ได้เวลาทำพิธี

1256 คำ
        นั่งอยู่นานเท่าไรไม่รู้ รู้เพียงว่าได้ยินเสียงเรียกอยู่ด้านนอก         “ บัว แต่งตัวเสร็จหรือยัง ”         “ เสร็จแล้วจ้ะ ”         “ ออกมากินข้าวกัน ”         หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้วเปิดประตูห้อง ก่อนจะพบร่างสูงใหญ่ยืนรออยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสามส่วนสีคราม          “ อ้าว วันนี้พี่เดชไม่ไปทำงานรับลูกศิษย์ลูกหาเหรอจ๊ะ ”         “ พี่จะขึ้นไปที่เรือนใหญ่ประมาณเกือบเก้าโมงนั่นแหละ ช่วงเช้าจะมีเวลาเป็นของตัวเอง ออกกำลังกาย กินข้าวกินปลาเสียก่อน ไป ไปนั่งกินข้าวด้วยกันในครัว ”         เขาเอ่ยชวนก่อนเดินนำ บัวเดินตามต้อย ๆ         “ ปกติแล้วที่นี่จะสั่งกับข้าวจากแม่ค้าในตลาดที่ชื่อป้าดา แกจะเอามาส่งเสมอ แต่ทีนี้หลัง ๆ แกเริ่มไม่แข็งแรง เจ็บออด ๆ แอด ๆ ลูกสาวแกมาทำแทน รสชาติไม่เหมือนเดิม พี่ก็เลยไม่โอเคแล้ว อยากจะหาที่สั่งกับข้าวใหม่ ”           ชายหนุ่มอธิบายพร้อมทรุดลงนั่งบนโต๊ะที่แกะกับข้าวใส่ชามเรียบร้อย เขานั่งลงบนเก้าอี้ แต่หญิงสาวยังคงยืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก         “ เอ้า นั่งสิบัว กินข้าวด้วยกัน ”         “ มันจะดีหรือจ๊ะพี่ จะให้บัวร่วมโต๊ะกินข้าวกับพี่เดชแบบนี้ ”         “ ทำไมล่ะ บัวเป็นแขกของพี่ ไม่เห็นจะมีอะไรไม่เหมาะสม ”         “ บัวไม่ใช่แขก บัวเป็นคนที่มาอาศัยใบบุญ อีกอย่างพี่ก็บอกให้บัวทำงานบ้านเพื่อแลกกับการที่พี่จะช่วยเหลือบัว มันดูไม่ดีที่บัวจะไปนั่งบนโต๊ะเสมอนาย ”         “ พี่ไม่ใช่นายอะไรทั้งนั้นละ ทุกคนบนโลกนี้เท่าเทียมกันเสมอ ไม่ว่าบัวจะเจออะไรมาจากที่ไหน แต่สำหรับที่นี่ สำหรับพี่ ทุกคนที่นี่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันทั้งหมด บัวก็เหมือนกัน ”         คำว่า ครอบครัวเดียวกัน ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีอยู่ลึก ๆ เธอไม่เคยสัมผัสคำว่าครอบครัวอีกเลยนับแต่ยายตายไป พอได้มาอยู่กับกำนันเทิ้ม เขาจะดีกับเธอก็แต่ช่วงแรก ๆ พอบทรักไม่ถูกใจเขาก็ไม่ให้กินข้าวกินน้ำ ยามจะกินก็ต้องไปกินที่โรงครัว ไม่เคยได้ร่วมโต๊ะเลย         “ นั่งเถอะบัว มานั่งข้าง ๆ พี่ ” เสียงทุ้มเอ่ยอ่อนโยนดึงสติให้กลับมาสู่หญิงสาว เธอค่อย ๆ เดินไปนั่งข้างเขา  ชายหนุ่มตักข้าวใส่จานแล้วส่งให้ พร้อมตักไข่พะโล้หนึ่งฟองให้ด้วย         “ เอ้า นี่ กินเยอะ ๆ จะได้มีแรง ต้องตื่นมาทำพิธีตอนเที่ยงคืนตั้งสามวัน จะไปหลับตอนนั้นไม่ได้นะ ” เขาเอ่ยเย้าให้เธออารมณ์ดี บัวยิ้ม         “ อารมณ์ดีแล้วล่ะสิ ชอบไข่พะโล้ใช่ไหมล่ะ ”         “ ก็ชอบด้วยจ้ะ แต่ที่ยิ้มคือ บัวคิดถึงยาย ยายจะชอบตักกับข้าวที่ชอบให้บัวเสมอ บัวก็จะตักให้ยายเหมือนกัน นอกจากยายแล้วก็ไม่มีใครเคยตักกับข้าวให้บัวเลย นอกจากพี่ ”         เธอเอ่ยซื่อ ๆ เขาเพ่งพิศใบหน้าหวานนั้นอย่างแสนสงสาร         “ ถ้าอย่างนั้น เรามาตักกับข้าวให้กันและกันนะ พี่ขอเป็นตัวแทนยายของบัวก็แล้วกัน กินเยอะ ๆ นะ จะได้โตเร็ว ๆ หลานเอ๊ย ” ท้ายประโยคเดชแกล้งดัดเสียงให้เป็นคนแก่ เรียกเสียงใสให้หัวเราะอย่างมีความสุข         ความสุข ที่มันหายไปจากชีวิตเธอโดยสิ้นเชิง นับแต่สูญเสียยายไป         วันนี้ มันกลับมาอีกครั้ง มันถูกสร้างขึ้นจากผู้ชายร่างใหญ่หน้าตาคมคายที่อยู่เบื้องหน้านี้         มันคงจะดี ถ้าความสุขนี้จะคงอยู่ตลอดไป...          ***         ขึ้นสิบสี่ค่ำ         เวลาห้าทุ่มครึ่ง         บัวลุกขึ้นมานั่งอย่างตื่นเต้นหลังจากที่พลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบ แม้ว่าพี่เดชจะบอกเธอแล้วว่าให้นอนหลับไปเลย เมื่อใกล้เวลาแล้วจะมาปลุก เพราะบ้านหลังน้อยที่เธออยู่นี้ก็คือบ้านส่วนตัวของเขา ห้องตรงกันข้ามก็คือห้องนอนของเขา ส่วนห้องที่เธอนอนอยู่นี่ก็เป็นห้องนอนของน้องชายที่ตอนนี้ก็มีภรรยาไปแล้วจึงแยกออกไปอยู่อีกหลังหนึ่ง แต่ก็ยังมาช่วยงานเป็นช่างสักของที่นี่อยู่ เธอเคยพบเขาแล้ว ก็คือคนที่ดูแลคิวที่เรือนใหญ่นั่นล่ะ ถึงว่า ตอนที่พบหน้ากันครั้งแรกเธอจึงรู้สึกคุ้น เนื่องจากดามพ์น้องชายนั้น ก็มีส่วนละม้ายคล้ายพี่เดช         พี่เดชอธิบายให้ฟังว่า สำนักอาจารย์เดช ถูกก่อตั้งอย่างจริงจังเมื่อหกปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้นพ่อของเขาก็เป็นคนชอบทางด้านการสักยันต์และเครื่องรางของขลัง ทำให้ลูกชายทั้งสอง คือ เดช และดามพ์ผู้เป็นน้องชายชอบทางด้านนี้ไปด้วย แต่ที่พิเศษคือ เดช ซึ่งจะเป็นคนชอบทำสมาธิมาตั้งแต่เด็ก ทำให้มีสัมผัสพิเศษเหนือผู้อื่น แรกเริ่มเดิมทีก็ช่วยเหลือกันเฉพาะในหมู่ญาติและคนรู้จัก ปากต่อปาก ก็ทำให้คนเข้ามาหามากขึ้น ช่วงนั้นพ่อของเดชป่วยเป็นมะเร็ง ทำให้เขาต้องหันมาจริงจังเพื่อหารายได้มารักษาพ่อ แต่โชคร้ายที่พ่อมาเสียไป แต่ก่อนตายพ่อได้กำชับนักหนาให้เดชเอาดีทางนี้ เพราะนอกจากจะมีรายได้แล้ว ก็ยังได้ช่วยผู้คนอีกด้วย         การสักยันต์ การบูชาเครื่องรางของขลังของสำนักอาจารย์เดช ไม่ใช่สักแต่ว่าจะมาสักกันสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ผู้ที่มาสักต้องอยู่ในศีลในธรรม อาคมของขลังจึงจะมีอิทธิฤทธิ์บารมี         แม้กระทั่งช่างสักหรือทุกคนที่ทำงานให้กับสำนักอาจารย์เดช เขาก็กำชับนักหนาเรื่องการรักษาศีลและอยู่ในทำนองคลองธรรม จึงได้มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับหน้าถือตามาจนถึงทุกวันนี้           เสียงเคาะประตูห้องพร้อมส่งเสียงเรียก ทำให้ร่างบอบบางที่นอนลืมตาโพลงอยู่ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะลุกพรวดขึ้น           “ บัว จวนจะได้เวลาแล้วนะ ตื่นได้แล้ว ”           “ บัวยังไม่ได้หลับหรอกจ้ะ ” เธอตะโกนตอบกลับไปพร้อมรีบลุกไปเปิดประตูห้อง พบร่างสูงใหญ่ที่สวมกางเกงขาสั้นแค่เข่าสีขาว ดูคล้ายจุงกระเบน ท่อนบนเปลือยเปล่าและมีผ้าสีขาวเล็ก ๆ คล้ายสไบพาดไว้เช่นเคย           เพียงเห็นร่างสูงใหญ่และใบหน้าคมสัน หัวใจของหญิงสาวก็ไหววูบแปลก ๆ           “ อย่ารู้สึกแบบนี้ มันบาป นี่พี่เดชอยู่ในชุดขาวนะอีบัว ”          เธอพร่ำบอกตัวเองอยู่ในใจ           “ ทำไมยังไม่หลับ ตื่นเต้นเหรอ ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เธอพยักหน้ารับ           “ จ้ะ ”           “ ไม่ต้องตื่นเต้นนะ ไม่มีอะไรน่ากลัว ไป เดินตามพี่ไปบนห้องทำพิธีบนเรือนใหญ่ ”           พูดจบก็เดินนำไปยังเรือนใหญ่ ร่างบางเดินตามต้อย ๆ พลางเงยหน้ามองพระจันทร์กลมโตที่ลอยเด่นอยู่บนนภา           “ เดือนสวยจังเลยนะจ๊ะคืนนี้ ”           “ ใช่ สวยมาก ”           เขาตอบกลับมาเสียงขรึม ไม่พูดจาเย้าหยอกดังเช่นที่เป็นมา บัวจึงเลือกที่จะเงียบดีกว่า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม