“หมายความว่ายังไงคะคุณอนุวัตร” อภิรดีถามออกไปแบบงงๆ เขาจะให้เธอยกลูกสาวของเธอให้เขาทำไม อย่าบอกนะว่าเขาจะเอาลูกสาวของเธอไปเป็นเมียน้อยน่ะ
“ผมก็ไม่คิดจะทำอะไร คุณก็รู้นิว่าภรรยาของผมเขาเสียไปนานแล้ว มันก็คงจะดีไม่น้อยถ้าลูกสาวของคุณจะมาดูแลผมในฐานะภรรยา ผมยินดียกเลิกหนี้สินห้าล้านที่คุณติดผมอยู่ทันทีที่ลูกสาวคุณยอมแต่งงานกับผม พร้อมกับให้เงินค่าสินสอดอีกห้าล้านบาท คิดดีๆนะ ผมไม่ได้ใจดีกับใครแบบนี้นะและผมก็ไม่บังคับคุณด้วย ผมจะให้เวลาคุณกับลูกสาวคิดสักอาทิตย์หนึ่ง” อนุวัตรเอ่ยบอกไป เพราะเขาเคยเจอลูกสาวของอภิรดีสองครั้ง เขาก็ถูกใจเด็กสาวคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก เขาก็เลยอยากจะได้มาเป็นเมียช่วยดูแลเขาก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าลูกสาวของเธอไม่เต็มใจเขาก็ไม่บังคับ
“แต่งงานออกหน้าออกตาใช่ไหมคะ ไม่ใช่เป็นเมียน้อยของคุณนะคะ” อภิรดีถามออกไป เพราะเธอเองก็แอบสนใจข้อเสนอของอนุวัตรไม่น้อย หนี้ที่ติดก็หมดไปแถมยังได้ค่าสินสอดไปจ่ายหนี้คืนคนอื่นอีก แล้วแบบนี้เธอจะไม่สนใจได้ยังไง แต่ลูกสาวเธอนี่สิหัวแข็งอย่างกับอะไร จะยอมแต่งกับคนแก่คราวพ่อแบบนี้ไหมล่ะ
“ผมจะจดทะเบียนสมรสกับลูกสาวของคุณด้วย พร้อมกับจัดงานแต่งงานให้แบบยิ่งใหญ่เลยล่ะคุณอร” อนุวัตรพูดบอกไปแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม เพราะเห็นทีท่าของอภิรดีแล้ว
“ก็ได้ค่ะ ฉันขอคิดดูก่อนนะคะคุณอนุวัตร แล้วฉันจะให้คำตอบอีกที” อภิรดีพูดบอกไป เพราะเธอก็ต้องถามลุกสาวของเธอก่อน เธอก็ได้แต่หวังว่าลูกสาวของเธอจะยอม เพื่อให้ทุกคนสบายขึ้น
“ดี งั้นผมกลับก่อนก็แล้วกัน หวังว่าเจอกันครั้งหน้าคำตอบของคุณ จะทำให้ผมยิ้มได้นะคุณอร ไปล่ะ” อนุวัตรพูดบอกไปก็ลุกขึ้น แล้วเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ของอภิรดีไป ก่อนจะยิ้มแล้วขึ้นรถไปอย่างเจ้าเล่ห์ เพราะวันนี้เขาต้องไปเตรียมตัวต้อนรับลูกชายตัวดีของเขาซะหน่อย
ด้านชาลิตก็แต่งตัวแบบหนุ่มเซอร์ๆพร้อมกับกระเป๋าเป้หนึ่งใบเดินทางจากกระบี่มากรุงเทพ หลังจากที่เขาไปอยู่เกาะมานานถึงหกเดือนแบบไม่กลับบ้าน จนไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อของเขานั้นป่วยหนักขนาดไหน
