อันนี้เรียกสู่ขอหรือข่มขู่นะ #3

1625 คำ
"เอาละ ๆ ที่พวกผมมาวันนี้เพราะถือเป็นการให้เกียรติครอบครัวของคุณที่เลี้ยงน้องมิ้มมา ถึงแม้ว่าคนที่เลี้ยงมาจริง ๆ จะไม่อยู่ที่นี่เลยสักคนก็ตาม" มาร์ตินที่เห็นว่าเรื่องราวมันเริ่มจะไปไกลรีบเอ่ยขึ้นมา แต่การเอ่ยตรง ๆ เช่นนี้ก็ทำให้อีกฝั่งหน้าเจื่อนไม่น้อย เพราะเขาพูดมานั้นถูกทุกอย่าง คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่เคยเลี้ยงดูอรรัมภาเลยแม้แต่นิดเดียว มาร์ตินเห็นดังนั้นก็เอ่ยต่อไปอย่างไม่เปิดโอกาสให้ใครขัด "ผมมาเพื่อบอกกล่าว ไม่ได้มาเพื่อถามความคิดเห็น น้องมิ้มแต่งงานกับบอสตัน ก็ให้พวกเขาตกลงกันเองว่าจะเอายังไง คนนอกแบบพวกคุณไม่ได้มีสิทธิตัดสินใจอยู่แล้ว" คำว่า ‘คนนอก’ ที่มาร์ตินเอ่ยออกมานั้นเริ่มทำให้จักรกฤษขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ "แบบนี้มันไม่เกินไปเหรอครับ" เขาถาม "มีตรงไหนที่เกินไป" บอสตันถามกลับพร้อมทั้งยกแขนขึ้นกอดอกอย่างรำคาญใจ "ยังไงมิ้มก็ลูกผมนะครับคุณบอสตัน พวกผมควรมีสิทธิ์ตัดสินใจ" จักรกฤษกล่าวเสียงเรียบ "ตัดสินใจเหรอ งั้นก็พูดมาสิ" "มิ้มยังเด็ก..." เพียงแค่คำพูดแรกที่เอ่ยขึ้นมาก็ทำเอาอรรัมภาและบอสตันหลุดขำออกมาพร้อมกัน อรรัมภาเลิกคิ้วถาม "จะขายหลานสาวตัวเองอีกแล้วเหรอคะ" หน้าไม่อายจริง ๆ" บอสตันเองก็เอ่ยเสริมทัพจนปอร์เช่หลุดขำ "คุณ !" จักรกฤษตะโกนใส่บอสตันอย่างไม่พอใจ ปัง ! แต่แล้วเสียงตบโต๊ะจากบอสตันก็ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งกันเป็นแถบ ๆ ใบหน้าของร่างสูงตอนนี้ไม่มีวี่แววล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งเรียบพร้อมกับแววตาที่จ้องมองมาทำให้อีกฝั่งได้แต่เงียบไม่กล้าพูดอะไรออกมา "ผมมาสู่ขอน้องมิ้ม แต่คุณก็เอาแต่ยืดเยื้อเพื่อรอเวลาขายณิชา หน้าไม่อาย คนที่จะแต่งงานกับผมมีแค่คนเดียวเท่านั้นคือน้องมิ้ม ภรรยาของผมมีแค่น้องมิ้มคนเดียว เข้าใจนะครับ" บอสตันตวัดสายตามองทุกคนด้วยสายตาเย็นเยียบ "ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องก็คงรู้นะครับว่าจะเจออะไร" หลังจากที่บอสตันพูดประโยคนั้นจบก็เหมือนว่าฝั่งโรจนทิพย์จะเป็นใบ้กันทั้งหมดเพราะไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีก จนมาร์ตินต้องกระแอมออกมาเรียกสติทุกฝ่ายในที่สุด “ก็อย่างที่ลูกชายของผมว่า เรามาคุยกันให้จบเถอะครับ ยืดเยื้อต่อไปก็ไม่มีประโยชน์" "เอ่อ… แหม แล้วแบบนี้เรื่องสินสอดล่ะคะ" เมื่อเห็นว่าหากพูดเรื่องณิชาอีกก็คงไม่มีประโยชน์อะไรต่อไปแล้ว สุรีย์จึงรีบเอ่ยถึงเรื่องเงินทันทีจนวรินทรเผยยิ้มเยาะออกมา "เรียกมาสิคะ" สุรีย์ยังทำหน้างง "พวกคุณต้องการเท่าไร" อรรัมภาเห็นแววตาที่เปล่งประกายฉายความโลภของคนพวกนั้น แล้วก็อยากจะระเบิดหัวเราะด้วยความสมเพช "แหม ครอบครัวพวกเราทั้งคู่ก็มีหน้ามีตาทางสังคมกันทั้งนั้นเลยนะคะ" ณิชาได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยเสียงหวานพลางหันไปยิ้มกับป้าของตัวเอง "นั่นสิคะ สุว่าถ้าหลักร้อยมันก็อาจจะไม่สมกับนามสกุลของพวกเราหรือเปล่าคะ" สุรีย์เมื่อเห็นว่าหลานพูดแบบนั้นก็รีบเอ่ยเสริม "คุณหมายถึงพันล้านใช่ไหม" วรินทรถาม "แหม ให้สุพูดมันก็จะน่าเกลียดนะคะคุณวรินทร" "ก็พูดมาเลยสิคะว่าอยากได้พันล้าน มันคงไม่มีอะไรน่าเกลียดไปมากกว่านี้แล้วละ" อรรัมภาที่นั่งฟังเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับได้ยินทั้งห้องจนบอสตันต้องลอบยิ้ม "มิ้มทำไมพูดแบบนั้น คุณป้าเป็นแม่เธอนะ" ณิชาเอ่ยตำหนิเสียงหวานจนอรรัมภาต้องกลอกตาด้วยความเบื่อหน่ายกับการแสดงของอีกฝ่าย "สรุปจะเอาพันล้านใช่ไหม" บอสตันเอ่ยถามอีกครั้งพลางเลิกคิ้ว ก่อนจะเป็นจักรกฤษที่รีบเอ่ยตอบ "ก็ถ้าทางคาร์เทียร์ไม่ติดอะไร นั่นก็คือตัวเลขที่ดีนะ" “น้องมิ้มโอเคไหมคะ" ใบหน้าหล่อหันไปถามคนตัวเล็กที่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ อรรัมภาเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ "สินสอดพันล้าน" "..." "ที่จะเข้าบัญชีของน้องมิ้มน่ะค่ะ" "อะไรนะ !" สิ้นเสียงของบอสตันฝั่งโรจนทิพย์ที่นั่งกันอยู่ก็ตะโกนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะเป็นกิตติที่เอ่ยถามออกมาอย่างไม่พอใจ "คุณหมายถึงอะไรคุณบอสตัน" "พวกคุณคิดว่าผมจะให้เงินกับพวกคุณงั้นเหรอ" ใบหน้าหล่อยกยิ้มมุมปากก่อนจะส่ายหน้าอย่างสมเพช ปกติแล้วบอสตันไม่ใช่คนที่แสดงออกมากนัก เขามักมีใบหน้าเรียบนิ่งอยู่ตลอด แต่วันนี้เขาอยากจะกวนประสาทฝั่งตรงข้ามมากกว่าจึงเลือกที่จะแสดงออกทางท่าทาง "อันที่จริงก็คิดจะให้อยู่นะคะ แต่ดูจากพฤติกรรมของพวกคุณวันนี้แล้ว น่าเสียดายจังที่ต้องพูดว่าแม้แต่บาทเดียวฉันยังไม่อยากให้" วรินทรเอ่ยพลางถอนหายใจออกมาราวกับเสียดายมาก ทว่าแววตาของเธอกลับมีแต่ความสมเพช "มันไม่เกินไปเหรอครับ พวกคุณควรไว้หน้าครอบครัวผมบ้าง" จักรกฤษเอ่ยอย่างไม่พอใจ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างคนที่คิดไม่ตก ด้วยแม้จะไม่พอใจมากแค่ไหนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ "ห้าสิบล้าน" บอสตันเอ่ยพร้อมเคาะนิ้วลงไปที่โต๊ะช้า ๆ "อะไรครับ" จักรกฤษเลิกคิ้ว "เงินที่พวกคุณจะได้คือห้าสิบล้าน ถือว่าผมตอบแทนคุณหญิงสายสมร" แม้จะไม่อยากให้เงินสักบาท แต่เพื่อตัดปัญหาในระดับหนึ่งบอสตันจึงยอมยกเศษเงินให้อีกฝั่งไป "แต่มัน…" "ถ้างั้นก็ไม่ต้องเอาสักบาท" คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงท้าทาย และหลังจากที่บอสตันพูดประโยคนั้นจบก็ดูเหมือนว่าอีกฝั่งจะไม่พอใจเท่าไรแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีก เพราะกลัวว่าสุดท้ายแล้วจะไม่มีใครได้เงินเลยสักบาทเดียว พวกเขาทำได้เพียงเก็บความไม่พอใจเอาไว้แล้วเอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ หลังจากนั้นวรินทรจึงเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งว่าฝั่งคาร์เทียร์จะเป็นฝ่ายจัดงานทั้งหมด หากฝั่งโรจนทิพย์อยากจะมีหน้าที่ในงานแต่งก็ขอเพียงแค่อย่าทำตัววุ่นวายและเป็นญาติที่ดีก็พอ เรียกได้ว่าครอบครัวโรจนทิพย์แทบไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในงานแต่งนี้เลย แล้วผลก็ออกมาอย่างที่ฝั่งบอสตันตั้งใจเอาไว้ นั่นก็คือมาบอกกล่าวให้รับรู้ ไม่มีสิทธิ์ห้าม ไม่มีสิทธิ์แทรกแซง ไม่พอใจก็ไปจัดการตัวเอง และเมื่อพูดคุยกันจนรับรู้ทั้งสองฝ่ายแล้ว ฝ่ายคาร์เทียร์จึงเอ่ยลาแล้วลุกขึ้นออกจากห้องนั้นตรงกลับมาที่บริษัทของคาร์เทียร์ทันที ทำให้ตอนนี้อรรัมภาต้องมานั่งติดแหง็กอยู่กับสองพี่น้องคาร์เทียร์ไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน กลับบ้านก็ไม่ได้ อีกทั้งตอนบ่ายยังมีนัดกับทักษอรเพื่อนสนิทพอดี จึงตัดสินใจอยู่ที่นี่ดีกว่า "แล้วแบบนี้มิ้มกลับบ้านไปจะเจออะไรไหม" ปอร์เช่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามอรรัมภาที่นั่งเล่นมือถืออยู่เงียบ ๆ "อือ ก็คงโดนหาเรื่องเหมือนเดิมนั่นแหละ" เพราะนอกจากนี้เธอก็ไม่รู้แล้วว่าจะโดนอะไร อาจจะโดนตำหนิ โดนว่า โดนแซะ ซึ่งก็โดนเป็นประจำอยู่แล้ว "แบบนี้ก็แย่น่ะสิ" ปอร์เช่ทอดถอนใจ "คงไม่หรอกมั้ง" อรรัมภาตอบ เธอคิดว่าตัวเองน่าจะพอเอาตัวรอดได้บ้าง "มั่นใจได้ยังไง" พลันเสียงเข้ม ๆ ที่ดังมาจากคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานก็ดังขึ้นเรียกสายตาของอีกสองคนในห้องให้ต้องหันไปมอง "ตอนนี้น้องมิ้มยังไม่รู้เลยไม่ใช่เหรอว่าตัวเองตกบันไดได้ยังไงน่ะ" "นั่นก็…" มันก็จริง เพราะถ้าการตกบันไดนั่นเป็นฝีมือของคนในบ้านทำจริง ๆ มันก็น่ากลัวไม่น้อย "นั่นสิ ถ้าเกิดเป็นคนในบ้านทำขึ้นมา ครั้งนี้อาจจะทำอีกก็ได้นะ" ปอร์เช่ว่า "แล้วปอร์เช่จะให้เราทำยังไง" อรรัมภาถาม ไม่ให้อยู่บ้านแล้วจะให้ไปอยู่ไหนล่ะ "จะยากอะไรล่ะมิ้ม" ปอร์เช่พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า เล่นเอาอรรัมภาแอบไม่วางใจ "ก็มาอยู่กับพี่บอสสิ" "ฮะ !" "หมั้นกันมาตั้งนานแล้ว แถมตอนนี้จะแต่งงานกันแล้วด้วยนี่ไม่เห็นเป็นไร" ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายพี่ชายเอ่ยพลางมองทั้งสองคนสลับกัน "ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยก็ดีนะ จะได้คุ้นชินไง" อรรัมภาได้แต่นั่งเงียบกับคำพูดของคนตรงหน้า แต่ก็ต้องหันจนคอแทบเคล็ดเพราะคำพูดต่อมาของว่าที่เจ้าบ่าว "เก็บเสื้อผ้าเลยค่ะ" อะไรนะ ! เดี๋ยวก๊อนนน เก็บเสื้อผ้าอะไรเล่า !
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม