ตอนที่ 1.

1675 คำ
ตอนที่ 1. “เชิญทางนี้ค่ะ มาเลือกดูเลือกชมภาพวาดสื่อความงาม สื่อชีวิต กันได้ค่ะ สนใจภาพไหนสอบถามได้นะคะ! ” เจ้าของเสียงเชิญชวนเป็นหญิงสาวร่างเล็กในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีดำ ปักลวดลายดอกไม้เล็กๆกระจุ๋มกระจิ๋มตามชายกระโปรง สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวมีสายเล็กๆผูกเป็นโบว์ตรงไหล่ เผยให้เห็นต้นคอขาวผ่องและแผ่นหลังนวล ผมยาวดำสนิทเกล้าเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย เสียบปิ่นปักผมทำมาจากไม้ตรงปลายมีแผ่นโลหะสีเงินรูปผีเสื้อ ห้อยสายลูกปัดแก้วหลากสี วงหน้ารูปไข่แต่งแต้มเครื่องสำอางบางเบา ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูระเรื่อ ดวงตากลมโตมีขนตางอนหนา ทอประกายสดใส ยามลูกค้าหยิบรูปวาดขึ้นมาดู คนขายจะบรรยายความหมายของภาพนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อลูกค้าตกลงซื้อเธอจะจบการขายอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องต่อรองราคาให้ลำบากใจทั้งสองฝ่าย จัดแจงเอากระดาษหนังสือพิมพ์ห่อรูปแล้วใส่ถุงให้ลูกค้าทันที มุมหนึ่งของร้านก๋วยเตี๋ยวที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวผิวขาวจัดนั่งอยู่ใกล้ทางเดิน มีกล้องถ่ายรูปซึ่งเป็นอุปกรณ์คู่กายวางไว้บนโต๊ะ ใบหน้าคมคายหล่อเหลาของเขา สะดุดสายตาของผู้พบเห็นโดยเฉพาะหญิงสาว เขาสวมกางเกงยีนส์สีซีดบริเวณหัวเข่าขาดแหว่งโหว่ ยามที่เจ้าของขยับขาไปมาหัวเข่าจะแพลมลอดรอยขาดนั้นออกมาเป็นระยะ เสื้อเชิ๊ตสีฟ้าถูกพับแขนรั้งจนเลยข้อศอกอย่างลวกๆ คนสวมกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับชามก๋วยเตี๋ยวตรงหน้า เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพรายตามหน้าผากและไรผมสีน้ำตาลเข้ม ที่ถูกมัดรั้งไว้ตรงท้ายทอย มองเห็นไฝเม็ดเล็กบริเวณต้นคอชัดเจน เสียงแจ้วๆแว่วเข้าหูมา ทำให้เขาเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยว หันไปมองต้นเสียงซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น บริเวณที่หญิงสาวแสดงผลงานของตนเองนั้น เรียกว่า“ถนนคนเดิน” อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นจุดที่รวมผลงานประเภทเดียวกันวางเรียงรายตลอดทาง จิตรกรต่างนำงานศิลปะของตนมาจัดแสดง ให้ผู้คนได้ชื่นชม รวมทั้งขายพร้อมกันไปด้วย บางคนรับจ้างวาดภาพเหมือนหรือภาพล้อเลียนกันสดๆ มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมามุงดูอยู่โดยรอบ ส่วนใหญ่มักเลือกจัดแสดงบนพื้นถนน ตลอดเส้นทางสายนี้ มีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของใช้ของที่ระลึกพื้นเมือง ตลอดจนของทำมือ ช่างภาพหนุ่มลุกขึ้นยืน ล้วงกระเป๋ากางเกงวางเงินค่าก๋วยเตี๋ยว ก่อนจะคว้ากล้องคู่กายจัดการถ่ายรูปน่าประทับใจนั้น แสงแฟลชสว่างวาบเป็นระยะ นางแบบจำเป็นเริ่มรู้สึกตัว ใบหน้าหวานๆเมื่อครู่บึ้งขึ้น ร่างเล็กๆเดินตรงรี่มายังคนถ่าย เอาฝ่ามือปิดหน้ากล้องพร้อมกับแหวเข้าใส่ “อ่านป้ายไม่ออกหรือไงว่าห้ามถ่าย โนโฟโต้เข้าใจมั้ย!” เสียงใสเปลี่ยนมาแหลมขึ้น ตาโตๆจ้องเจ้าของกล้องราวกับนางเสือ ช่างภาพหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากเลนส์กล้อง เขายิ้มกวนๆพร้อมกับยักคิ้ว ดวงตาคมวาวจ้องคนขี้โมโหด้วยแววตากระจ่างใส “นาย...” เจ้าหล่อนชี้นิ้วค้าง หัวใจดวงน้อยเต้นรัวแรง เมื่อมองเห็นหน้าอีกฝ่ายเต็มๆตา บานประตูห้องทำงานเปิดกว้างขึ้น พร้อมกับร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้ามายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ทำให้เจ้าของห้อง ที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตา อยู่กับแฟ้มเอกสารเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ “คุณเมฆ...”  ชายสูงวัยมองชายหนุ่มลูกชายของนายจ้างด้วยแววตาชื่นชม ฆนากร มีรูปร่างสง่างามไม่ต่างกับนายสุริยะผู้เป็นบิดาในวัยหนุ่ม ดวงตาเรียวใหญ่คมกริบบ่งบอกถึงความฉลาด หากเจ้าตัวจะลดความแข็งกร้าวในแววตาลงสักนิด คงน่ามองไม่น้อย จมูกโด่งงามเป็นสัน บนริมฝีปากบางที่ถอดมาจากมารดา... ขจรเกียรติไม่เคยลืม รอยยิ้มของคุณผู้หญิงผู้แสนจะนุ่มนวล อ่อนโยนคนนั้น ทว่าผู้เป็นลูกชายดูเหมือนจะไม่ได้รับคุณสมบัติข้อนี้มาแม้แต่น้อย “คุณพ่อล่ะ ลุงจร” “นายท่านเดินทางไปพักผ่อนต่างจังหวัดครับ คุณเมฆ...” ชายสูงวัยตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ไปพักผ่อน ฮึ... ” คนพูดเหยียดปาก ดวงตาสีเข้มกระยับไหว ขณะเอ่ยประโยคต่อมา “ไปมั่วกับสาวๆ อีกสิท่า” “ไม่ทราบครับ...” ขจรเกียรติตอบคำถามด้วยประโยคเดิมๆ เหมือนทุกครั้งที่ถูกถาม “จงรักภักดีกันจริงนะ” ฆนากร กระแทกเสียง ปรายตามองหน้ายับย่นของผู้ช่วยของบิดาด้วยสายตากึ่งรำคาญ กึ่งเห็นใจ ขจรเกียรติหรือ ลุงจร ที่เขาเรียกขานจนติดปากทำหน้าที่ ทนายประจำตระกูล เป็นกึ่งลูกจ้างกึ่งญาติสนิทของครอบครัว ด้านความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อนายจ้างนั้น แทบจะมอบโล่ให้ ต่อให้เอามีดมาจี้คอ เอาปืนมาจ่อหัว แน่ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ความลับไม่มีวันหลุดออกมาจากปากคนๆนี้เป็นอันขาด “คุณพ่อบอกลุงจรหรือเปล่า ว่าจะกลับเมื่อไหร่” ชายหนุ่มผ่อนคลายสีหน้าเคร่งลง น้ำเสียงพลอยนุ่มนวลขึ้น ชายชราส่ายหน้า “ไม่ได้บอกไว้ครับ บอกแค่ว่าอาจไปนาน” คำตอบนั้นทำให้ คนฟังถอนหายใจยาว ริมฝีปากหยักโค้งเจือสีแดงเบ้เล็กน้อย ดวงตาฉายแววเหนื่อยหน่ายออกมา ร่างสูงสง่าหมุนกายหันหลังให้ “แบบนี้ทุกที ขนาดหมอบอกว่าสุขภาพไม่ค่อยดี ยังไม่วาย” เขาบ่นบิดาเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กเล็กๆ ขจรเกียรติยิ้มอย่างเข้าใจ นายน้อยของเขาคงเป็นห่วงนายท่าน แต่ยักท่าตีหน้าขรึมเหมือนไม่ใส่ใจ สองพ่อลูกมีนิสัยและความคิดอ่านคล้ายกัน แต่คนเป็นลูกดูจะเลือดร้อนกว่าตามวัย ไม่ต่างกับคนเป็นพ่อในวัยหนุ่ม รายนั้นเลือดเดือดกล้าลุยกล้าเสี่ยง ยามนี้คนเป็นลูกเดินตามรอยพ่อไม่ผิดเพี้ยน อาณาจักรธุรกิจของผู้เป็นนายยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน จากอดีตไกด์นำเที่ยว สุริยะพัฒนาตัวเองสู่เจ้าของบริษัททัวร์ ก่อนจะมาจับธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท รวมถึงกิจการด้านส่งออกอีกด้าน เมื่อธุรกิจทั้งหลายตกมาอยู่ในมือของคนรุ่นลูก ยิ่งไปได้สวย ร่วมสามสิบปีที่เขาทำงานให้บิดาของชายหนุ่ม รับรู้มองเห็นความเป็นไปในชีวิตของนายจ้างมาตลอด รวมถึงได้มีโอกาสสั่งสอนการทำงานให้ผู้เป็นลูก ไม่ต่างจากสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว บัดนี้เขี้ยวเล็บทางธุรกิจของอีกฝ่ายแหลมคม จนหยัดยืนได้ด้วยตัวเอง พลอยให้คนที่เฝ้ามองรู้สึกชื่นชมไปด้วย “ผมจะไปดูงานที่รีสอร์ท ถ้าคุณพ่อกลับมา บอกด้วยว่าผมแวะมา” ชายหนุ่มพูดจบก็เดินออกไป ขจรเกียรติถอนหายใจพรู โล่งใจที่อีกฝ่ายไม่ติดใจถามไถ่มากกว่านี้ เขาเองไม่ถนัดการพูดโกหกนัก ขืนถูกซักมากเข้าอาจหลุดปากบอกอะไรไปหมดเป็นแน่ ผู้ช่วยชราหยิบโทรศัพท์มากดโทร “นายครับ คุณเมฆเพิ่งมาหาผมเมื่อครู่” “บอกอย่างที่สั่งหรือเปล่า” ปลายสายถามเสียงเรียบ “ครับ” “ขอเวลาอีกสักอาทิตย์นะ ดูแลงานให้ด้วย แค่นี้ก่อนนะ” ขจรเกียรติถอนหายใจอีกเฮือก ส่ายหน้าอย่างระอาใจ พอกันทั้งพ่อทั้งลูก คนหนึ่งชอบทำอะไรตามใจตัวเองตั้งแต่หนุ่มจนแก่ยังไม่เลิกนิสัยนี้ อีกคนจริงจังระเบียบจัด ไม่ปล่อยตัวเองให้หลุดจากกรอบ ที่เหมือนกันคงจะเป็นอารมณ์รุนแรงราวพายุ ที่พร้อมจะพัดเข้าใส่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชายามไม่ได้ดั่งใจ ลูกจ้างอย่างเขาเคยชินกับนิสัยนี้ของนายจ้างทั้งสองมานานวัน จนไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอีกต่อไป ชายชราวางโทรศัพท์ลง ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตนต่อ เรื่องของนาย... ลูกจ้างอย่างเขาไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย... “วินท์... วินท์... มาได้ไงเนี่ย!”    จิตรกรสาวชี้หน้าชายหนุ่ม มือไม้สั่น แล้วกระโดดตัวลอยกอดคอหมับทันที นภวินท์ยิ้มกว้างตบไหล่บางนั้นสองสามแปะ เชิงทักทาย “ปล่อยได้แล้วยายปลาย อายคน” เขาว่าพลางปลดแขนกลมกลึงนั้นออกจากคอ ก่อนหันมาสำรวจกล้องคู่ใจ “มือเปื้อนสีหรือเปล่า เอามาถูกเลนส์กล้องลายหมดแล้วมั้ง” ท่าทางทะนุถนอมราวกับเลือดเนื้อเชื้อไขนั้น เรียกความหมั่นไส้จากปลายรุ้ง จนอดไม่ไหวเลยแกล้งดีดข้างกล้องแปะหนึ่ง “นี่แหนะ! เอาอีกสักทีพ่อแกจะได้ขาดใจตาย”  “โหย... เล่นแรงเลยนะ ลูกฉันช้ำในตายกันพอดี” เจ้าของดึงกล้องคู่ใจหนี ทำตาดุๆใส่คนทำ ปลายรุ้ง หัวเราะคิก ตบไหล่หนาแรงๆ ทีหนึ่ง เอ่ยถามออกมาว่า “มาทำอะไรที่นี่” นภวินท์หันมามองหน้าคนถามตรงๆ “ฉันมาทำงาน แล้วเธอล่ะ มาทำอะไรอยู่นี่” เขาตอบพร้อมย้อนถาม ปลายรุ้งยิ้มกว้างเดินไปหยุดตรงหน้า ภาพวาดที่เรียงราย พร้อมกับผายมือ “ฉันมาตั้งแกลลอรี่ แสดงผลงานของฉันไงล่ะ” “แกลลอรี่ข้างถนนนี่นะ!” “ก็งั้นซี...” จิตรกรสาวยักไหล่ นภวินท์เลิกคิ้วสูง กวาดสายตามองภาพรวมของสถานที่รอบๆกายปลายรุ้ง แล้วเดินไปชะโงกหน้าดูผลงานของเพื่อนสาว ภาพวาดสีน้ำมันหลากหลายสไตล์วางเต็มพื้น สายตามองเลยไปยังผลงานศิลปะแบบเดียวกันของจิตรกรคนอื่น ที่วางเรียงรายอยู่ข้างๆ สภาพแบบนี้หรือที่เรียกว่าการแสดงผลงาน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม