต่างจากชาวสวนทั่วไป ใบหน้าแววตาใจดี เขาขยับที่ให้เธอนั่งได้บนเบาะรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ขึ้นนั่ง ย้ายกระเป๋าที่สะพายอยู่ด้านหลังเอามากอดไว้แนบอก พร้อมกับจับที่เหล็กข้าง ๆ เบาะรถแน่น ตามองสองข้างทางพร้อมสูดอากาศเข้าปอดจนสุด ไม่ได้คุยอะไรกับคนที่อาสามาส่ง
ไม่นานเขาจอดรถให้ลงที่หน้าบ้านหลังย่อมที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ “ลงตรงหน้านี้เลยหนู แล้วเดินเข้าไปถามกับคุณน้อมนะ บอกเขาอย่างที่บอกอาเมื่อกี้นั่นแหละว่ามาหาคุณพสุธาหรือคุณพุธก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ”
อภิยายกมือไหว้อีกฝ่าย เขายิ้ม มองด้วยสายตาเอ็นดู แล้วขับรถออกจากตรงนั้นไป เธอจึงหันกลับมาที่บ้านหลังตรงหน้าอีกครั้ง
“มาหาใคร”
เสียงถามดังขึ้นมาก่อนตัวเสียอีก เธอมองหาที่มาของเสียงจนเห็นร่างผอมสูงของหญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากตัวบ้านมองนิ่งที่เธอ จึงตอบกลับไปว่า “คือ คุณลุงอรรถพลให้มาทำงานที่นี่ค่ะ”
“ฉันถามว่ามาหาใคร ไม่ได้ถามว่าใครส่งเธอมา”
อภิยายิ้ม ก่อนจะนึกในใจว่าทำไมคนตรงหน้าของเธอถึงได้ดุจัง หวังว่าเจ้าของไร่จะไม่ดุแบบนี้หรอกนะ แล้วตอบไปว่า “มาหาคุณพสุธาค่ะ”
อีกฝ่ายมองเธอนิ่ง ถามพร้อมมองด้วยสายตาสำรวจ “คุณท่านส่งเธอมาหรือ”
เข้าใจไปเองว่าคุณท่านที่อีกฝ่ายถามน่าจะเป็นคุณลุงอรรถพล จึงตอบไปสั่น ๆ ว่า “ค่ะ”
“ห้องพักคนงานอยู่ด้านหลัง”
บอกจบคนพูดหันหลังทำท่าจะเข้าบ้านไป อภิยาขยับเดินตาม พร้อมถามหญิงคนนั้น “แล้วได้ทำงานเลยไหมคะ”
“คุณท่านบอกเธอว่ายังไงล่ะ”
“คุณลุงท่านว่า ท่านบอกทางนี้ไว้ให้แล้วค่ะ”
หญิงคนนั้นหยุดเดินแล้วหันกลับมามองเธอ ก่อนมองเลยออกไปที่ด้านนอก “คุณพุธกลับมาพอดี” เธอหันไปมองตามบ้าง
พบว่าเขาลงจากรถยนต์คันใหญ่ เดินมาทางนี้แล้ว ชายคนนั้นไม่ได้สนใจจะมองที่ใคร ทำท่าจะตรงเข้าบ้าน คนที่คุยกับเธอก็รี่เข้าไปหาเขาเพื่อรายงาน “คุณพุธคะ แม่คนนี้บอกว่าคุณท่านส่งมาค่ะ”
อภิยามองไปที่คุณพุธ ลอบพินิจเขาเงียบ ๆ คนนี้เอง ลูกชายของคุณลุงอรรถพล หน้าตาไม่ค่อยคล้ายพ่อเท่าไรเลย ที่สำคัญดวงตาสีดำของเขาก็ดูออกจะดุกว่าคุณลุงอรรถพลอีกด้วย คงเพราะรูม่านตานั่นแทบจะกลืนไปกับตาดำล่ะมั้งเลยทำให้ดูดุ
เจ้าของดวงตาสีดำที่อภิยาลงความเห็นว่าดุ หันมองเธออย่างสำรวจเฉกเช่นเดียวกัน แค่เสี้ยววินาทีเขาก็เลิกสนใจ ตั้งท่าจะเดินเลยเข้าไปด้านในเสียอย่างนั้น “เอาของไปเก็บ พรุ่งนี้ค่อยไปที่ออฟฟิศ ให้ทางนั้นจัดหางานให้”