มาร์คินหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดคราบเลือดบนริมฝีปากที่เกิดจากการกระแทกกับนาร์มินเมื่อกี้ด้วยความรู้สึกหัวเสีย
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใคร มึงรู้จักไหมไอ้เร็น” เขาเอ่ยถามคนสนิทที่นั่งอยู่ข้างกายคนขับเสียงเข้ม
“รู้จักครับ เธอเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเธียระกิตติ์” เร็นตอบกลับมาร์คิน ก่อนจะเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ตอนนี้บริษัทของตระกูลเธียระกิตติ์กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตอย่างหนัก ซึ่งมีโอกาสล้มละลายสูงมาก”
“….”
“การที่ลูกสาวคนโตของตระกูลเธียระกิตติ์มาหานาย ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจ เธอคงมาขอให้นายช่วย”
“ถ้าเห็นผู้หญิงคนนี้มาที่บริษัทอีก ไล่ให้ไปให้พ้น”
“ครับนาย” เร็นตอบรับคำสั่งจากมาร์คิน พลางแอบชำเลืองมองเจ้านายผ่านกระจกหลัง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้คงสร้างความขุ่นเคืองให้แก่มาร์คินไม่น้อย เพราะเท่าที่ฟังจากน้ำเสียง มันบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้านายหนุ่มไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาสักเท่าไร
“ตอนที่นายกำลังประชุม คนของเราโทรมาบอกว่ารู้ตัวหนอนบ่อนไส้แล้ว”
“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน”
“อยู่โกดังครับ”
“คืนนี้กูจะเข้าไป” เขาตอบ ก่อนจะเบือนใบหน้ามองไปนอกกระจกหรู เหตุการณ์ที่ผ่านมายังคงทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองไม่หาย รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้เพราะไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเขามาก่อน
เขาจำผู้หญิงคนนั้นได้ดี เธอคือคนเดียวกับที่ยืนร้องไห้อยู่บนสะพานในคืนนั้น
ทางด้านนาร์มิน เธอนั่งถอนหายใจบนรถหรูที่กำลังขับเคลื่อนบนถนน ในมือถือกระดาษทิชชูที่เพิ่งเช็ดคราบเลือดบนปากตัวเอง ไม่ใช่แค่มาร์คินที่ปากแตกจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตัวของเธอเองก็เช่นกัน
ตอนนี้เริ่มจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้มาร์คินยอมตกลงร่วมทำธุรกิจกับบริษัทของทางบ้าน รู้ว่าการได้ตัวเขามาร่วมทำธุรกิจด้วยมันยาก แต่ไม่คิดว่าจะยากขนาดนี้
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ช่วยดึงเธอออกจากภวังค์ความคิด สายตาละจากวิวนอกกระจกรถมามองเบอร์บนหน้าจอสี่เหลี่ยม พอรู้ว่าเป็นเบอร์น้องจึงหยิบมาปัดรับสาย
“ว่า”
(เป็นยังไงบ้างเรื่องคุณมาร์คิน)
“พ่อให้โทรมาถามเหรอ?)
(อือ พ่อติดประชุม เลยให้ผมโทรมาถามแทน)
“ไม่สำเร็จ”
(ผมว่าแล้วว่าต้องไม่สำเร็จ คุณมาร์คินไม่เคยตอบตกลงทำธุรกิจกับใคร ยิ่งเป็นบริษัทที่กำลังประสบปัญหาอย่างบริษัทของครอบครัวเรายิ่งยากเข้าไปใหญ่)
“พี่หมดปัญญาแล้ว เมื่อกี้เพิ่งทำปากเขาแตกไป เขาคงไม่อยากเจอหน้าพี่แล้วมั้ง”
(พี่ไปทำอีท่าไหนให้คุณมาร์คินปากแตก?)
นาร์วินเลิกคิ้วถามพี่สาวด้วยความมึนงง นาร์มินเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดไปก็ตกใจเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรหรอก มาช่วยพี่คิดดีกว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้”
(ถ้าจะบอกให้ใช้ความสวยให้เป็นประโยชน์ก็ไม่ได้ เพราะ…)
“จะบอกว่าพี่ไม่สวยเหรอ! ถ้าจะพูดคำนี้หุบปากไปเลยนะไอ้น้องบ้า”
(หึ เดี๋ยวช่วยคิด ตอนนี้ขอขับรถก่อน)
“อืม โอเค” เธอวางสายลงจากน้องชาย ระหว่างนั่งรถไปถึงคอนโดมิเนียมก็เขี่ยโทรศัพท์เล่นเพื่อฆ่าเวลา
ตกดึก
โกดังเก็บสินค้า K.
ผัวะ! ผัวะ!!
มาร์คินยืนมองชายที่เป็นหนอนบ่อนไส้ซึ่งกำลังถูกลูกน้องตัวเองซ้อมอย่างหนักนิ่งๆ ระหว่างนั้นก็ยกบุหรี่ในมือขึ้นมาดูดปลายกระบอกแล้วพ่นควันกลิ่นฉุนออกมา ชายคนที่ถูกซ้อมอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด
“พอ” เสียงเข้มของมาร์คินออกคำสั่งกับลูกน้องตัวเอง ก่อนจะทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นแล้วเดินเหยียบตรงไปหาชายในสภาพสะบักสะบอม
“ปล่อยผมไปเถอะ…” ชายในสภาพสะบัดสะบอมยกมือไหว้มาร์คิน อ้อนวอนร้องขอชีวิตจากมาเฟียหนุ่มเสียงสั่น
“มึงรู้ใช่ไหมว่าจุดจบหนอนบ่อนไส้คืออะไร?”
“วะ…ไว้ชีวิตผมเถอะนะครับคุณมาร์คิน ทะ…ที่ผมทำลงไป เพราะมัน…อ๊าก!!!” เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วบริเวณ กระสุนจากกระบอกปืนไร้เสียงของมาร์คินพุ่งใส่แขนข้างขวาของชายในสภาพสะบักสะบอม
“จุดจบของพวกย้ายฝั่ง…คือมันคนนั้นจะไม่มีโอกาสได้หายใจต่อบนโลกใบนี้”
“….”
“หึ มึงไม่ใช่คนแรกที่ถูกกูส่งกลับบ้านเกิด ไม่ต้องห่วง…พวกที่มันร่วมมือกับมึงหักหลังกู กูจะทยอยส่งไปหามึงทีละคน เผื่อที่มึงจะได้ไม่ต้องเหงา”
มาเฟียหนุ่มแสยะยิ้มน่ากลัวใส่ชายในสภาพสะบักสะบอมคนตรงหน้า ปืนในมือเล็งไปกลางหน้าผาก นิ้วชี้ค่อยๆ ดึงกลับเข้าหาตัวเองเพื่อลั่นไกปืนใส่หนอนบ่อนไส้ แต่ยังไม่ได้ทำอะไรก็ต้องหยุดทุกอย่างเพราะมีเสียงจากบริเวณหนึ่งดังรบกวน
เสียงโทรศัพท์…
“เสียงโทรศัพท์ใคร” เขาเอ่ยถามลูกน้องที่ยืนอยู่บริเวณนี้ด้วยกันเสียงเข้ม
สายตาคมเข้มปรายมองไปยังลูกน้องทีละคนทั้งที่มือยังถือปืนเล็งหน้าชายในสภาพสะบักสะบอมอยู่ ลูกน้องมาร์คินต่างส่ายหน้าไปมาเชิงบอกว่าไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของตัวเอง
“ถ้าพวกมึงหาเจ้าของเสียงโทรศัพท์เมื่อกี้ไม่เจอ…กูจะส่งกลับบ้านเก่าไปพร้อมกับมัน!”