“แล้วแบบนี้น้องสาวจะพึ่งพาพี่ชายได้หรือเปล่าเนี้ย” ข้าวหอมเบ้ปากนิดๆ ล้อพี่ชายตัวเอง เธอเองก็รู้ว่าพี่ชายแอบชอบเพื่อนสนิทของตัวเองอยู่ ถ้าเป็นณิชาละก็... เธอเชียร์สุดแรงอยู่แล้ว
“พี่เป็นพี่ก็ต้องพึ่งได้อยู่แล้วซิ” พูดตอบน้องแต่ตามองเพื่อนของน้องสาวเสียอย่างนั้น
ณิชากลอกตาไปมาทำเหมือนไม่เข้าใจความหมาย ทั้งสามเดินลากรถเข็นกลับมาที่บ้านของข้าวหอม แล้วคนหนุ่มร่างใหญ่ก็อาสายกลังใส่ของเข้าไปเก็บในบ้านเอง
“หิวไหม พี่อยากกินก๋วยจั๊บโต้รุ่ง ไม่กินหลายเดือนแล้ว อร่อยเหมือนเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ไปๆ ข้าวหอมก็อยากกิน เตยไปกินกันนะ วันนี้มีเจ้ามื้อ”
“ใครบอกจะเลี้ยง”
“พี่ชาย พี่ชายใจดีต้องเลี้ยงน้องสาวซิคะ” ข้าวหอมทำเสียงอ้อนแต่ถูกร่มโพธิ์ใช้นิ้วดีดหน้าผากไปเบาๆ
“ตัวเองขายของมีตังค์ เลี้ยงพี่บ้างซิ”
“พี่โพธิ์ทำงานมีเงินเดือน สมควรเลี้ยงน้องนะ”
“เกี่ยงกันอยู่นั้นแหละ หารกันก็ได้ เตยเริ่มหิวแล้วนะ” เป็นณิชาที่ออกตัวเป็นกรรมการ จริงๆเธอไม่หิวเท่าไหร่หรอก แต่อยากให้ร่มโพธิ์ได้กินอะไรมากกว่า
ร่มโพธิ์พยักหน้ารับแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถของพ่อมาพาสาวๆ ไปร้านก๋วยจั๊บร้านโปรด ที่เขากลับมาเยี่ยมบ้านได้เพราะติดวันหยุดยาวเลยได้กลับบ้านสักที ได้อยู่กับครอบครัวก็มีความสุขแล้ว แต่ได้เจอหน้าคนที่ชอบก็ยิ่งมีความสุขมากยิ่งขึ้น
“ใกล้จะเรียนจบกันแล้วซินะ” ร่มโพธิ์ชวนคุยหลังจากอาหารที่พวกเขาสั่งถูกยกมาเสิร์ฟแล้ว
“ค่ะ เดือนหน้าก็สอบแล้ว” ณิชาพูดเสียงเบา
“เป็นอะไรไป เครียดอะไรหรือเปล่า” ร่มโพธิ์อดเป็นห่วงไม่ได้
“ไม่มีอะไรหรอกพี่โพธิ์ แค่เตยอยากหางานทำใกล้ๆ บ้านนะ ไม่อยากไปทำงานไกลบ้าน เป็นห่วงพ่อกับแม่” สำหรับข้าวหอมมีหมุดหมายในใจที่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ อยู่แล้ว
“คนเราก็ต้องเจอการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา คิดเสียว่าไปหาประสบการณ์ให้ตัวเอง พอเห็นลู่ทางค่อยกลับมาทำงานที่บ้านก็ได้ บ้านไม่ได้หนีเราไปไหนเสียหน่อย”
“ขอบคุณค่ะพี่โพธิ์”
ขณะนั่งกินก๋วยจั๊บรสเลิศ ก็อดคิดถึงคนที่เดินไม่ได้ ป้าสมใจทำกับข้าวอร่อยก็จริง แต่ถ้าได้เดิน ได้ออกมากินของอร่อยๆแบบนี้ก็ดีซินะ คิดแล้วหญิงสาวก็ได้แต่ก้มหน้ากินก๋วยจั๊บของตัวเองต่อไปเงียบๆ แต่ร่มโพธิ์กลับคิดว่าณิชาเงียบเพราะกังวลเรื่องอนาคตของตัวเอง
เมื่อรับประทานเสร็จ ทั้งสามจึงกลับบ้าน สองสาวของตัวไปอาบน้ำพักผ่อน ณิชานอนกับข้าวหอมเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ร่มโพธิ์ได้แต่มองสองสาวพูดคุยหัวเราะสนุกสนานกันเดินผ่านเขาไปที่ห้องของข้าวหอม พ่อกับแม่ยังนั่งดูรายการข่าวรอบดึกเห็นลูกชายแล้วก็อดยิ้มขำๆไม่ได้
“อะไรครับแม่” ร่มโพธิ์ถามแก้เขินไปอย่างนั้น
“นี่กลับบ้านเพราะคิดถึงพ่อกับแม่หรือคิดถึงคนอื่นกันแน่ห่ะ” พ่อทำเสียงดุไปอย่างนั้น
“ก็ต้องคิดถึงพ่อกับแม่อยู่แล้วล่ะ” ลูกชายเดินไปนั่งแทรกกลางระหว่างพ่อกับแม่
“ถ้าคนที่คิดถึงเป็นหนูเตย แม่กับพ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ เป็นคนดี น่ารัก เข้ากับผู้ใหญ่ได้ดี”
“น้องเค้ายังเด็กอยู่เลยนะครับแม่” เขาอายุมากกว่าน้องสาวสี่ปี ก็เท่ากับแก่กว่าณิชาสี่ปีด้วย
“เด็กที่ไหน อีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้ว” พ่อเห็นดีกับแม่ด้วย
“ผู้หญิงดีๆ หาไม่ได้ง่ายๆนะ เดี๋ยวนี้แม่เจอแต่สก็อย เห็นแล้วปวดหัวใจจริงๆ”
“อะไรนะแม่ สก็อยอะไรกัน” ลูกชายหัวเราะทั้งที่รู้ความหมาย
“ก็เด็กผู้หญิงที่มันนุ่งสั้นๆ ซ้อนท้ายมอ’ไซค์ ขับไปมาให้ชาวบ้านเค้าด่าไงล่ะ” แม่ส่ายหน้าไปมา “แล้วผู้หญิงกรุงเทพฯ ใส่เสื้อผ้ารัดติ๋ว ทาปากแดงๆ แม่ก็ไม่เอานะ แม่ไม่ชอบด้วย”
“แม่นี่ดูละครเยอะไปนะ” ร่มโพธิ์หัวเราะออกมา
“ถ้าชอบก็รีบๆจีบซะ หมั้นไว้ก่อนก็ได้” คราวนี้พ่อหาทางออกให้
“พ่อ!” ลูกชายตกใจอายจนหน้าแดง เผลอมองไปชั้นบนกลัวว่าคนที่ถูกพูดถึงจะได้ยิน เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปทางห้องนอนตัวเอง
“ผมไปนอนดีกว่า ไม่อยากคุยด้วยแล้ว”
“อ้าว พูดแค่นี้ทำเขินแฮะ ขี้อายแบบนี้เมื่อไหร่จะได้มีเมียละ”
พ่อแซวในขณะที่ลูกชายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นบันไดบ้านไป เสียงหัวเราะจากห้องของน้องสาวทำให้เขาหยุดไปครู่หนึ่ง
‘ชอบ’ เป็นคำที่พูดได้เต็มปาก แต่ ‘รัก’ คงต้องคิดมากกว่านี้อีกหน่อย ลึกๆ แล้วก็ยอมรับว่า เขาชอบณิชามากมากเสียจนอยากให้เธอมาอยู่ใกล้ๆเขาตลอดไป
ชานนท์เห็นรถเก๋งสีขาวแล่นผ่านหน้าบ้านไป ปกติคนแถวนี้มีรถกระบะใช้กันมากกว่ารถเก๋งคันเล็กแบบในเมือง และอีกอย่าง เขาไม่ค่อยคุ้นตาเท่าไหร่นัก ก็แน่ละคนที่วันๆ เอาแต่นั่งๆ เดินๆ มันก็ช่างสังเกตจดจำสิ่งรอบข้างไปได้เสียหมด และที่สำคัญกว่า รู้สึกว่ารถคันนั้นไปหยุดที่หน้าบ้านของณิชา เธอไม่อยู่บ้าน ไปขายของในเมือง นับว่าเธอใช้ชีวิตได้คุ้มค่ากว่าเขาเยอะนัก สมัยอายุเท่าณิชา เขายังไม่เคยทำงานพิเศษอะไรเลย อย่าว่าเลยนะ เรียนจบมาหลายปีก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจนได้ป่วยเดินไม่ไหวอยู่แบบนี้
“โอ๊ะ โอ รู้สึกว่าสาวน้อยข้างบ้านจะมีหนุ่มมาส่งแล้วนะ” ปกรณ์ที่ขาดีอดวิ่งไปดูที่หน้าบ้านไม่ได้ แม้ไม่ได้อยู่ใกล้มากแต่ก็มองเห็นชัดว่าณิชาลงจากรถแล้วมีชายหนุ่มลงมาส่งด้วย