คนถูกถามรีบกุมมือเพื่อนแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก
“ดา ฉันบอกพ่อกับแม่ไปแล้วว่าแกจะไปด้วย”
“อะไรนะ!”ดาริการ้องลั่น จนลูกค้าในร้านหันมองเป็นตาเดียว
นัทพลแตะแขนน้องสาวยกนิ้วชู้แตะริมฝีปากตนเองเพื่อเตือนไม่ให้ส่งเสียง ดาริกาเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นแผ่วเบา
“แกกำลังคิดอะไรอะนิล แกก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ชอบอากาศร้อน ที่นั้นมีดีตรงไหนมีแต่ทราย”
“สวยจะตายดา ไปด้วยกันเถอะนะ”
“โนเวย์ ไม่มีทางฉันไม่ไปเด็ดขาด มีแต่ดินแต่ทรายแถมเพิ่งเปิดประเทศจะมีพวกโจรหรือเปล่าก็ไม่รู้”คนพูดเบ้ปาก ลูบแขนตนเองขนลุกเกรียว
“จะบ้าเหรอไงยัยดา ประเทศนั้นเขาเจริญแล้วนะ แกนี่เอาข่าวมาจากไหน”
“ก็ฉันเห็นข่าวในหนังสืออะ เห็นว่ายังมีพวกโจรปล้นสะดมอยู่เลย”
นัทพลคันปาก นี่อาจเป็นโอกาสทำให้ตนเองทำความรู้จักกับเพื่อนน้องสาวก็เป็นได้
“ทำไมดาไม่ไปล่ะ เดี๋ยวพี่ไปด้วย”นัทพลยื่นข้อเสนอ
นิลลนาหันมองพี่ชายเพื่อน รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร และเธอไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น หากต้องเดินทางด้วยกันขอปลีกไปคนเดียวดีกว่า เธอไม่คิดชอบพอกับเขาเลย
“พี่นัทจะไปเหรอ?”ดาริกาถามพี่ชาย
“ใช่ ก็จะได้ไปเป็นเพื่อนนิลไง”
“แน่ใจแล้วเหรอคะพี่นัท งานพี่เยอะไม่ใช่หรือไงจะลาได้เหรอ”
ฟังบทสนทนาแล้ว นิลลนาอึดอัดหากไม่ไปแค่แสดงละครก็ได้ ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนด้วย เห็นว่าเพื่อนสาวยังว่างไม่ได้หางานทำเลยชวน แต่ดูท่าจะเหลว
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนนิลหรอก” นิลลนารีบบอก “เอาแบบนี้แกแกล้งทำเป็นว่าไปกับฉันหน่อยได้ไหมยัยดา”
“อะไรนะ แกจะบ้าเหรอนิล จะให้หลอกพ่อแม่แกด้วยเหรอ!”
มือสองข้างยกพนมเพื่อขอร้อง ดาริกาเมินมองทางอื่นเพราะไม่อยากโดนผู้ใหญ่ตำหนิ หากร่วมมือแล้วพ่อแม่เพื่อนรู้ความจริงมีหวังโดนถล่มจนเละเทะไม่มีชิ้นดีแน่
“ช่วยฉันหน่อยนะดา ฉันอยากไปจริงๆ พ่ออนุญาตแล้วด้วยขอแค่มีแกไปเป็นเพื่อนเท่านั้น”
“แกอย่ามาโยนขี้ให้ฉันสินิล ถ้าพ่อแม่แกรู้ว่าฉันโกหกมีหวังโดนยำเละแน่”
“ถ้างั้นแกก็ไปกับฉันสิ”นิลลนายื่นข้อเสนออีกครั้ง
“ไม่เอาหรอก มันร้อนแกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบอากาศร้อน”
“ร้อนตรงไหน กลางคืนออกจะหนาว อีกอย่างเราพักกันที่โรงแรมในตัวเมืองนะไม่ได้นอนกลางดินกินกลางทรายเสียหน่อย”
“เดี๋ยวพอถึงเวลาแกก็พาฉันตะลอนๆ เที่ยวนอนกลางทะเลทรายอีกน่ะสิ ตอนเข้าค่ายอาสาก็ทีหนึ่งแล้วหลอกฉันได้ว่ามีห้องพักอย่างดี ที่ไหนได้กางเต็นท์นอน ยุ่งก็กัด แถมแมลงเต็มไปหมด อากาศก็ร้อนอีกจนฉันแทบจะกลับบ้านเสียตอนนั้นเลย!”
คนถูกคอนแคะหน้าเจือน ก็ตอนนั้นคนไม่มีเลยต้องลากเพื่อนไปด้วย ถ้าไม่ครบทางมหาวิทยาลัยไม่ให้ออกค่าย ความจริงก็รู้อยู่ว่าผิด แต่เรื่องตอนนี้มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย
“ไปเป็นเพื่อนหน่อยไม่ได้เหรอดา...”เธอเริ่มส่งเสียงออดอ้อน
“ไม่ไปหรอก ฉันกำลังจะสมัครงานแล้วนิล แกก็ควรทำเหมือนกันนะ”
นิลลนาหน้างอมองเพื่อนแววตาตัดพ้อ
“แค่ช่วยก็ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้!”
“ก็ได้ จำไว้เลยดา”นิลลนาลุกยืนสะพายกระเป๋าสาวเท้าหนีไป
นัทพลมองตามสีหน้าตื่นตระหนกแล้วหันมาทางน้องสาวส่ายหน้าด้วยความงุนงง ตกลงมันยังไงกันแน่ แต่เห็นน้องนั่งเม้มริมฝีปากท่าทางคิดหนัก
“ดาจะเอายังไง นิลโกรธแล้วนะ”
“รู้แล้วน่าพี่ ขอคิดก่อน”ดาริกาตอบเสียงห้วน
สุดท้ายอดรนทนไม่ได้ดาริการีบวิ่งออกนอกร้านติดตามจนกระทั่งจับข้อมือเพื่อนไว้ แล้วระบายลมหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
“ก็ได้นิล ฉันจะช่วยแก”
นิลลนาตาโตรีบโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความยินดี ในที่สุดสิ่งที่ใฝ่ฝันมานานกำลังจะเป็นจริงแล้ว
“ขอบใจมากนะดา”
สนามบินสุวรรณภูมิ
ร่างบางก้าวยาวนำบิดามารดามาถึงด้านในสนามบินพร้อมกระเป๋าใบใหญ่สองใบ ลุงแช่มคนขับเป็นผู้ดูแลอำนวยความสะดวกในการเข็นสัมภาระตามเจ้านายทั้งสามมา เสียงฝีเท้าดังแว่วนิลลนาหันมองเห็นเพื่อนกำลังเดินมาพร้อมพี่ชายที่เข็นกระเป๋าใบใหญ่มา
ดาริกายกมือไหว้บิดามารดาเพื่อนแล้วแสร้งยิ้ม หันมองพี่ชายแล้วส่งสายตาให้ นัทพลรีบกระพุ่มไหว้เช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่สองคนรับไหว้แล้วหันมาทางบุตรสาว
“เครื่องใกล้ออกแล้วเดินทางดีๆ นะลูก”วิชยุทธบอก
“ค่ะพ่อ”
“ยังไงพ่อฝากดูแลนิลด้วยนะดา ไปกันสองคนต้องช่วยดูแลกันและกัน”
“ค่ะพ่อ ดาจะดูแลให้อย่างดีเลยค่ะ”ดาริการับปากแม้ในใจจะรู้สึกผิดมากก็ตาม
“แล้วพี่ชายของดาไม่ไปด้วยเหรอจ๊ะ”นิราพรชำเลืองมองหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางภูมิฐาน ดูเหมาะสมกับลูกสาวพอควร
“ไม่ไปค่ะ พี่ชายติดงานค่ะคุณแม่”
“ได้เวลาแล้ว ไปเถอะ”
ดาริกายืนข้างเพื่อนแล้วกระซิบกระซาบ ใจเต้นกระหน่ำราวกับกลองศึก ตนเองทำผิดมหันต์พอเห็นหน้าพ่อและแม่เพื่อนจิตสำนึกมันด้านดีดันทำงาน รู้สึกคันปากอยากบอกความจริง แต่ทว่ามือของนิลลนากลับสะกิดขมวดคิ้วยุ่งเพื่อห้าม
“อย่าเชียวนะยัยดา ฉันไม่ยอมด้วย!”
“แกไม่เห็นเหรอพ่อแม่แกเป็นห่วงแค่ไหน”
“เถอะน่าเดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้ว แกก็เที่ยวที่แคลิฟอร์เนียให้สนุกไปสิ นัดกับหนุ่มที่นั้นไว้ไม่ใช่เหรอ”
“เออ ก็ได้ๆ”
สองร่างเดินทางเข้าช่องทางผู้โดยสารขึ้นสู่ตัวเครื่อง นิลลนาทอดสายตามองปุ๋ยเมฆแล้วยิ้มสดใส อีกไม่นานคงได้พบกันแล้วเมืองแห่งทะเลทรายไฮดริก ที่นั้นคงมีเรื่องสนุกๆ รอเธออยู่อีกมาก
เครื่องบินลงจอด ณ ลอสแอนเจลิสสนามบินนานาชาติ สองสาวสายเลือดชาวไทยออกจากช่องผู้โดยสาร นิลลนาหยุดยืนรอกระเป๋าเดินทางพร้อมเพื่อน ราวยี่สิบนาทีสัมภาระถูกลำเลียงออกมา
“ฉันต้องเดินทางต่อนะดา แล้วแฟนแกจะมารับหรือยังล่ะ”นิลลนาถามเพื่อน แล้วกวาดตามองหาหนุ่มตาน้ำข้าวที่ดาริกานัด
“มาแล้วแหละ ว่าแต่แกไปคนเดียวได้แน่นะ แล้วรู้เหรอว่าขึ้นรถตรงไหน”
มือบางยกโบก เธอศึกษามาดีพอไม่มาหลงทางอยู่ที่นี่หรอก
“ไม่ต้องห่วงหรอกยัยดา ฉันศึกษามาแล้ว แถมเมืองไฮดริกยังใช้ภาษาอังกฤษเสียส่วนใหญ่ นอกจากชนพื้นเมืองที่ยังคงภาษาท้องถิ่น ฉันไม่ได้ออกไปไหนไกลหรอกแก อยู่ในตัวเมืองแล้วก็เดินทางกับทัวร์ของเมืองเท่านั้นแหละ”
ดาริกายังคงกังวล เกรงเพื่อนจะเกิดอันตรายแต่ดูท่าทางนิลลนาไม่ได้รู้สึกหวั่นใจอะไรเลย
“ถ้างั้นฉันไปส่งแกก่อนแล้วกันนิล ยังไงก็เป็นห่วง”
“ไม่ต้องก็ได้เดี๋ยวแฟนแกมาไม่ใช่เหรอ”
ครู่หนึ่งนิลลนาได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมชายรูปร่างสูงใหญ่โบกมือยิ้มระรื่น ชายคนนั้นมีดวงตาสีฟ้า ผิวขาวจัด ผมสีทอง สวมเสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ ท่าทางดูสุภาพ เขาเดินตรงมายังเธอและเพื่อน นิลลนาคุ้นหน้าเป็นอย่างดีเพราะเคยดูผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อนมาก่อน
โดยปกติดาริกามีคนพูดคุยต่างเพศมากมาย ในมหาวิทยาลัยยังเคยรถไฟชนกันจนเกิดเรื่องวุ่นวายหลายครั้ง แต่เพราะเธอจะคอยไกล่เกลี่ยตลอด มองดูแล้วคงไม่ต้องกังวลอะไรเพราะรถที่มารับเพื่อนค่อนข้างหรูทีเดียว อีกอย่างสองคนนี้คบหากันมาหลายปีแล้วเคยเดินทางมาหากันไม่น้อยกว่าห้าครั้ง
“ไฮอิริค”ดาริกาเอ่ยทัก เจ้าของร่างสูงโปร่งจุมพิตแก้มสองข้างเพื่อทักทายก่อนหันไปทางหญิงสาวอีกคน
“เพื่อนยูหรือลิลลี่”
“ใช่แล้วจ้ะ”
อิริคโน้มกายเข้าหาเพื่อทักทาย แต่ร่างบางถอยห่างยกมือปราบ ขนบธรรมเนียมของเขากับเราไม่เหมือนกัน ไม่ได้สนิทชิดเชื้อถึงขนาดโอบกอดจุมพิตกันได้
“โนๆ”นิลลนายกมือจับแทน
หนุ่มตาน้ำข้าวมองด้วยความมึนงงแล้วยกมือจับตามความต้องการของอีกฝ่าย
“โทษทีนะอิริค เพื่อนไอเป็นสาวหัวโบราณ”ดาริกาแซว
“ไม่เป็นไรหรอก”ชายหนุ่มตอบ “เพื่อนลิลลี่ไม่ไปกับเราใช่ไหม”
“ใช่จ้ะ”
“คุณอยากเดินทางไปประเทศซากวัยใช่ไหม ผมให้คนพาไปส่งที่เมืองไฮดริกเอาไหม”
คนถูกถามหูผึ่งหันมาให้ความสนใจทันที
“แน่ใจเหรอคะ”
“ครับ ผมเตรียมรถมาให้แล้วด้วย พอดีลิลลี่บอกผมผมเลยเตรียมการมาพร้อม”
เธอหันมองเพื่อนแววตาทอประกาย แล้วโผเข้ากอดด้วยความซึ้งใจ
“ขอบใจแกมากนะ”
“ไม่เป็นไรเดินทางดีๆ ล่ะยัยนิล”
รถจิ๊บคันใหญ่ถูกจอดเทียบคนขับลงมาขนสัมภาระขึ้นรถ นิลลนาโบกมือลาเพื่อนสาวและแฟนหนุ่มแล้วเปิดประตูขึ้นรถ มันเคลื่อนออกจากสนามบินมุ่งหน้าไปยังประเทศซากวัย แหล่งอารยธรรมอันงดงาม