บทที่ 2 หลักฐาน

2248 คำ
นับว่าสวรรค์ยังเข้าข้างเสวียนซือชิงอยู่บ้าง ฝนที่หลั่งไหลราวฟ้ารั่วตั้งแต่ฟ้าสว่างเมื่อวานได้หยุดลงในปลายยามอิ๋น[1] นางจึงรีบตื่นมาทำความสะอาด นำถังไม้ที่รองน้ำจากรอยรั่วของหลังคาไปเทไว้ในโอ่ง เช็ดถูส่วนที่เอ่อล้นออกมาอย่างขยันขันแข็ง สามปีก่อนนางทำเรื่องเหล่านี้ไม่เป็น ถนัดเพียงการปักผ้าตามที่ท่านแม่ใหญ่เคยสั่งสอน ออกแบบลวดลายสวยงามจนใครต่อใครที่ได้เห็นพากันชื่นชมไม่ขาดปาก ทว่าหลังจากแต่งเข้าตำหนักเยว่ฉี เสวียนซือชิงเรียนรู้ทุกอย่างจากแม่นมสุ่ย ปัดกวาดเช็ดถูและซักผ้า กระทั่งทำอาหารก็สามารถทำได้อย่างไร้ที่ติ แม้จะมีวัตถุดิบไม่มากก็ตาม แรกเริ่มที่ย้ายมาอยู่ แม่นมสุ่ยพยายามจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง แต่นางอายุมากแล้ว อดทนทำงานหนักได้ไม่นานก็หมดแรง เดือดร้อนต้องหายาบำรุงอยู่เรื่อยไป ท้ายที่สุดจึงยอมสอนงานทุกอย่างให้กับคุณหนูเสวียน เผื่อว่าวันใดนางไม่อยู่แล้ว คุณหนูผู้อาภัพจะได้ไม่ลำบากนัก แม่นมสุ่ยเดาไม่ผิดนัก นางอยู่ที่ตำหนักเยว่ฉีได้เพียงปีเศษก็จากไปอย่างสงบ ราวกับนอนหลับไปอย่างนั้นเอง เสวียนซือชิงจำได้ว่านางร้องไห้นานสามวัน วิ่งถลาออกไปขอร้องบุรุษที่แวะมาส่งข้าวสารให้ช่วยเหลือจัดการเรื่องพิธีศพให้ดี ทั้งยังยัดเยียดเงินที่มีอยู่เพียงน้อยนิดให้เขาเป็นการตอบแทน “จะทำอย่างไรดี จึงจะพิสูจน์ได้ว่าเรื่องที่ชายผู้นั้นพูดเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ” นางปัดกวาดเช็ดถูจนเรียบร้อยดี จึงนำผ้าสกปรกมาทำความสะอาด ในช่วงเวลานั้นเองที่แขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวต่อหน้าอีกครั้ง เสวียนซือชิงไม่กล้ามองหน้า กลัวว่าความงามของเขาจะทำให้ลืมเรื่องที่ต้องการพูดไปจนหมดสิ้น นางก้มหน้าซักผ้า ตอบคำถามให้สั้นที่สุด ไม่รู้ว่าเผลอพูดเรื่องอันใดขัดหู ชายผู้นั้นจึงผลุนผลันกลับเข้าห้องนอนไป หลังจากมั่นใจว่าร่างกายของตนเองสะอาดดีแล้ว เสวียนซือชิงจึงนำข้าวต้ม ผักดองอีกสองอย่าง รวมถึงน้ำชาที่ชงด้วยใบชาราคาถูกที่สุด นำไปวางบนโต๊ะในห้องรับรองแขก คนผู้นั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงออกมาพบนาง “ที่นี่ไม่มีอะไรสะดวกสบาย ลำบากคุณชายแล้ว” เสวียนซือชิงเห็นว่าเมื่อวานเขาไม่ได้บังคับจิตใจนาง จึงยอมวางใจขึ้นมาหลายส่วน แต่ก็ยังต้องระมัดระวังให้มากอยู่ดี “ไม่มีเนื้อสัตว์เลยหรือ กระทั่งไข่ก็ไม่มีเช่นนั้นหรือ” นางอยากจะบีบคอเขานัก เห็นชัดอยู่ว่านางอัตคัดขัดสนเพียงใด ยังสอบถามให้เจ็บช้ำน้ำใจกันอีก “ข้ายังพอมีข้าวสารเหลืออยู่บ้าง หากคุณชายรอได้ ข้าจะนำไปแลกไข่มาสักสองฟอง...” “ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปหากินที่โรงเตี๊ยมข้างหน้า แล้วจะนำหนังสือยืนยันกลับมาว่าตวนอ๋องยกทุกอย่างที่นี่ให้กับข้าแล้วจริง ๆ หากเวลานั้นมาถึง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำตัวเสียมารยาทเช่นเมื่อคืนที่ผ่านมาอีก” “ข้าอยู่ที่นี่นานสามปีไม่เคยมีแขก เว้นแต่พ่อค้าหลี่ที่แวะมาส่งข้าวสารอาหารแห้งนาน ๆ ครั้ง ตื่นกลัวคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักชื่อไปบ้าง คุณชายโปรดอย่าได้ถือสา” เสวียนซือชิงจำต้องคงความสุภาพเอาไว้ก่อน หากเขาคือบุรุษที่ตวนอ๋องส่งมาให้นางดูแลจริง นางจะได้ไม่ทำให้พระสวามีที่ไม่เคยเห็นหน้าต้องเสื่อมเสีย “ข้ากำลังจะเป็นสามีเจ้าในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เรียกกันว่าคนแปลกหน้าหาสมควรไม่ เสวียนซือชิง ข้ามีนามว่าเฉินหยาง จากนี้ไปจงเรียกข้าว่าท่านพี่ อย่าได้ทำตัวห่างเหินให้ข้าต้องเหนื่อยใจอีก” เสวียนซือชิงปวดร้าวอยู่ในอก บุรุษตรงหน้าใช้แซ่เดียวกับตวนอ๋องเฉินฟาหยาง หรือว่าเขาจะเป็นญาติห่าง ๆ ที่นางไม่เคยรู้จัก แต่จะว่าไปแล้ว นางเคยรู้จักพระสวามีของตนเองอยู่หรือ “ท่านเป็นอะไรกับท่านอ๋องหรือ” “ญาติห่าง ๆ ทว่ามีบุญคุณช่วยเหลือชีวิตเขาไว้ ฟาหยางเห็นว่าข้าเพิ่งย้ายมายังเมืองนี้ ไร้ทั้งที่พักพิงและสตรีอุ่นเตียง จึงเสนอทุกอย่างที่นี่ให้แก่ข้า” เสวียนซือชิงได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งปวดใจ เฉินหยางผู้นั้นเรียกพระสวามีของนางด้วยชื่อ มิใช่ตำแหน่งฐานะ เดาได้ว่าทั้งคู่คงสนิทสนมกันมาก มากจนกระทั่งยอมยกพระชายาตำหนักร้างอย่างนางให้เขาครอบครอง “อย่างไรก็ต้องมีการยืนยันอย่างชัดเจน หาไม่แล้วข้าคงไม่อาจ...ดูแลคุณชายได้” “เรื่องนั้นไม่ยาก เขาอยู่ที่ค่ายทหารนอกเมือง ห่างไปไม่กี่ชั่วยาม หากได้จดหมายรับรองมาแล้ว เจ้าห้ามต่อรองสิ่งใดกับข้าอีก” “หากข้าไม่ได้ยินจากปากของท่านอ๋อง ข้าคงไม่อาจเชื่อได้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง” เสวียนซือชิงเอ่ยเสียงแผ่ว แม้มั่นใจแล้วถึงเก้าส่วนว่าเขาไม่ได้โกหก แต่นางก็ยังไม่อยากให้ทุกอย่างง่ายเกินไป “มากความยิ่งนัก!” “หากข้ามั่นใจว่าเรื่องทุกอย่างเป็นดั่งที่ท่านกล่าวจริง ข้าจะปรนนิบัติท่านอย่างดีที่สุด ข้าขอคุณชายเพียงเท่านี้ไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ” “ซือชิง เจ้าไปที่ค่ายทหารหาได้ไม่ เจ้าก็รู้ว่าตวนอ๋องไม่ชอบหน้าเจ้า และที่ค่ายนั่นยังมีสตรีที่เขาหมายปอง อยากร่วมหอตบแต่งเป็นพระชายาอยู่ด้วย เจ้าไปก็จะทำให้เขาลำบากใจเสียเปล่า” “ท่านล้อข้าเล่นแล้ว ข้าเป็นพระชายา เขาจะแต่งผู้อื่นได้อย่างไร” “ย่อมแต่งไม่ได้ เว้นแต่เจ้าจะยอมหย่าให้เขาก่อน เช่นนี้ดีหรือไม่ เจ้าลองคิดดูว่าอยากได้อะไรจึงจะเชื่อว่าเขาเป็นผู้ออกคำสั่งเอง ข้าจะได้ลองจัดการดู” เสวียนซือชิงเริ่มคล้อยตาม นับว่าคุณชายเฉินหยางผู้นี้ไม่ใช่คนเลวร้ายนัก อย่างน้อยก็ยังเสนอทางออกให้นางบ้าง “ขอบคุณคุณชายเฉินที่ชี้แนะ หากข้าไปเองแล้วเกิดปัญหา ข้าย่อมไม่สมควรไป ส่วนเรื่องหลักฐานยืนยันนั้น ข้าคงต้องรบกวนท่านขอหนังสือเล่มโปรดของท่านอ๋องมาให้ข้า หน้าแรกก่อนถึงเนื้อหาสำคัญมีกระดาษเปล่า ขอให้ท่านอ๋องเขียนข้อความบนหนังสือเล่มนั้น ลงตราประทับให้เรียบร้อย คุณชายพอจะทำได้หรือไม่” เสวียนซือชิงทราบดีว่าที่กล่าวขอไปไม่ใช่เรื่องง่าย แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้นางเชื่อได้ว่าเขาพูดความจริง “หึ! ตวนอ๋องรักการอ่าน มีหนังสือเล่มโปรดหลายเล่ม เจ้ากล่าวออกมาเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเล่มใดหรอก!” “หนังสือเล่มนั้นมีเพียงเล่มเดียว สิบปีก่อนยามที่ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัส นอนพักอยู่ในค่ายทหาร ใกล้บ้านรองแม่ทัพเสวียน ยามนั้นเขานอนซมอยู่หลังม่านเพราะอาการบาดเจ็บ ข้าแวะเวียนไปเยี่ยมบิดา ซุกซนไม่เข้าเรื่อง แอบไปซ่อนในกระโจมนั่น เขาสั่งให้ข้าอ่านหนังสือให้ฟังเพื่อคลายความเบื่อหน่าย หันเหความเจ็บปวดจากบาดแผล กล่าวด้วยว่าหนังสือเล่มนั้นพกติดตัวตลอด อ่านเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเบื่อ ข้าถูกบังคับให้อ่านอยู่นาน จึงแกล้งเขาด้วยการวาดรูปไร้สาระลงไปในกระดาษแผ่นสุดท้าย” เสวียนซือชิงจำได้ว่าท่านอ๋องที่นอนซมอยู่หลังม่านนั้นโกรธอย่างมาก แต่หากขยับเขยื้อนบาดแผลอาจปริแตก นางจึงรอดตัวไปอย่างหวุดหวิดที่สุด ได้ยินว่าเขาพยายามตามหาเด็กชายตัวเล็กที่ทำหนังสือมีตำหนิอยู่หลายวัน แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ นางไม่ใช่เด็กชายจะหาพบได้อย่างไรกัน โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง… เฉินฟาหยางไม่ใช่คนยุ่งยากเรื่องอาหารการกิน เขาเป็นถึงพระอนุชาต่างมารดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน รั้งตำแหน่งตวนอ๋องมาตั้งแต่อายุได้สิบหกชันษา ได้รับความไว้วางใจให้ควบคุมดูแลกองทัพ ออกรบยามมีปัญหาบริเวณชายแดน แต่กระนั้นยามลำบากที่สุด ข้าวต้มที่ได้กินยังมีเมล็ดข้าวมากกว่าถ้วยเล็ก ๆ ที่เสวียนซือชิงนำมาให้เสียอีก ได้ยินว่านางจะนำข้าวสารไปแลกไข่ เขาก็หมดความอยากอาหารทันที! แม้จะเกลียดชังนางมาเพียงใด แต่เฉินฟาหยางกลับต้องยอมรับว่านางฉลาดรอบคอบเป็นอย่างมาก ทั้งยังไขข้อข้องใจที่คั่งค้างมานานว่าใครคือผู้ที่ขีดเขียนหนังสือเล่มโปรดของเขา “ที่แท้มิใช่เด็กผู้ชาย” เฉินฟาหยางลืมคิดไปว่าค่ายทหารไม่ใช่สถานที่สำหรับสตรี นางแต่งตัวเป็นบุรุษ ลอบเข้ามาเยี่ยมเยียนบิดาย่อมไม่ใช่เรื่องประหลาด ยามนั้นเขาต้องดาบของทหารเลวบริเวณแผ่นหลัง บาดเจ็บสาหัส แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ต้องนอนคว่ำและห้ามขยับตัวนานหลายวัน คราวนั้นต้องดื่มกินสมุนไพรหลายประเภทเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด รู้สึกคล้ายมึนเมาตลอดเวลา นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาแยกแยะเสียงของเด็กน้อยที่อยู่หลังม่านไม่ได้ ย้อนหลังไปสิบปี ยามนั้นนางอายุเพียงแปดขวบ อ่านออกเขียนได้ทั้งที่เป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียว ทั้งยังเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยา นับว่าเสวียนซือเหยาสั่งสอนนางได้น่าประทับใจยิ่งนัก แต่น่าประทับใจแล้วอย่างไร สุดท้ายรองแม่ทัพผู้นั้นก็ทำให้เขาผิดหวัง... “ไปนำสุรามาเพิ่ม!” เฉินฟาหยางออกคำสั่งต่อเสี่ยวเอ้อร์ ไม่ลืมตบโต๊ะอย่างเอาแต่ใจอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวานเขาดื่มไปมาก สุราที่นำติดมือมาด้วยหมดไปเพราะความหนาวเหน็บ หากไม่ดื่มก็คงแข็งตายกลางพายุแล้ว พอนึกได้ก็รีบขอบคุณสวรรค์ที่นางไม่ได้แตะต้องสุราที่อยู่ในห้องเก็บสุรา ยี่สิบปีก่อนเป็นอย่างไร ยามนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น กระทั่งทุกห้องในตำหนักเยว่ฉีเองก็เช่นกัน เว้นแต่ห้องนอนของเสวียนซือชิงที่ยังไม่ได้สำรวจดู ในระหว่างที่รอศิษย์น้องอยู่ เฉินฟาหยางก็รำลึกถึงเรื่องราวในอดีต สามปีก่อนเขาถูกรองแม่ทัพเสวียนซือเหยาทวงสัญญา ว่าหากตนไร้ซึ่งลมหายใจก่อนที่บุตรสาวจะได้แต่งงานผ่านพิธีมงคล เขาจะต้องดูแลนางให้ดีและจะต้องอยู่ในตำแหน่งพระชายาเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเสวียนซือเหยาจะสิ้นลมหายใจก่อนที่บุตรสาวจะได้ออกเรือนจริง ซ้ำยังไม่ใช่เพราะคมดาบคมกระบี่ของข้าศึก แต่เป็นเพราะถูกประหารเนื่องจากขัดคำสั่งเขาผู้เป็นแม่ทัพ เป็นเหตุให้องค์ชายรัชทายาทเหวินจงเหลียนต้องสิ้นพระชนม์กลางสนามรบ องค์ชายรองเหวินฉีตกหน้าผา ตามคำบอกกล่าวของเหล่าทหาร ปรากฏว่าธนูปักอยู่เต็มแผ่นหลัง โอกาสรอดชีวิตจึงเป็นไปไม่ได้ มีเพียงองค์ชายสามเหวินอวิ๋นฝูเท่านั้นที่รอดกลับมา เพื่อรักษาคำพูดของตนแล้ว เขายอมแต่งสาวงามที่เพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นได้ไม่นาน แต่จะให้รับเข้าจวนอ๋องในเมืองหลวง อยู่เป็นหนามตำตาตำใจ ตวนอ๋องเฉินฟาหยางไม่ใช่คนใจกว้างมากถึงเพียงนั้น การยินยอมให้นางอยู่ตำหนักร้างที่เขาเกลียดชังไม่ต่างจากมารดา นับว่ามีเมตตามากพอแล้ว “คุณชายขอรับ มีม้าตัวหนึ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยม ไร้เจ้าของดูแล ทั้งยังดุร้ายไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ข้าน้อยเห็นผ้ารองนั่งตรงอานม้ามีลวดลายคล้ายเสื้อผ้าที่คุณชายสวมใส่อยู่ มิแน่ใจว่าเป็นม้าของคุณชายหรือไม่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์รีบแจ้ง คุณชายท่านนี้ดูน่าเกรงขามกว่าแขกหลายคนที่แวะเวียนมายังโรงเตี๊ยม ทั้งยังหน้าตาบูดบึ้งคล้ายอารมณ์ไม่ดี จึงควรอยู่ให้ห่าง ไม่รบกวนหากไม่ใช่เรื่องที่เร่งด่วนจำเป็น “ย่อมต้องเป็นซวี่หยา เจ้าไปนำหญ้าและน้ำให้เขาดื่ม หาคอกที่สะอาดที่สุดให้ได้พักผ่อน” ม้าตัวโปรดของเขาคือซวี่หยา ปกติแล้วสงบนิ่งอย่างมาก ทว่าฝีเท้าดีและดุดันยามออกศึก เป็นไปได้ว่าคืนที่ผ่านมาคงเหนื่อยเกินทนไหว บวกกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่ดังอย่างต่อเนื่อง ทำให้มันเตลิดหนีไปชั่วคราว แต่เรื่องนี้จะโทษซวี่หยาก็ไม่ได้ หากเขาไม่อยากเอาใจโฉมงาม ยอมขี่ม้าออกนอกเส้นทาง ป่านนี้คงนอนหลับสบายอยู่ที่ค่ายทหารแล้ว ใช่แล้ว! เฉินฟาหยางออกนอกเส้นทางเพราะสตรี หาได้ตั้งใจแวะมายังตำหนักเยว่ฉีแต่อย่างใดไม่ [1] เวลา ๐๓.๐๐ – ๐๔.๕๙ น.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม