“ตาเจยังไม่ลงมาเหรอแอ๊น” คนเป็นพ่อเอ่ยถามไปอย่างนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังนัก
“ไม่รู้ค่ะคุณพ่อ สงสัยเมื่อคืนทำรายงานกับเพื่อนดึกมั้งคะ ว่าแต่ทำไมวันนี้คุณพ่อแต่งตัวหล่อจังเลยคะ จะไปอ่อยสาวที่ไหนเอ่ย”
ส่วนลูกก็ตอบออกไปอย่างนั้นไม่แพ้กัน แถมยังเข้าไปกอดแขนพ่ออย่างประจบประแจงกว่าทุกวัน
“จะเอาเท่าไหร่ล่ะเรา ตัวแค่นี้ใช้เงินเปลืองจัง”
แน่นอนว่าคนพ่อรู้ทัน และแม้จะบ่นลูกยังไงสุดท้ายแบงก์สีเทาในกระเป๋าก็ถูกควักออกมาให้เป็นหมื่นอยู่ดี จิณณวัตรยิ้มด้วยความขำ กับท่าทีดีอกดีใจของน้องเมื่อได้เงินใส่กระเป๋า
ส่วนอาทิตยาแอบผ่อนลมหายใจด้วยอาการเหนื่อยหน่ายกับคนร่ำรวยเลี้ยงลูกด้วยเงินมากกว่าความสนใจใคร่อยากรู้ความเป็นไปในแต่ละวันของลูก
แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมานอกจากลงมือกินเงียบๆ และจะตอบเมื่อจิรเดชเอ่ยถามเท่านั้น ซึ่งก็มีไม่กี่คำเลย ด้วยเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงสำหรับนักธุรกิจอย่างเขาที่มีให้มื้อเช้านี้น้อยนิดเต็มที จิณณวัตรเองก็ไม่ใคร่จะได้หันไปมองเลขาแม่นัก เมื่อมีเรื่องงานแล่นเข้ามาในหัวตั้งแต่ตัวยังไม่ได้เข้าออฟฟิศด้วยซ้ำ
“ตะวันเบิกเงินสองหมื่นหน่อย คุณแม่ยังไม่ตื่นฉันไม่อยากจะไปกวน เร็วๆ ฉันรีบเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน”
จิรายุ วัชราเวโรจน์ เดินมาหาในห้องเกือบสิบโมงเช้า กับการแต่งกายเนี้ยบหล่อไม่แพ้ผู้พี่ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ผูกเนกไทตราพระเกี้ยว เข็มขัดหนัง กางเกง รองเท้าและถุงเท้าทั้งหมดสีดำล้วนดูแล้วเรียบร้อยไม่หยอก
แต่สิ่งระคายหัวใจเลขาสาวนั่นก็คือการเรียก ‘ตะวัน’ เฉยๆ ไม่มีคำนำหน้าว่า ‘คุณ’ หรือ ‘พี่’ แต่อย่างใด ก็อีกนั่นล่ะลูกจ้างอย่างเธอเลือกได้ด้วยหรือ
“กลับมาแล้วคุณเจช่วยเอาใบเบิกไปให้คุณผู้หญิงเซ็นมาให้ตะวันด้วยนะคะ”
เมื่อหารายงานการเบิกเงินของจิรายุจากเลขาคนก่อนไม่ได้ อาทิตยาจึงยอมทำตามคำขออย่างไม่เกี่ยงงอนใดๆ แล้วให้สองแม่ลูกไปจัดการเคลียร์กันเอง ป่วยการจะไล่บี้ว่าเบิกเกินงบไปเท่าไหร่แล้ว
ไม่มีคำขอบคุณใดๆ หลุดออกมาจากปากนักศึกษาหนุ่ม นอกจากรีบวิ่งออกไปควบสปอร์ตหรูกับเสียงเบรกดังเอี๊ยดตรงประตูหน้าบ้านเท่านั้น
อดคิดถึงน้องชายวัยเดียวกันกับจิรายุไม่ได้ หนึ่งร้อยบาทขาดตัวต่อวัน น้องๆ จะได้เป็นค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วแต่จะจัดสรรเอาเอง ถ้าอยากได้พิเศษหรือจำเป็นต้องใช้เงินไปทำรายงานหรือกิจกรรมอื่นๆ
ต้องทำงานในสวนกุหลาบช่วยพ่อแม่ได้ค่าจ้างวันละสามร้อยบาทเท่ากับคนงานอื่นๆ ผิดจากลูกคนรวยใช้เงินเป็นกระดาษเปล่า ดวงหน้าสวยสลัดความคิดทางลบออกจากหัว
แล้วตั้งใจทำงานที่ค้างไว้หลายวันให้หมดสิ้น กว่าจะได้ถือเช็คออกไปให้คุณหญิงเพลินพิศก็ห้าโมงกว่าไปแล้ว โชคดีที่ใช้เส้นทางลัดจึงไปถึงในเวลาสี่สิบนาทีเท่านั้น
“แน่ใจนะว่าจะไม่ยกเลิกคิวสาวๆ แล้วมานั่งกินข้าวกับคนแก่อย่างป้าน่ะ”
คุณหญิงเพลินพิศลุกจากเก้าอี้ตรงสนามหญ้า เมื่อหลานชายยืนยันคำเดิม แว่นสายตาถูกถอดออกมองไปยังประตูรั้วสวยงาม ที่อัลติสสีขาวแล่นผ่านเข้ามา นนนทีจึงหันไปมองตามด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นว่าใครลงจากรถมานั้นเขาหันกลับมายิ้มหวานให้ป้าก่อนเอ่ย
“อืมห์!!! คิดอีกทีกินอาหารไทยแปลกๆ สักมื้อก็น่าจะดีนะครับ”
“แน่ใจเหรอตาที แล้วอย่ามาบนเสียดายที่ไม่ได้ไปนั่งอี๋อ๋อกับสาวทีหลังไม่ได้นะ ป้าไม่รู้ด้วย”
“ถ้าไม่อยู่น่ะสิครับคุณหญิงป้า จะน่าเสียใจยิ่งกว่า ว่าแต่คุณตะวันมาทำไมครับ”
เจ้าของดวงหน้าสวยผู้ไม่มีทางล่วงรู้บทสนทนาของสองป้าหลานรีบยกมือไหว้ทันทีที่ลงจากรถได้ และคุณหญิงก็ไม่มีเวลาทันได้ตอบหลานเลย
อาทิตยารีบเปิดกระเป๋าควานหาซองสีขาวออกมาสองซองแล้วยื่นให้ หลังจากถูกชวนให้นั่งลงกับโต๊ะไม้สักเนื้อดีในสนามที่สองป้าหลานเพิ่งจะลุกจากไปแล้ว
“คุณผู้หญิงให้เอาเช็คเงินบริจาคงานแฟชั่นโชว์มาให้คุณหญิงค่ะ”
คนรับไม่ใคร่จะยินดีมากมายนักกับจำนวนเงิน นอกจากส่งยิ้มบางๆ ให้คนถือมาเพียงเท่านั้น ก่อนจะลงมือต้อนให้จนมุมโดยไม่ให้รู้ตัว
“ขอบใจนะจ๊ะ ว่าแต่เลิกงานแล้วล่ะสิตะวัน หรือเจ้านายใช้ไปทำธุระที่ไหนต่ออีก”
“ไม่แล้วค่ะ พอเอาเช็คมาให้คุณหญิงเสร็จ ตะวันก็จะตรงกลับคอนโดเลยค่ะ”
คนถูกถามยิ้มรับสั้นๆ ด้วยท่าทีนอบน้อม
“พักข้างนอกด้วยเหรอ ดีแล้วล่ะจะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง อยู่บ้านนั้นก็รังแต่จะถูกเรียกใช้ยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อนเปล่าๆ แล้วตั้งแต่กลับมาคราวนี้ได้กลับบ้านแต่หัววันกับชาวบ้านเขาบ้างหรือยังล่ะ เห็นเจ้านายหอบไปงานด้วยตลอดเลยนี่”
แม้อาทิตยาจะไม่เคยเอ่ยปากบอกเรื่องราวในบ้านของเจ้านายเลยสักนิด แต่คนผ่านร้อนผ่านหนาวมานานก็อ่านออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง บวกกับความดีครั้งยิ่งใหญ่ที่ชมจันทร์ทำไว้กับพ่อแม่อาทิตยาในอดีตถูกนำมาเล่าครั้งแล้วครั้งเล่า คนแล้วคนเล่า
ทำให้อ่านจนขาดว่าเพราะอะไรว่าที่ดอกเตอร์ถึงไม่ยอมไปทำงานที่อื่นสักที แม้จะลาออกไปแล้วก็ยังอุตส่าห์กลับมาเพื่อรับหน้าที่ทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ แทบจะหาเวลาส่วนตัวไม่ได้
“มีค่ะ ก็วันนี้ไงคะ”
ดวงหน้าสวยใสยิ้มพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มหู ส่วนคนก็ยิ้มด้วยความปรีดา
“ตายจริง ว่าจะไหว้วานตะวันให้ช่วยทำอะไรสักหน่อย ไม่เอาดีกว่าจะได้ไม่รบกวน ฉันเองก็อยากให้ตะวันกลับบ้านไปพักผ่อนเร็วๆ เหมือนกัน”
ดวงหน้ายิ้มอยู่เมื่อครู่ของอาทิตยาหุบลงทันที ก่อนจะรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงสีหน้าและท่าทีเป็นการเป็นงานโดยไม่รู้เท่าทัน
“ไม่เป็นไรค่ะคุณหญิง ถ้ามีอะไรให้ตะวันรับใช้ก็ยินดีค่ะ จะกลับบ้านช้าอีกสักวันก็ไม่เป็นปัญหาค่ะ”
“แน่ใจนะ รับปากฉันแล้วอย่ามาบ่นเสียในทีหลังไม่ได้นะ” เจ้าของบ้านยิ้มอย่างมีเลศนัย