EP.01
พระจันทร์สีเหลืองนวลลอยเด่นอยู่กลางห้วงนภา สาดทอแสงกระทบเรือนทรงไทยล้านนาที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางมวลไม้น้อยใหญ่ กลายเป็นเงาทะมึนน่าเกรงขาม บริเวณโดยรอบมืดครึ้ม ม่านหมอกเส้นบางๆ ลอยควะคว้าง ขณะมวลผกายามดึกต่างส่งกลิ่นหอมขจรไกล
ท่ามกลางความมืดมิดปรากฏร่างหนึ่งยืนเคว้งคว้างอยู่กลางลานหน้าเรือน เส้นผมดำขลับปลิวสยายไปกับสายลม สายตาของเธอเหม่อมองผ่านสายหมอกเส้นบางๆ ไปยังเรือนหลังใหญ่ด้วยอาการสงสัย หากภายในความรู้สึกบางคราวกลับคุ้นตา คล้ายดั่งว่าเธอจะเคยมาที่นี่ในเวลาใดเวลาหนึ่ง
นานมาแล้ว...นานเท่าไร สุดคร้านจะคาดเดา
บัดนั้น...
กรุ่นแก้ว กลิ่นแก้วกราย หอมบ่วาย วิเวกใจ
ดุจห้วง แห่งอาลัย ว่ากลิ่นแก้ว เจ้าเรียกหา...
เสียงลำนำหวานสุดซึ้งดังแว่วมาตามสายลม เคล้ากับเสียงเครื่องดนตรีล้านนาที่คลอครวญชวนวังเวง ราวกับต้องการเชิญชวนให้นึกอยากจะไปพิสูจน์ถึงที่มาของเสียงเหล่านั้นว่าดังมาจากใคร
และที่ไหน...
ใบหน้างามหวานซึ้งครุ่นคิด คิ้วบางโก่งงามขมวดมุ่นเข้าหากัน สองหูสดับฟังบทเพลงคลอเสียงบรรเลงดนตรีระรื่นหู สรรพสำเนียงนั้นช่างคุ้นนัก สะกดให้หญิงสาวร่างบางสาวเท้าก้าวไปยังบันไดขึ้นเรือนไปอย่างช้าๆ
แสงจันทร์สีนวลสาดทอกระทบร่างงามหนึ่งให้ดูสวยสะดุดตา โดยเฉพาะชุดที่กำลังใส่ร่ายรำอยู่นั้น สะท้อนแสงจันทร์จนเกิดประกายสีเงินยวงจากชุดปีกหางพราวระยิบระยับ มันยิ่งทำให้เธอจ้องมองเหมือนมีมนต์สะกดให้ยืนนิ่งงงงัน
“ใครกันนะ” นิรัชฌาตั้งคำถามกับตัวเอง สองตาของเธอจับมองร่างนั้นด้วยใจระทึก
“เธอเป็นใครกัน แล้วเรามายืนอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วที่นี่มันที่ไหน” หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเอง ทว่าสุดท้ายคำตอบที่ควรจะได้กลับไม่มี
กลุ่มหมอกหนาลอยกรุ่นโอบอุ้มร่างงามในชุดช่างฟ้อนสะดุดตา
แม้นิรัชฌาจะบอกตัวเองว่า เพิ่งเคยเห็นชุดนี้เพียงครั้งแรก แต่ในความรู้สึกเหมือนดั่งว่าเคยเห็น เคยสัมผัสและจับต้องมาก่อน
นานมาแล้ว...นานเท่าไรก็สุดจะคาดเดาได้
ชุดนางรำที่สวมใส่นั้นงดงาม ส่วนปีกของชุดเป็นสีขาวสะอาดตาประดับด้วยแพรขนหางหลากสีคล้ายชุดรำมโนราห์ของทางภาคใต้ แต่สีไม่ฉูดฉาดเท่า ส่วนหางเป็นเพียงแค่ผ้าพื้นลายเรียบๆ วับวาวมีเสน่ห์ต้องตาผู้พบเห็น ดูงดงามนักเมื่อผู้สวมใส่อยู่ในชุดเสื้อคอตั้งป้ายปักลายสาบเสื้องดงามแขนยาวทรงกระบอกโปร่งบางรัดรูป สีแดงเพลิงเข้าส่วนกับชุดซิ่นทอสีแดงเหลือบดำ
“เข้ามาสิ”
เสียงหวานแว่วเสนาะหูดังขึ้น นิรัชฌากลับรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งร่าง เสมือนมีสิ่งหนึ่งบังคับให้เธอก้าวเดินตามเสียงเรียกนั้น
“เข้ามาสิมณีจันทร์ เข้ามาหาพี่สิเจ้านาง”
นิรัชฌางุนงงต่อชื่อนั้น หญิงงามปริศนาเรียกใครกัน เรียกเธอแล้วทำไมถึงเป็นชื่อของคนอื่นไปได้
“เอื้อย น้องมาแล้วเจ้า”
พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางเบื้องหลัง นิรัชฌาเหลียวกลับไปก็พบกับร่างหนึ่งในเงามืด เธอพยายามเพ่งมองใบหน้าในเงานั้นด้วยความอยากรู้แต่ดูเหมือนสายหมอกจะเป็นอุปสรรคสำหรับการมองเห็นของเธอ
“มาหาพี่สิมณีจันทร์ เครื่องสายเหล่านี้ยังขาดซึงของเจ้าอยู่” ร่างงามปริศนาหยุดการร่ายรำ เปิดโอกาสให้ผู้มาใหม่ได้เดินไปประจำที่ยังตั่ง
ในเวลานั้นนิรัชฌาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยที่แล่นผ่านเข้ามาในหัวอก ร่างงามระหงของผู้มาใหม่เดินแทรกผ่านร่างกายของเธอไปอย่างรวดเร็วก่อนจะไปนั่งลงบนตั่ง หล่อนกรีดนิ้วบรรเลงเป็นเสียงเพลงล้านนาโหมโรงนำเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ
หากในเวลานั้นนิรัชฌากลับรู้สึกวูบเมื่อร่างของเธอถูกบางสิ่งแทรกผ่าน ทำให้รู้สึกปั่นป่วนภายในช่องท้อง จนแทบอยากจะอาเจียนออกมา
...อาทิตย์ ลาลับ ขุนเขา นงเยาว์ เร่งฟ้อน ร่อนถลา
ปีกแก้ว ดั่งเทพ อัปสรา มยุรา จากป่า หิมพานต์...
...นวลน้อง ร่ำร้อง เล่นคีตา วีรยา เร่งรำ ตามทำนอง...
เสียงหวานแว่วดังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงดนตรีที่ขับคลออย่างไพเราะเสนาะหู นิรัชฌาซาบซึ้งต่อเสียงและภาพสวยตรงหน้า เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นภายในหัวใจ
เนิ่นนาน นานเกินกว่าที่หญิงสาวจะคิดว่าตัวเองจะยืนอยู่ตรงจุดนั้นได้ พลันก็ก่อเกิดสายลมยามดึกพัดหวนเข้ามา จนทำให้บริเวณนั้นฟุ้งตลบไปด้วยฝุ่นผง หญิงสาวยกมือขึ้นปิดป้องหน้าตาตนเอง
“เห่อ เห่อ เห่อ”
ท่ามกลางลมพายุที่พัดแรง ก่อเกิดเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น เสียงแหลมเล็กนั้นดังบาดใจ นิรัชฌาถึงกับตระหนก หญิงสาวหันมองโดยรอบก็พลันแปลกใจเมื่อร่างงามปริศนาเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว พวกเธอหายไปไหนกัน ก่อนจะเริ่มนึกหวั่นใจ นอกจากเธอแล้วพวกเขาหายไปไหน ยิ่งบรรยากาศแบบนี้เข้าแล้วมันยิ่งทำให้เธอกลั่นกรองความกลัวออกมามากกว่าเดิม
“เห่อ เห่อ เห่อ”
เสียงหัวเราะเยือกเย็นนั้นยังดังต่อเนื่องพร้อมๆ กับลมที่ยังคงความแรงไว้ตามเดิม นิรัชฌากลั้นใจพยายามเดินหาทางกลับลงจากเรือนหลังนั้นในทันที
หมู่แมกไม้ในเงามืดต่างพัดลู่ตามแรงลม เงาของมันคล้ายหมู่ปีศาจจากขุมนรกอเวจีที่ต่างออกมาร่ายรำร้องเรียกให้หญิงสาวเข้าไปร่วมวงด้วย นิรัชฌาเริ่มหวาดผวากับการที่อยู่คนเดียวภายในบรรยากาศที่มืดสลัวปนวังเวงเช่นนี้ เมื่อเท้าเหยียบถึงพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่มก็รู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วร่างกาย สองหูของเธอดังอื้ออึงไปด้วยเสียงลมที่พัดแรง
ในเวลานั้นได้มีสิ่งหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว ความแปลกใจปนกับอาการอยากรู้จึงทำให้หญิงสาวก้าวเท้าเดินตามร่างนั้นไป
“ใคร ใครกันนะ”
เสียงหวานแว่วดังแข่งกับลมพายุ
“เธอ เธอรอฉันด้วย”
"เจ้า เจ้านาง น้องปิ๊กมาแล้ว น้องกลับมาหาพี่แล้ว ปิ๊กมาก่า ปิ๊กมาหาเอื้อยก่า”
เสียงเย็นยะเยือกดังแทรกขึ้นพร้อมกับกิ่งลำไยสั่นไหว หญิงสาวหันขวับไปทางนั้น ไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่ากับกิ่งลำไยที่ยังไหวอยู่น้อยๆ ไม่มีใครเลยสักคน แล้วเสียงนั้นมันดังมาจากไหนกัน
“ใคร เธอเป็นใครน่ะ”
เสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นเครือเมื่อความกลัวก่อตัวขึ้นภายในจิตใจ ความเงียบ อารมณ์อ้างว้างต่อให้อยู่กันเป็นหมู่คณะก็คงมีการขนพองกันบ้าง
“มณีจันทร์เจ้ากลับมาแล้ว มาก่า เอื้อยรอเจ้าอยู่ ปิ๊กมาหาเอื้อย ปิ๊กมา ปิ๊กมาก่าเจ้านาง”
ลมเริ่มพัดแรงขึ้นไปอีก ขณะที่เสียงร้องครวญครางนั้นยิ่งดังอย่างต่อเนื่อง ผสมโรงกับเสียงเห่าหอนที่โหยหวนชวนวังเวง
โครม
“ว้าย ย ย”