ขันทีอาวุโสฟังแล้วก็ตกใจแทบสิ้นสติ หากแต่เพียงเจอรอยยิ้มหวานสะท้านทรวงเข้าไปก็ราวกับเขาหลงลืมทุกสิ่งไปจนสิ้น เร่งรีบเชื้อเชิญแล้วเดินนำหน้าไปยังตำหนักจินหลงทันควัน อี้หลานฮวามองโดยรอบด้วยสายตาสำรวจเงียบงัน กิริยาการเดินที่สง่างาม แผ่นหลังเหยียดตั้งตรง จังหวะการก้าวเดินที่สม่ำเสมอ บอกได้เป็นอย่างดีว่าเด็กสาวผู้นี้มาจากสกุลใหญ่และเข้มงวดมากเป็นแน่
“พระชายาอี้ เชิญด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ” เหวินกงกง พานางกับจื่อชิงเดินลัดเลาะไปตามทางเดินที่ยิ่งเดินก็ยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ว่าจะเป็นการตบแต่งด้วยต้นไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายชนิด ทางเดินก็โรยด้วยหินอย่างดี ผิดกันไกลราวกับอยู่ต่างแคว้นกับตำหนักของฮองเฮา เด็กสาวจึงคิดอย่างเงียบงันว่าหากต่อไปนางสนับสนุนหยวนเยี่ยเจาเป็นไท่จื่อไปจนถึงฮ่องเต้ สภาพนางจะต่างกับฮองเฮาหรือไม่
ความรักนั้นมีวันจืดจาง แต่ความลำบากนางมองเห็นอยู่เบื้องหน้า คนโง่เท่านั้นที่จะดึงดันเผชิญหน้ากับความลำบากโดยไม่สนใต้หล้า ทบทวนดวงใจของตนเองอย่างเงียบๆ ถามตนเองอยู่หลายรอบ นางรักหยวนเยี่ยเจามากถึงเพียงนั้นหรือไม่ แล้วคำตอบก็ดังก้องว่านางมิได้รักเขามากถึงปานนั้น นางรักตนเองมากกว่า
...หรือที่แท้แล้วนางไม่เคยรักบุรุษเช่นหยวนเยี่ยเจาเลยกันนะ?...
มันหลายครั้งที่เด็กสาวถามตนเอง แต่กลับตอบตนเองไม่ได้ เพราะนับจากจำความได้ นางก็ถูกปลูกฝังสั่งสอนว่าตนเองมีคู่หมั้นนามว่าหยวนเยี่ยเจา นางเติบโตยามใดก็ต้องแต่งงานกับเขาเท่านั้น ตลอดมานางจึงไม่เคยมองบุรุษอื่นใดอีก นางมองแต่เพียงเขาผู้เดียว และคิดว่าตนเองรักเขา แต่ในยามที่ตนเองได้ทราบว่าเขาหลอกลวงนางแอบตบแต่งสตรีอื่นก่อนนางไม่พอ เขายังหลบหน้านางไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับพระชายารองหลิง แล้วปล่อยทอดทิ้งให้นางนอนกอดแต่เพียงหนังสือสมรส
ความเจ็บปวดกลับไม่บังเกิด ที่นางมีนั้นคือความแค้นใจ โกรธจนอยากเอามีดเสียบกลางอกของหยวนเยี่ยเจาให้ตายคามือตนเอง ให้สมกับที่เขาหยามหมิ่นน้ำใจและเกียรติของสกุลอี้และตนเอง ความรักมันคือสิ่งใด และหากนางรักคนผู้หนึ่งมันจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ เด็กสาวตอบตนเองไม่ได้เลย
“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรเฉิงกุ้ยเฟยเพคะ”
เมื่อได้ก้าวเข้ามายืนภายในห้องโถงกว้างขวางโอ่อ่าแล้ว เด็กสาวก็ยิ่งสะท้อนใจ ชีวิตในวังหลวงนี้ช่างจอมปลอมสิ้นดี อย่างเช่น สตรีอย่างเฉิงกุ้ยเฟยที่ปั้นหน้ายิ้มแย้ม ต่างจากวันที่นางพบยังตำหนักขององค์ชายใหญ่ ฝ่ายฮ่องเต้ก็เช่นกัน แต่ดวงตาคนเรามันยากนักจะปิดบังความคิดและจิตใจภายในไปได้
...สวมหน้ากาก...
อี้หลานฮวามองสองคนตรงหน้าออกเพียงเท่านั้น แล้วในเมื่ออีกฝ่ายสวมหน้ากากมา นางย่อมสวมคืนกลับไปแสดงงิ้วเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาด่าคนไม่เป็น แต่ทราบทุกสิ่งว่าอีกฝ่ายไร้ความจริงใจ
“หลานฮวาอกตัญญูยิ่งนัก แต่งงานมาถึงสิบแปดวันกลับมิอาจนำพาองค์ชายใหญ่มายกน้ำชาให้ฝ่าบาทและเฉิงกุ้ยเฟยได้ ความผิดนี้หลานฮวาละอายใจอย่างยิ่งเพคะ”
ฮ่องเต้กลับเฉิงกุ้ยเฟยถึงกับอึกอักกล่าวคำใดไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ เมื่อเจอเด็กสาวตรงหน้ากล่าววาจาสุภาพหากแต่กระชากใบหน้า หรือแทบจะเรียกได้ว่าเด็กสาวเปล่งวาจาออกมาเพียงเท่านี้ ผมหงอกบนศีรษะของพวกตนเกรงว่าจะถูกถอนจนโล่งเตียนเพียงไม่กี่ประโยคเมื่อครู่
“วันนี้จึงต้องเสียมารยาทมายกน้ำชาแต่เพียงลำพัง ขอฝ่าบาทและเฉิงกุ้ยเฟยทรงเมตตาอย่าถือโทษหลานฮวาเลยนะเพคะ”
เด็กสาวทรุดกายลงคุกเข่าพลางยกถ้วยน้ำชาให้กับทั้งสองด้วยกิริยาก้มใบหน้าต่ำ เพียงครู่หยาดน้ำตาก็หยดลงบนหลังมือให้นางกำนัลและขันทีได้แลเห็นกันถ้วนหน้า เล่นงิ้วบทโศกศัลย์ได้ยอดเยี่ยมกว่านางเอกเสียอีก ซึ่งกิริยาเช่นนี้คงได้เล่าลือกันไปทั่วมหานครฉิงสุ่ยไม่เกินภายในสามวันเจ็ดวันนี้เป็นแน่ ว่าองค์ชายใหญ่และฮ่องเต้ช่างอำมหิตยิ่งนักที่ปล่อยให้พระชายาอี้มายกน้ำชาแต่เพียงผู้เดียวอย่างที่ในหลายชั่วอายุคนไม่เคยบังเกิดมาก่อน
...หึ!!!...
เรื่องการแพทย์นางนั้นนับว่าไม่เป็นรองบุรุษ ส่วนเรื่องวางยาพิษสังหารคนอี้หลานฮวาผู้นี้ยิ่งไม่ธรรมดา เพราะการวางยาพิษนั้นมิใช่เพียงแค่นำยาพิษโดยตรงมาให้ฝ่ายศัตรูดื่มหรือกิน แต่การแสดงว่าตนเองถูกรังแกจนน่าสงสารก็คือยาพิษชนิดหนึ่งที่ทำร้ายและทำลายอีกฝ่ายให้เสียชื่อเสียเสียง ถูกบั่นบอนความน่าเชื่อถือ เช่นนี้ย่อมร้ายแรงกว่าสังหารกันให้สิ้นลมลงทันทีเสียอีก
“ฝ่าบาท น้ำชาเพคะ” ถ้วยน้ำชาถูกยกไปตรงหน้าผู้เป็นฮ่องเต้พร้อมกับที่ใบหน้างดงามเงยขึ้นมาแล้วเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ในตำหนักนี้มีขันทีและนางกำนัลไม่น้อย และทุกผู้ย่อมทราบดีว่าอันใดเป็นอันใด ดังนั้นอี้หลานฮวาเด็กสาวที่ดูใสซื่อบอบบางและไร้เดียงสาราวดอกกล้วยไม้ป่าแสนบริสุทธิ์ที่ถูกรังแก ด้วยองค์ฮ่องเต้ องค์ชายใหญ่ รวมถึงเฉิงกุ้ยเฟยบดบี้ขยี้กลีบดอกอันบอบบางให้แหลกยับลงด้วยความเป็นใหญ่กว่า
“เฉิงกุ้ยเฟยน้ำชาเพคะ” น้ำตายิ่งไหลพรั่งพรูราวกับสายฝน ใบหน้าเพียงฝ่ามือกางปิดยังมิดนั้นแดงก่ำจนถึงลำคอ ดวงตาชอกช้ำ ช่างเป็นการยกน้ำชาที่โศกาอาดูรที่สุดในแผ่นดินแล้วกระมัง ก็นะ...
...ช่วยไม่ได้ นางกำลังจะจากไปด้วยดีแล้ว แต่ฮ่องเต้กับเฉิงกุ้ยเฟยต้องการเช่นนี้กันเอง นางย่อมมอบให้ด้วยใจจริง!...
“เอ่อ...” ฮ่องเต้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินต้าหยวนแห่งนี้ถึงกับจุกในอกกล่าวอันใดไม่ออกสักคำ หากว่าเด็กสาวโวยวาย หรือคนสกุลอี้มาร้องเรียนกล่าวโทษที่เขาปล่อยให้หยวนเยี่ยเจาทอดทิ้งหลานสาวและบุตรสาวคนเดียวของพวกเขา ยังรับมือง่ายเสียกว่าการที่อีกฝ่ายนั้นเงียบงัน
แม้แต่เด็กสาวที่เป็น ‘สะใภ้เอก’ นั้น นางไม่เคยสอบถามหรือต่อว่าต่อขานออกมาแม้เพียงครึ่งคำ นางแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าตนเองพยายามอย่างถึงที่สุด เฝ้ารอพระสวามีถึงสิบแปดวัน หากแต่หยวนเยี่ยเจากลับไม่มีแม้เพียงเงา นางจึงต้องบากบั่นมายกน้ำชาตามราชประเพณีดั้งเดิมเพียงลำพัง
นางไม่ต้องเอ่ยวาจาใด ก็กระชากเขากับราชวงศ์หยวนลงมาตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ประชาชนชาวต้าหยวนได้ดูชม โดยที่เพียงเศษเสี้ยวธุลีเขาก็เอาผิดอันใดกับเด็กสาวและสกุลอี้ของนางไม่ได้เลย ซึ่งหากฮ่องเต้กับเฉิงกุ้ยเฟยจะมากปัญญากว่านี้สักนิดคงเฉลียวใจบ้างแล้ว หากแต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่คาดคิดว่าฝ่ายสกุลอี้กับเด็กสาวหน้าซื่อตาใสตรงหน้าจะมาเหนือชั้นกว่าเช่นนี้จึงตั้งรับไม่ทัน
“หลานฮวาผิดยิ่งนัก ขอฝ่าบาทประทานโทษเถิดเพคะ”
เด็กสาวที่ใบหน้าเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาที่หยาดหยดพรั่งพรูออกมาโดยไร้เสียงสะอึกสะอื้นน่ารำคาญ ทว่าช่างน่าสงสารและบีบคั้นจนฮ่องเต้ยังต้องหันหน้าหนี ไม่กล้าจะมองเด็กสาวตรงหน้าโดยตรง
“ประทานโทษอันใดกันเล่าหลานฮวา?” ไม่น่าเชื่อว่าบุรุษเช่นฮ่องเต้จะกระโดดลง ‘หลุม’ ที่อี้หลานฮวาขุดหลอกล่อเอาไว้ง่ายดายถึงเพียงนี้ แต่ก็สาแก่ใจของเด็กสาวยิ่งนัก รังแกนางไม่พอ สามวันนางมิอาจกลับจวนได้เพียงเพราะพระสวามีไม่อยู่ มันฉีกหน้าสกุลอี้ของนางเพียงใด วันนี้นางจะ ‘กระชาก’ หนังหน้าเหี่ยวย่นของฮ่องเต้และสกุลหยวนคืนกลับไปให้เจ็บปวดยิ่งกว่า!
“ก็ประทานโทษความผิดที่ในราตรีเข้าหอหลานฮวาคงดีไม่พอ องค์ชายใหญ่จึงยากจะทนร่วมห้องหอกับหม่อมฉันได้ จนต้องเร่งพาพระชายารองหลิงหลบหนีไปต่างเมือง แม้จนป่านนี้สิบแปดวันองค์ชายใหญ่ก็ไร้วี่แววว่าจะกลับมายังตำหนักแห่งนี้อีก หากมิใช่เพราะหลานฮวาผิดยิ่งนัก องค์ชายใหญ่จะจากไปไกลจนถึงแคว้นเหล่ยได้เช่นไรกันเล่าเพคะ?”
ทุกคำพูดดังฉะฉานไร้ร่องรอยสะอึกสะอื้น แต่น้ำตายังพรั่งพรูราวสายฝนห่าใหญ่ แต่อันใดก็ไม่ทำให้องค์ฮ่องเต้แทบพลัดตกเก้าอี้ได้เท่ากับความจริงทั้งหลายที่เด็กสาวกล่าวออกมา เขาคิดว่าตนเองซุกซ่อนดีแล้ว ให้บุตรชาย ‘จัดการ’ ทุกสิ่งจนเรียบร้อยแล้ว แต่มิคาดเพียงสิบแปดวันเด็กสาวตรงหน้ากลับนำความจริงอันชวนขายหน้าไปถึงบรรพบุรุษสกุลหยวนมาตบหน้ากันเช่นนี้
...แล้วเจ้าลูกโง่ของเขามันทำเช่นไรความลับจึงแตกมาประจานเขาได้เช่นนี้?!...
มังกรเฒ่าหน้าตาแดงก่ำ ฝ่ายเฉิงกุ้ยเฟยก็พลันหน้าซีดเรียวปากสั่นระริก โดยมิได้เสแสร้งเช่นเช้าวันนั้น สุดท้ายยิ่งคิดว่าสกุลอี้มิใช่ธรรมดาเพียงใด นางก็ถึงกับเป็นลมพลัดตกเก้าอี้ไปจริงจังจนความโกลาหลบังเกิด เสียงร้องเรียกหาหมอหลวง เสียงฮ่องเต้เรียกหาคนสนิท และอี้หลานฮวาก็ถอยออกมายืนมองอย่างสมเพชสองชายและหญิงที่บังอาจมารังแกนางกับสกุลอี้ด้วยความสาแก่ใจภายใต้ใบหน้าซึ่งยังเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา
...หึ!!!...
กระทำนางเจ็บหนึ่งรอยแผลนางย่อมคืนสนองไปเป็นพันเท่า ก็กล่าวแล้วว่านางมิใช่คนดี หากเปรียบว่าบัดนี้คือการแสดงงิ้ว บทของนางคือตัวนางร้ายที่อำมหิตโหดเหี้ยมมิธรรมดาจนคนทั่วโรงงิ้วแทบอยากกระชากจากเวทีการแสดงลงไปตบหน้าด้วยรองเท้าเลยทีเดียว!!!
...แปะ...แปะ...แปะ...
พอนางถวายพระพรลากลับจากตำหนักจินหลง โดยคราวนี้ไร้แม้เงาขันทีสักคนเดียวเดินมาส่ง เพราะกำลังวุ่นวายกับอาการเป็นลมตกเก้าอี้จนใบหน้าของเฉิงกุ้ยเฟยฟาดลงกับพื้นหน้าผากแตก ฮ่องเต้เองก็ตกใจจนบังเกิดอาการแน่นหน้าอกคาดว่าคงมีโรคประจำกายกำเริบ
อี้หลานฮวากับจื่อชิงจึงเดินลัดเลาะสวนสวยงามเพื่อผ่อนคลายอีกนิดจึงคิดกลับสกุลอี้ มิคาดจะมีเพียงตบมือดังมาให้ได้ยินจากศาลาริมบึงดอกบัวขนาดใหญ่ พอเด็กสาวหันไปมองจึงสบเข้ากับบุรุษวัยคงราวยี่สิบปีได้ ใบหน้าของเขาขาวเนียนราวเนื้อหยก ดวงตาสีดำสนิทนั้นฉายแววขบขันออกมาให้นางเห็นวูบหนึ่ง ภายในมือเขาถือพัดกระดาษสีดำและมีลวดลายสีทองอร่ามวาดเอาไว้เป็นรูปนกกระเรียนกำลังโดยบิน
อาภรณ์สีขาวเรียบง่ายตัดกันกับเส้นผมสีดำสนิท และดวงตาคมกริบคู่นั้นบ่งบอกแก่อี้หลานฮวาคาดเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด โดยเฉพาะไฝหนึ่งเม็ดที่ตรงปลายจมูก ถึงนางไม่เคยพบตัวจริงแต่ภาพวาดของคนในราชวงศ์เด็กสาวย่อมเคยเห็นมาบ้าง
“อี้หลานฮวาถวายพระพรองค์ชายเจ็ดเพคะ”
เรียวปากสีแดงระเรื่อแต่ก็มีความงดงามเฉกเช่นบุรุษผู้แกร่งกล้ายกมุมด้านซ้ายขึ้นมาเล็กน้อย แววตาสีดำสนิทนั้นไหวระริกเล็กน้อยราวกับสายธาราในยามราตรีที่ถูกสายลมพัดพาจนมันกระเพื่อมไหวก็มิปาน
“มิกล้า...มิกล้า...พระชายาอี้ช่างมากบารมี ข้าผู้น้อยเห็นทีจะมิกล้ารับการคารวะนี้ไปได้หึ...หึ...หึ...”
...เป็นเขาจริงเสียด้วย...หยวนลี่หยาง องค์ชายเจ็ด บุตรชายเพียงคนเดียวของเพ่ยฮองเฮากับฮ่องเต้ที่สามารถรักษาชีวิตมาจนเติบใหญ่ใกล้วัยยี่สิบเต็มทน...