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ” เมธาวีแอร์สาวสุดสวยในวันนี้เอ่ยถามลูกค้าในชั้นเฟิร์สคลาสออกไปด้วยรอยยิ้ม แล้วคิดในใจว่าหน้าตาแบบนี้ไม่หน้าจะมานั่งชั้นแบบนี้ได้ แต่ก็อย่างว่าแหละคนเรามันมองแค่ภายนอกไม่ได้
ชาลิตที่กำลังจะนอนเงยหน้าขึ้นมามองแอร์สาวที่คุยกับเขา แล้วก็เจอหน้าสวยๆยืนยิ้มให้เขาแบบน่ารัก เขาก็มองเธอแบบเฉยๆเพราะเมื่อก่อนสวยกว่านี้เขาก็เอาขึ้นเตียงมาแล้ว
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ” ชาลิตพูดจบก็หันตัวไปทางกระจกหน้าต่างแล้วเอนตัวนอนแบบสบายๆอย่างไม่สนใจแอร์สาวเลยสักนิด จนเมธาวีอึ้งที่เธอสวยขนาดนี้แล้วยังถูกลูกค้าหน้าตาบ้านๆแบบนี้เมิน ทั้งๆที่ลูกค้าส่วนใหญ่จะพูดจีบเธอทั้งนั้น
“ค่ะ” เมธาวีกัดฟันพูดบอกเจ็บใจแล้วก็ฉีกยิ้มออกไป แล้วก็เดินกลับไปหาเพื่อนอีกคนที่ถูกชายหนุ่มคนนี้ปฏิเสธไปก่อนหน้านี้
“ไงล่ะแก ฉันบอกแกแล้วว่าเขาหยิ่ง ฉันไปถามแล้วเขาก็เมินแบบนี้เลย จ่ายมาตังแพงไม่กินอะไรเลยสักอย่าง เอาแต่นอนหลับอย่างเดียวเลยอ่ะแก ” เพื่อนสาวของเมธาวีพูดบอกแบบอดไม่ได้ หลังจากแอบมองอยู่นาน เพราะค้าลูกคนอื่นๆเขาก็รับอาหารดื่มแชมเปญกันตามปกติ ก็มีแค่ผู้ชายหน้าโหดคนนั้นแหละที่ไม่ยอมดื่มหรือกินอาหารรับรองอะไรเลย
“ฉันก็ไม่เคยโดนเมินแบบนี้มาก่อนเหมือนกันนั่นแหละ คิดว่าหล่อมากหรือไง” เมธาวีพูดไปแบบเสียฟอร์มที่เธอถูกเมิน
“แต่เขาก็เข้มๆคมๆนะแก ถ้าโกนหนวดโกนเคราดีๆนะ ฉันว่าแซ่บอยู่นะ รูปร่างก็ออกจะดูดี เขาเมินก็อย่าไปโมโหเขาสิยะ แกอาจจะไม่สวยในสายตาเข้าก็ได้ ฮ่าๆ” เพื่อนของเมธาวีพูดออกไปแล้วยิ้มไปอย่างสะใจ สมน้ำหน้า มั่นใจว่าสวยดีนักเจอคนแบบนี้เข้าให้
“เออๆ แกดูแลไอ้บ้านั่นเลยนะ ฉันไม่อยากไปถามอะไรเขาแล้ว” เมธาวีพูดออกไปแล้วไปนั่งพักทันที ก่อนจะแลมองไปที่ผู้ชายคนนั้นแบบโมโห เพราเขานั่งด้านหน้าพวกเธอนี่เอง
ด้านชาลิตก็ได้ยินทุกอย่างที่สาวแอร์ฮอสเตสพูดกัน เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะขี้เกียจจะมีปัญหา จากนั้นเขาก็นั่งเครื่องจนกระทั่งถึงสนามบินสุวรรณภูมิ แอร์สาวก็ยืนยิ้มขอบคุณเขาก่อนออกมา
“ขอบคุณค่ะ โอกาสหน้ามาใช้บริการสายการบินของเราอีกนะคะ” เมธาวีและเพื่อนพูดบอกไปแล้วก็ยกมือไหว พร้อมกับฉีกยิ้มออกไปให้กับลูกค้าที่เมินพวกเธอตอนอยูบนเครื่อง
“ทีหลังถ้าลูกค้าไม่รับอะไรก็อย่าเอาไปพูดเม้าท์เลยนะครับ มันเสียมารยาท” ชาลิตพูดจบก็เดินสะพายเป้อกมา แล้วปล่อยให้แอร์สาวทั้งสองคนยืนอึ้งอยู่ตรงประตูทางออก
ส่วนเขาก็ยิ้มมุมปากแบบขำๆแล้วเดินออกมาแบบชิวๆ พอออกมาก็เห็นชาติคนขับรถของที่บ้านมายืนรอรับเขาแล้ว
“สวัสดีคุณใหญ่ครับ มารอบนี้ผมเกือบจำไม่ได้เลยครับ เชิญครับๆรถอยู่ด้านหน้าแล้วครับ” ชาติเอ่ยทักทายนายน้อยไปแบบเกร็งๆ เพราะรอบนี้ชาลิตมาแบบหนวดเคราเข้มๆแบบโหดๆ
“เออ ฉันก็ลืมโกนหนวดมาน่ะ ยัยเล็กโทรไปตามมาด่วนก็เลยรีบออกมาเลยไม่ทันได้ทำอะไร เดี๋ยวค่อยไปทำที่บ้านละกัน แล้วพ่อฉันเป็นยังไงบ้าง” ชาลิตพูดบอกไปแล้วก็เดินตามคนขับรถของบ้านที่เขาเองก็รู้จักมานาน
“อ่อ คือ คุณท่าน อ่อ ผมว่าคุณใหญ่ไปดูเองจะดีกว่าครับ” ชาติพูดไปแบบตะกุตะกัก เพราะไม่รู้ว่าจะบอกยังไง เพราะนายท่านไม่ได้ป่วยสักหน่อย เมื่อเช้ายังให้เขาขับรถไปบ้านคุณนายอภิรดีอยู่เลย
“เออๆ งั้นก็รีบไป ฉันจะไปดูพ่อฉัน” ชาลิตพูจบก็โยนกระเป่าให้ชาติรับไป แล้วเขาก็ขึ้นไปนั่งบนรถตู้คันหรูทันที จากนั้นก็นอนพักสายตาแบบเหนื่อยๆ เมื่อคิดไปว่าเขาจะต้องอึดอัดขนาดไหน ตอนที่เจอโยธกากับลูกพี่ลูกน้องของเขา
ส่วนชาติก็รีบเอากระเป๋าไปแล้วรีบขึ้นมาบนรถ พร้อมกับเอากระเป๋าวางไว้ข้างคนขับแล้วรีบขับรถพานายน้อยกลับไปที่บ้าน เพราะกว่าจะฝ่าฟันรถติดกลับไปก็คงจะเย็นพอดี
ด้านพิชามลพอรู้ว่าหลานชายกำลังจะกลับมาจากใต้ เธอก็สั่งแม่บ้านให้เตรียมอาหารเย็นต้อนรับหลานชายอย่างตื่นเต้น เพราะเธอเองก็รักชาลิตไม่ต่างจากลูกชายของเธอเลย
“วันนี้ลงมือทำเองเลยเหรอคะคุณแม่ สงสัยมื้อนี้โยคงต้องล้างท้องรอแล้วมั้งคะเนี่ย” โยธกาเดินเข้ามาเอ่ยถามแม่สามีออกไปแบบเป็นกันเอง เมื่อเห็นแม่สามีทำอาหารเองในวันนี้
“อ่าวกลับมากันแล้วเหรอ แม่ว่าจะโทรไปตามอยู่เชียว รู้ไหมว่าวันนี้ตาใหญ่กำลังจะกลับมาแล้ว เย็นนี้เราจะไปทานข้าวเย็นกันที่บ้านคุณลุงนะ เต็มตัวกันด้วยล่ะ” พิชามลบอกลูกลูกสะใภ้และลูกชายที่เดินมาหาเธอด้วยรอยยิ้ม
โยธกาที่ยิ้มอยู่ก็หุบยิ้มไปแบบอึ้งๆ ก่อนจะทำตัวเป็นปกติ เพราะถ้าไม่ใช่เพราเธอชาลิตก็คงไม่ปลีกตัวออกไปแบบนี้ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อเรื่องความรักมันห้ามกันไม่ได้จริงๆ ถ้าเขาไม่เจ้าชู้และไม่ทำร้ายจิตใจเธอ เธอก็คงจะยังรักเขา ไม่มาเทใจให้กับลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างนี้
“จริงเหรอครับ นี่ผมไม่เห็นหน้าพี่ใหญ่มาหลายเดือนแล้วนะครับเนี่ย วันนี้คงต้องคุยกันยาวแน่ๆ” ภาสวรหรือกลางเอ่ยพูดออกไปแบบดีใจเช่นกันที่ลูกพี่ลูกน้องกำลังจะกลับมา เพราะตั้งแต่เขาแต่งงานกับโยธกามาพี่ชายคนนี้ก็ไปอยู่เกาะแทนที่จะมาดูแลบริหารธุรกิจที่กรุงเทพ เขาก็พอรู้เหตุผลว่าทำไมแต่เขาก็เคลียร์เรื่องโยธกากับพี่ชายของเขาไปแล้ว และตอนนี้ก็เข้าใจกันดี
“งั้นโยช่วยนะคะคุณแม่” โยธกาบอกไปก็ยิ้ม แล้วเดินไปล้างมือ มาช่วยแม่สามีและแม่บ้านทำอาหารให้กับชาลิต
“งั้นผมไปดูหนูแยมนะ คุณช่วยคุณแม่ไปละกัน” ภาสวรบอกไปก็ยิ้ม แล้วเดินออกไปหาลูกสาววัยห้าขวบกว่า ที่กำลังไปเปลี่ยนชุดหลังจากที่กลับมาจากโรงเรียน
ด้านลลิสาที่นัดจะไปฉลองความสำเร็จในวันนี้กับทางบริษัท ก็ลืมโทรไปบอกแฟนหนุ่มของเธอที่คบหากันมาเกือบจะสองปี จนธนวาขับรถมารับเธอตามปกติแล้วก็โทรหาลลิสา จนเธอต้องรีบลงมาหาเขาแบบเร่งด่วน
“น้ำผึ้งขอโทษนะธัน เราลืมโทรไปบอกเลยอ่ะว่าวันนี้เราจะไปฉลองกับบริษัท ธันเลยมาเสียเวลาเพราะเราเลยเนี่ย” ลลิสาพูดบอกไปแบบรู้สึก ก่อนจะทำหน้าเศร้าไปจนธนวายิ้มออกมา
“อ่าวเหรอ งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากลับก่อนก็ได้ น้ำผึ้งไปร้านไหนก็บอกเรานะ อ่ะ นี่ธันซื้อมาให้พอดีเห็นมันเหมาะกับน้ำผึ้งน่ะ” ธันวาพูดบอกไปแล้วก็ยิ้ม แล้วส่งถุงกระดาษให้แฟนสาวของเขา
“ขอบคุณนะ ไว้เดี๋ยวคืนนี้เราโทรหานะ บ้ายบาย” ลลิสาพูดบอกไปแล้วโบกมือให้กับธันวาไป แล้วเขาก็เดินกลับออกไป ส่วนเธอก็เดินกลับเข้ามาในบริษัทอีกครั้ง แล้วก็เจอเพื่อนสาวลงมาพอดี
“อ่าวน้ำผึ้ง ธันกลับแล้วเหรอ แล้วนั่นเขาซื้ออะไรให้อีกล่ะ” มัทนาเอ่ยถามออกไปแล้วมองไปเห็นหลังธันวาแวบๆ
“อ่อ เครื่องสำอางน่ะ ธันเขาบอกว่าเหมาะกับเราเขาก็เลยซื้อมาให้” นรินดาพูดบอกไปขณะก้มมอของในกล่องแล้วก็เห้นว่ามันคือเครื่องสำอาง เธอก็บอกไปตามตรง แต่ครั้งก่อนที่เขาซื้อมาให้เธอก็ยังใช้ไม่หมดเลย
“แก ธันเขาไม่ใช่เกย์แน่นะ ทำไมเขาชอบซื้อของพวกนี้ให้แกจัง ตั้งแต่เปลี่ยนการแต่งตัวของแกแล้วนะ แถมยังสอนแกแต่งหน้าอีก แล้วนี่ก้ยังมาซื้อเครื่องสำอางให้อีก ฉันว่ามันดูแปลกๆนะ” มัทนาพูดออกไปแบบสงสัยว่าแฟนของเพื่อนสาวจะเป็นเกย์ ขนาดเธอเป็นเพื่อนสนิทกับน้ำผึ้ง เธอยังเจอกับธันวานับครั้งได้เลย
“ก็ไม่นะ ปกติธันเขาก็เป็นแบบนี้แหละ แกอ่ะคิดมากไปมัดหมี่ เขาไม่ใช่เกย์หรอก” ลลิสาพูดบอกไป แล้วคิดตามในใจแบบกังวลเช่นกัน เพราะคบกันมาตั้งสองปีแล้วเธอกับธันวาก็ไม่เคยมีอะไรกันเลย เขาก็มาหาก็แค่พากันไปกินข้าว คอยปรับทุกข์แล้วก็ช่วยเหลือเธอ แต่ก็มีไปเที่ยวด้วยกันบ้างก็แค่นั้น เขาก็เหมือนแฟนปกติทั่วๆไป เขาก็คงไม่ใช่เกย์หรอกเขาคงจะแค่ให้เกียรติเธอรอจนถึงวันแต่งงานแน่ๆ
“แก ไม่คิดไม่ได้นะ ยิ่งแฟนแกสำอางขนาดนั้นแกก็ต้องคิดบ้าง แกจะมาฉลาดแค่เรื่องงานอย่างเดียวไม่ได้นะน้ำผึ้ง เรื่องผู้ชายก็ก็ต้องฉลาดด้วย เข้าใจไหม” มัทนาพูดบอกไปแบบเป็นห่วงเพื่อนสาว กลัวจะโดนธันวาหลอก
“เออๆ แต่ฉันมั่นใจจริงๆว่าเขาไม่ใช่เกย์ ไม่งั้นเขาไม่ขอฉันแต่งงานหรอก แกดูสิ” ลิลสาพูดบอกแบบมั่นใจ เพราะแหวนเพชรยังคานิ้วเธออยู่เลย ก่อนจะโชว์ให้เพื่อนสาว
“จ้า แล้วก็อย่ามาร้องไห้ล่ะ ฉันเตือนแกแล้วนะ” มัทนาพูดบอกไปอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะกอดแขนกันเข้าลิฟต์ไป เพื่อขึ้นด้านบน
“โอเคๆ ไม่ร้องแน่ เพราะฉันมั่นใจ” ลลิสาพูดบอกไปก็ยิ้มให้เพื่อนสาวแบบขำๆ เพราะมัทนาก้ชอบว่าแบบนี้ทุกครั้งที่ธันวาทำอะไรแบบนี้ให้เธอ
ณ บ้านหลังใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประประเทศ กำลังจัดปาร์ตี้กับสาวพริตตี้นับสิบคนริมสระว่ายน้ำส่วนตัวภายในบ้าน เพื่อรอลูกสาวคนเดียวของเขากลับมา
“ท่านคะ เดี๋ยวหนูนวดให้นะคะ สบายไหมคะ” พริตตี้สาวเอ่ยถามหนุ่มใหญ่แล้วนวดที่ขาของเขาไป แล้วก็ลูบไล้ยั่วๆไปพร้อมกับสายตาอ่อยๆ
“สบายสิจ้ะหนู นวดแรงๆเลย ถ้านวดๆเดี๋ยวฉันให้รางวัลเยอะๆเลย” อนุวัตรเอ่ยบอกไปแล้วยิ้มแบบชอบใจ ก่อนจะกอดเอวพริตตี้สาวไว้
“งั้นหนูนวดด้วยค่ะท่าน” พริตตี้อีกสองสามคนก็กู่กันเข้ามาดูแลท่านอนุวัตร ที่ลงทุนจ่ายหนักให้กับพวกเธอเพื่อนมาปาร์ตี้ให้กับท่านและลูกชาย
“คุณพ่อคะ นี่มันอะไรกันคะ พี่ใหญ่กำลังจะมาแล้วนะคะ” ปณิตาเดินเข้ามาถามผู้เป็นพ่อที่กำลังนัวเนียอยู่กับสาวพริตตี้ที่นุ่งบิกินี่เดินไปมา
“แล้วไง ก็พ่อเตรียมสาวๆมาให้เจ้าใหญ่มันโดยเฉพาะเลยนะ มันไปอยู่เกาะมานานเจอของสวยๆงามๆแบบนี้มันคงจะกระโดดเข้าใส่เลยล่ะ ฮ่าๆ ยังไงเสือมันก็ไม่ทิ้งลายแน่ๆ” อนุวัตรเอ่ยบอกลูกสาวไปแบบขำๆ
“คุณพ่อคะ แต่ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะคะ” ปณิตาเถียงออกไปอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้พี่ชายเธอมันสนใจผู้หญิงที่ไหนกันเล่า เธอเห็นเขาสนใจอย่างเดียวก็คือเกาะรายาเท่านั้นแหละ
“เออน่า เหมือนไม่เหมือนมันก็เป็นผู้ชาย มันก็ต้องสนใจบ้างแหละน่า เราไปช่วยน้าเราทำอาหารไป ไม่รู้ว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง เดี๋ยวตาใหญ่มาพ่อจัดการเอง ไปๆ พ่อจะอยู่กับสาวๆ” อนุวัตรพูดบอกไปก็ไล่ลูกสาวไปหาพิชามลที่บ้านเล็กทันที เพราะขืนอยู่ตรงนี้เขาก็เล่นกับสาวน้อยพวกนี้ได้ไม่เต็มที่น่ะสิ
ด้านชาลิตพอมาถึงบ้านเขาก็ลงมาจากรถแล้วก็ได้ยินเสียงเพลงดังมาแต่ไกลจากทางสระว่ายน้ำ เขาก็ทำหน้าขมวดคิ้วแบบสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามคนใช้ที่มารอยืนต้อนรับเขาทันที
“นั่นเสียงใครเปิดเพลงคึกครื้นขนาดนี้” ชาลิตถามออกไปแล้วมองหน้าละม่อน คนใช้ที่คอยรับใช้บ้านเขามานานแล้ว
“อ่อ คุณท่านค่ะคุณใหญ่ คุณใหญ่ไปดูเองเถอะค่ะ ” ละม่อนเอ่ยบอกไปแบบเกร็งๆ เพราะนานๆชาลิตจจะกลับมาแล้วนี่นายท่านก็โกหกเอาไว้อีก เธอจึงกลัวว่าชาลิตจะโกรธ
ชาลิตจึงรีบเดินไปดูทันทีแล้วเดินไปที่สระว่ายน้ำข้างบ้านทันที พอเข้ามาถึงก็เจอปาร์ตี้ริมสระ พร้อมกับมีสาวพริตตี้นับสิบคนกำลังใส่บิกินี่เดินไปมาแล้วก็เล่นน้ำในสระอีก ส่วนพ่อของเขาก็นั่งให้พริตตี้นวดขาอยู่ตรงนั้น พร้อมกับมีพริตตี้อีกคนป้อนองุ่นให้ทานแบบสบายใจ จนไม่เหลือเค้าคนป่วยหนักแบบที่น้องสาวของเขาโทรมาบอกเลยสักนิด
“พ่อ” ชาลิตพูดเสียงรอดไรฟันออกมา แล้วเดินไปหาพ่อตัวเองอย่างเดือดดาด ที่เขารีบมาเพราะเป็นห่วงท่านขนาดไหน แต่กลับมาเจอท่านกำลังสนุกกับสาวๆเนี่ยนะ มันน่าโมโหไหมล่ะ
“อ่าว มาแล้วเหรอเจ้าใหญ่ ทำไมปล่อยตัวโทรมแบบนี้ล่ะ ดูแลตัวเองหน่อยสิวะ” อนุวัตรหันไปหาลูกสาวแล้วลุกขึ้นเดินไปหาพร้อมกับเอ่ยพูดไปแล้วเอามาจับแขนของลูกสาวแบบสำรวจอย่างเป็นห่วง
“ไหนยัยเล็กบอกว่าพ่อป่วยหนักไง นี่พ่อให้ยัยเล็กโกหกผมใช่ไหม รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงพ่อขนาดไหน” ชาลิตพูดเสียงเข้มออกไปอย่างโมโหที่ถูกพ่อของตัวเองหลอกแบบนี้
“เออ พ่อขอโทษ พ่อก็แค่อยากให้แกกลับบ้านบ้างก็เท่านั้น พ่อคิดถึงแกนะเจ้าใหญ่” อนุวัตรพูดก็เข้าไปกอดลูกชายอย่างคิดถึง จนชาลิตอึ้งจนพูดไม่ออกเมื่อเจอมุกนี้ของพ่อเข้าไป
“พ่อ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะมากอดอะไรเล่าคิดถึงก็บอกผมดีๆสิ ไม่ใช่มาแช่งตัวเองให้ป่วยแบบนี้” ชาลิตเอามือถอนยันอกพ่อถอนกอดออกเบาๆ แล้วพูดบอกไป
“พ่อบอกแกให้กลับบ้านทุกเดือนแล้วเป็นไงล่ะ นี่หกเดือนแล้วที่พ่อไม่ได้เห็นหน้าแกน่ะ พ่อก็ต้องทำแบบนี้ล่ะ แกดูสิแกกลับมาทั้งที พ่อจัดชุดใหญ่ไว้ให้แกเลยนะ ไปติดเกาะมานานมาเจออะไรสวยๆงามๆดีกว่า” อนุวัตรพูดไปก็ยิ้มหรี่ตาใส่ลูกชายแล้วยักคิ้วให้ไป
“อือ ไม่เอาพ่อ ผมเบื่อแล้ว พ่อสนุกไปคนเดียวเถอะ” ชาลิตพูดไปแล้วมองไปที่สาวๆพริตตี้ด้านหลัง ก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย
“เบื่ออะไรกัน สาวๆที่เกาะจะไปสู้โคนมแบบนี้ได้ยังไงวะ อย่ามาเล่นตัวหน่อยเลยน่า พ่อรู้ว่าแกน่ะเป็นกระทิงเปลี่ยว” อนุวัตรพูดไปแบบแซวๆลูกชาย
“ถ้าพ่อไม่อยากให้ผมรีบกลับไปเกาะ ก็อย่าเอาผมไปเกี่ยว สนุกไปคนเดียวเถอะ” ชาลิตพูดจบก็เดินหนีออกไปทันที จนอนุวัตรมองตามแบบขัดใจที่สาวๆพวกนี้โน้มน้าวใจลูกชายไม่ได้
“มันไปตายด้านจากไหนมาวะ ยกมาทั้งฟาร์มโคนมแล้วยังเมินอีก ” อนุวัตรพูดไปแบบอดไม่ได้ แล้วเริ่มคิดแล้วว่าเขาควรจะหาสาวๆมาเป็นเมียลูกชายได้แล้ว ไม่งั้นตระกูลเขาน่ะสูญพันธ์เพราะเจ้าใหญ่แน่ๆ