ตอนที่ 1
“โอ๊ย!!! มันจะตกอะไรกันนักกันหนานะ” ปิยาพัชรบ่นพึมพำด้วยเสียอารมณ์สุดๆ เมื่อมองผ่านกระจกหน้ารถไปยังเห็นสายฝนโปรยปรายลงมาเป็นสายอย่างไม่ยอมหยุด และมีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ มือเล็กกำพวงมาลัยรถไว้แน่น พยายามประคองรถเต่าคันเล็กให้แล่นตรงไปข้างหน้าอย่างสุดความสามารถ
“เฮ้อ...รู้งี้ให้พี่มัดหวายมาส่งเสียก็ดี”
น้ำเสียงหวานนุ่มดังตามมาอีกระลอกด้วยความขลาดกลัว ด้วยเพราะเส้นทางสายนี้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง เลยต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง คิดแล้วเซ็งชะมัด งานไม่น่ามีคืนนี้เลย อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจสักอย่าง ฝนตกพรำๆ ตั้งแต่บ่ายแล้ว
พี่มัดหวายที่บอกว่าต้องไปอบรมวิชาการก็ไม่ไป ดูซิ...จะแต่งตัวออกจากบ้านก็ต้องเป็นกางเกงยีนกับเสื้อยืด แล้วค่อยมาเปลี่ยนเป็นชุดราตรีเอาระหว่างทาง แต่ถึงจะเปลี่ยนแล้วก็ยังต้องหาเสื้อตัวใหญ่มาคลุมไว้อยู่ดี เพราะยังกลัวว่าถ้าคนรู้จักเห็นแล้วนำไปฟ้องพี่สาว
ร่างบางสั่นเหมือนกับต้องลมพายุ คิดถึงใบหน้าพี่สาวได้ชัดเจนกระจ่างตาถ้าได้เห็นการแต่งตัวของเธอ ก็ขนาดว่าเป็นแค่เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นใส่อยู่บ้าน พี่สาวยังมองตาเขียวเลย นี่ถ้าเห็นว่าเธอใส่เสื้อเกาะอกอีกละก็...โหยไม่อยากจะคิดเลย พายุคงลงจนบ้านแตกแน่นอน ทั้งเสียงบ่น คำเตือนคำสอนตามมาอีกกระบุงโต และสุดท้ายอย่าหวังว่าเธอจะได้ไปร่วมงานในคืนนี้ด้วย
ลิ้นเล็กๆ กระทุ้งกระพุ้งแก้ม สีหน้าเบื่อหน่ายระคนรักใคร่ ดวงตาเป็นประกายสดใส แม้ปากจะบอกว่ารำคาญแต่ใจกลับรักและผูกพัน เพราะกัญญาพัชรเป็นทั้งพ่อและแม่ เป็นทั้งพี่สาวและเพื่อน คอยดูแลทุกข์สุขให้ตั้งแต่บิดาและมารดาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ ตอนที่เธออายุได้เพียงแค่สิบสองปี
น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้า เหตุการณ์ร้ายในวันนั้นยังคงติดตรึงในสมองและหัวใจไม่เคยลืมเลือน แม่และพ่อวิ่งข้ามถนนมาเพื่อรับเธอกลับบ้าน แต่อยู่ดีๆ รถหกล้อคันโตก็แหกโค้งพุ่งจากฟากหนึ่งของถนนเข้าชนสองร่างอย่างจัง เสียงหวีดร้องของนักเรียนและผู้ปกครองหลายคนที่ได้เห็นดังลั่น เด็กหญิงตัวน้อยในชุดวอร์มสีเหลืองทองทรุดตัวลงบนพื้นเหมือนกับนกปีกหัก หลายปีที่นอนฝันร้ายน้ำตาไหลอาบแก้ม
โชคดีที่มีพี่สาวที่ทั้งสวยและเก่ง ยืนหยัดเคียงข้างไม่ทอดทิ้งให้ต้องผจญกับความหวาดกลัวยามค่ำคืนเพียงลำพัง อีกทั้งยังทำหน้าที่แทนบุพการีได้ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นกัญญาพัชรก็มีอายุเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้นเอง พี่สาวเคยพูดว่าจะออกจากโรงเรียนมาทำงานส่งเสียให้เธอเรียนจบตามประสงค์ของพ่อกับแม่ แต่เคราะห์ในครั้งนั้นก็ไม่หนักหนาเกินไป เมื่อมีคนเข้ามาช่วยให้การอุปการะ จนในที่สุดสองสาวก็ได้เรียนจนจบปริญญาสมดังตั้งใจ
สองมือเรียวกำพวงมาลัยรถไว้แน่น นอกจากคืนนี้จะเป็นคืนเดือนมืดแล้ว ฝนที่ตกพรำๆ อยู่เริ่มลงหนักขึ้นจนมองถนนแทบไม่เห็น และดีว่าไม่มีรถสวนมา แต่แล้ว...
“ว้าย!! ...”
เอี๊ยด!!
เท้าเล็กเหยียบลงไปบนเบรกเต็มแรง สองมือเย็นเฉียบกำพวงมาลัยรถแน่น หัวใจเต้นแรงเร็วเหมือนจะทะลุออกจากอก สลับไหววูบเหมือนคนกำลังจะเป็นลม ใบหน้าขาวสวยที่ตกแต่งไว้เป็นอย่างดีซีดเผือด ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามใบหน้า รถเต่าคันเล็กเลยถลาเกยขึ้นไปอยู่บนขอบถนน เหลือเพียงแค่ไม่ถึงฟุตรถคันเล็กก็จะพุ่งชนตนไม้เบื้องหน้า
ร่างบอบบางยังคงนั่งนิ่งลมหายใจหอบแรงอยู่อย่างนั้น แม้โทรศัพท์เครื่องเล็กในกระเป๋าจะส่งเสียงร้องดังถี่ๆ แต่ก็ไม่ได้เข้าในหูปิยาพัชรเลยสักนิด ดวงตากลมโตยังคงเบิกกว้าง มองไปด้านหน้าของรถจนแทบลืมหายใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามขมับ น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้าและเกือบจะไหลลงมาอาบแก้มอยู่แล้ว
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
“คุณครับคุณ คุณครับ” มือใหญ่เคาะกระจกรถ แต่ดูเหมือนว่าคนที่นั่งอยู่ภายในจะช็อกจนไม่ได้ยินเสียง แสงไฟหน้ารถทำให้เห็นลางๆ ว่าคนที่นั่งอยู่นั้นตัวสั่น ร่างหนาใหญ่รีบเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งประตู มือใหญ่พยายามดึงล็อกสลับกับเคาะกระจกรถ แต่ดูเหมือนว่าคนที่นั่งอยู่ในรถยังไม่ได้ยิน
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
“คุณครับเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” อินซอฟเคาะกระจก ปากก็ร้องตะโกนถามไปอย่างเสียอารมณ์ คนยิ่งรีบๆ อยู่ลงมาช่วยก็บุญเท่าไหร่แล้ว นี่ถ้าเขาและนายไม่ผ่านมาทางนี้ สงสัยแม่สาวน้อยคนขับคงนั่งบื้ออยู่ในรถจนถึงเช้าเลยมั้ง
‘เป็นผู้หญิงขับรถคนเดียวค่ำๆ มืดๆ มันก็อันตรายอยู่แล้ว นี่ฝนก็ตกหนักอีกไม่รู้จะรีบไปธุระที่ไหน รอถึงพรุ่งนี้เช้าไม่ได้หรือไงกัน ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งนะ จะจับฟาดให้หลังลายเลย’
“มีอะไรหรือเปล่าอินซอฟ ใครเป็นอะไรบ้างไหม” ฟารฮานร้องถามลูกน้องมาจากในรถ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้อยากลงไปช่วยหรอก แต่เพราะมโนธรรมในใจมันดันชนะตัวเดวิล เลยบอกให้อินซอฟหยุดรถและลงไปทำการช่วยเหลือ
มือใหญ่เปิดดูแฟ้มเอกสารที่ได้รับแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี เดือนนี้ผลประกอบการของบริษัทได้กำไรเพิ่มจากสามเดือนที่แล้วถึงห้าเปอร์เซ็นต์ โครงการที่วางไว้ เปิดตลาดแห่งที่สองใกล้จะสำเร็จแล้ว ถ้าผลประกอบการของบริษัทเป็นแบบนี้อีกสักหกเดือน พี่ชายต้องอนุมัติให้เขาไปเปิดสาขาที่ประเทศบรูไนแน่นอน
“สงสัยยังช็อกครับนาย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ” อินซอฟตะโกนตอบกลับไป ร่างหนาเดินไปหยุดหน้ารถตรงที่มีแสงไฟ สองมือโบกสะบัดหวังว่าคนที่อยู่ในรถจะเห็นสลับกับการวิ่งไปเคาะกระจก และดูเหมือนความพยายามจะเป็นผล ร่างเล็กที่นั่งอยู่ในรถมีอาการขยับเขยื้อนและตอบสนอง
“คุณ...คุณเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ต้องไปโรงพยาบาลไหม”
“คะ...” ปิยาพัชรที่ยังมีสีหน้างงๆ อยู่เริ่มมีสติขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกจากด้านนอก ดวงตากลมโตยังคงเบิกกว้าง ใบหน้ายังคงซีดเผือด เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดเต็มมือและใบหน้า อีกทั้งมือเล็กก็เย็นเฉียบราวกับวางอยู่บนน้ำแข็ง จับล็อกประตูรถไว้แน่น
จากที่ดีใจว่ามีคนใจดีลงมาช่วยเหลือ แต่พอได้เห็นใบหน้าผู้มาให้ความช่วยเหลือที่รกครึ้มไปด้วยหนวดและเครา แล้วยังอยู่ในชุดแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นอีก ก็ทำให้ปิยาพัชรเกิดอาการหวาดกลัวซ้ำขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มือที่ว่างอยู่รีบควานหาโทรศัพท์เครื่องเล็กที่เมื่อครู่เหมือนมันกำลังส่งเสียงร้องอยู่ด้วย แต่ตอนนี้กลับเงียบสนิท
ก๊อกๆ
“คุณ...ไขกระจกมาคุยกันก่อนซิ” อินซอฟเคาะประตูอย่างหัวเสียหนักขึ้น นี่ถ้าไม่เห็นว่าคนในรถเป็นผู้หญิงและอยู่คนเดียวละก็ เขากลับไปขึ้นรถและขับพานายไปถึงที่หมายแล้ว ไม่มาสนใจแม่สาวน่ารำคาญนี่ให้เปลืองเวลาอยู่หรอก
ปิยาพัชรสองจิตสองใจว่าจะทำไงดี ตอนแรกว่าจะโทรหาเพื่อนให้ออกมาทำการช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่าที่โทรศัพท์เงียบหายไป เพราะแบ็ตหมด วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรเธอป้ำๆ เป๋อๆ แรงกว่าพี่สาวเสียอีก ขนาดเห็นแล้วว่าโทรศัพท์ใกล้จะแบ็ตหมดยังไม่ยอมเอาไปชาร์ตอีก แล้วเป็นไงล่ะ ผลสุดท้ายก็ต้องมานั่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ในรถนี่คนเดียว ไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือสงสารตัวเองดี