บทที่ ๒ เหมือนจะเจ็บไม่พอ(๔)

1643 คำ
มาถึงตัวรถ อุ้งมือร้อนผ่าวก็เปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วผลักร่างบางลงนั่งเค้เก้ ส่วนตัวเองอ้อมไปยังอีกฝั่ง ดึงประตูให้เปิดกว้าง ดวงตาวาวโรจน์กราดมองร่างฟุบอยู่ด้วยความชิงชัง “จะให้ฉันนั่งทับหัวเธอหรือไง ถึงได้ไม่ขยับตัวสักที” ดวงตากลมๆ ช้อนมองคนพูดด้วยความเจ็บไปทั้งใจ เธอค่อยๆ ขยับตัวมานั่งประจำที่ เบี่ยงกายหันหน้าไปมองฝั่งถนน ปล่อยให้คนตัวโตทำอะไรอย่างใจปรารถนา แต่ชั่ววินาทีต่อมา ร่างทั้งร่างก็ต้องแข็งทื่อเป็นหุ่น เพราะอุ้งมือใหญ่รั้งเข็มขัดนิรภัยมาล็อกให้ ขณะที่ลมหายใจร้อนผ่าวของเขารินรดบริเวณซอกคอ จนเธอหายใจไม่ออก ด้านคนหวังดีประสงค์กลิ่นหอมๆ จากกายเล็ก ก็แอบยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาล็อกเข็มขัดนิรภัยของตัวเองบ้าง เมื่อเรียบร้อย ก็ตั้งหน้าเหยียบคันเร่งพุ่งไปตามท้องถนน จุดมุ่งหมายก็คือบริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์ ซึ่งเป็นกิจการสืบทอดจากบรรพบุรุษ ใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็ม ตัวรถมันวาวไร้ฝุ่นจับ ก็จอดแน่นิ่งอยู่โซนจอดรถวีไอพี พร้อมๆ กับพนักงานในชุดยูนิฟอร์มสีฟ้าเข้ม เปิดประตูรถและค้อมตัวให้ด้วยความสุภาพ ดูเหมือนพนักงานวัยกลางคน จะแปลกใจไม่น้อย ที่จู่ๆ ก็มีหญิงสาวสวยหมดจรด แม้อยู่ในชุดมอมแมมก้าวลงจากรถ ดูหน้าตาน่ารักน่าชัง หากแต่ดูคร่าวๆ แล้วแอบน่าสงสาร เพราะดวงหน้ามีแต่ความเศร้าสร้อยเต็มไปหมด เสียงกระแอมของผู้เป็นนาย ทำลายภวังค์นั้นจนหมดสิ้น รีบก้มหน้ามองเพียงปลายเท้าตัวเอง ปล่อยให้นายหนุ่มดึงรั้งร่างบอบบางผู้น่าสงสารหายเข้าไปในตึกด้วยกันสองต่อสอง พ้นแผ่นหลังเจ้าของบริษัท หนุ่มวัยกลางคนถึงกับยกมือตบท้ายศีรษะตัวเองอย่างหวาดหวั่น รีบหมุนกายกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองเช่นเดิม ด้านคนตัวโต ก็รั้งร่างบางเดินผ่านรถสปอร์ตหรูหลากหลายสี มุ่งขึ้นสู่ชั้นสองของตึก ปรี่ตรงไปยังชั้นในสุด ซึ่งเป็นห้องทำงานโอ่อ่าของตัวเอง ผลักร่างบางเข้ามาในห้องเรียบร้อย มือหนาก็จัดการดันบานประตูให้ปิดสนิท แล้วจับจ้องอยู่ที่ร่างของคนตัวสั่น ปรายหางตามองเล็กน้อย แล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวเขื่อง คว้าเอกสารตรงหน้าขึ้นมาเปิดอ่านคร่าวๆ หน้ากระดาษซึ่งมีตัวอักษรเรียงร้อยกันเป็นถ้อยคำ ถูกเปิดผ่านไปหลายสิบแผ่น บางหน้าก็ถูกมือหนาคว้าปากกามาลงนาม บางแผ่นก็ถูกเปิดเลยผ่าน ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง เอกสารปึกเล็กในมือก็เรียบร้อย ดวงตาคมกล้ามองคนยืนอยู่ท่าเดิมแล้วแสยะยิ้ม ก่อนจะขยับยกนาฬิกาประดับบนข้อมือขึ้นมามอง มุมปากนั้นยกยิ้มมีเลศนัย ร่างสูงผละห่างจากเก้าอี้ทำงาน เดินมายืนอยู่ตรงหน้าร่างเล็ก ทิ้งสะโพกลงนั่งบนขอบโต๊ะ ขณะที่อุ้งมือร้อนผ่าว โน้มไปคว้ามือนุ่มๆ แล้วรั้งร่างบางเข้าหาตัว วาดฝ่ามือโอบรอบเอวเล็กไว้แน่น แล้วก้มหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ “ทำงานเสร็จ แล้วมีรางวัลแบบนี้ ฉันชักจะติดใจแล้วสิ” ว่าพร้อมกับลูบบั้นท้ายเล็กอย่างเอาแต่ใจ กระซิบเสียงพร่าชิดเรียวปากอิ่ม “เปลี่ยนบรรยากาศ จากที่บ้าน เป็นที่ทำงานสักหน่อยไหมลูกหว้า...มันคงถึงใจดีนะ เธอว่าไง” คนตัวเล็กจ้องมองเจ้าของคำพูดห่ามๆ อย่างชิงชังรังเกียจ กำปั้นน้อยผลักอกแกร่งไว้อย่างไม่ยอมง่ายๆ ยิ่งเขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ เธอก็ยิ่งดิ้นรนเพื่อหาทางเลี่ยงหลบ “ทำไมฮึ! ไม่อยากทำเรื่องอย่างว่ากับฉันหรือไง ถึงได้เบือนหน้าหนี” สุ้มเสียงคนต่อว่า ช่างแหบพร่าเหลือเกิน หางตาดุคมปรายตามองกลีบปากนุ่มนิ่ม พลางขยับปลายนิ้วแตะเชยคางเล็ก ขณะที่มืออีกข้าง ยังคงเคล้นคลึงสะโพกงามงอนอยู่ไม่ว่างเว้น มุมปากได้รูป กระตุกยิ้มร้ายกาจ เมื่ออีกฝ่ายยังคงมีท่าทีเช่นเดิม คนอยากหาเรื่องจึงเอ่ยลอยๆ “ยอมๆ ฉันเถอะน่า รับรองว่าถึงใจ” “คุณภพ!” สลิลลาเรียกด้วยใบหน้างอง้ำ ก่อนจะเผลอทุบอกกว้างด้วยอารมณ์โมโห “ปล่อยฉัน! ฉันไม่มีวันทำเรื่องพรรค์นั้นกับคุณ ถ้าคุณต้องการมากก็ไปชวนคนอื่นๆ อย่ามายุ่งกับฉัน” กัดฟันโต้ตอบออกไปเสียงขุ่นเขียว “เธอแน่ใจนะ ว่าอยากให้ฉันทำแบบนั้น” เจ้าของคำพูด หรี่ตาแคบมอง “แน่ใจ” “ดีมาก! ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลา เราควรจะออกจากที่นี่กันสักที” ว่าพลางดันร่างเล็กๆ ไปยืนคว้างอยู่กลางห้อง หยิบเอากุญแจรถติดมือ แล้วคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็ก รั้งแรงๆ จนร่างแน่งน้อยปลิวถลาติดมือ หลังจากนั้นช่วงขาแข็งแรงก็ก้าวยาวๆ โดยไม่สนใจคนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งตอนนี้แทบวิ่งตามจนเรียวขาเล็กๆ ปัดเป๋ ร่างเกือบล้มเค้เก้ “เดินให้เร็วๆ หน่อย ถ้าเธอทำฉันหกล้ม เธอจะถูกหักคอ!” ชายหนุ่มหันมาตะคอกลั่นใส่หน้า แล้วเหยียดยิ้มใส่อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาก้าวขายาวๆ มุ่งสู่ทางออก เพียงพ้นประตูกระจก อุ้งมือร้อนผ่าวก็รั้งร่างแน่งน้อยมายืนอยู่แนบข้าง วาดมือโอบไหล่มนอย่างแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เอาให้พรุ่งนี้เปิดทำการ เรื่องนี้กระฉ่อนไปทั้งบริษัทได้ยิ่งดี ทุกคนเขาจะได้รู้กันทั่ว ว่าผู้หญิงหน้าตาน่าเกลียดคนนี้ ผ่านศึกสวาทจากเขามาอย่างโชกโชน ประตูรถถูกปิดเสียงดังลั่นอีกครั้ง ไม่ถึงห้าวิรถสปอร์ตคันโก้ก็กระชากออกจากศูนย์จำหน่ายรถยนต์นำเข้าราวกับพายุ วิ่งตรงอยู่บนท้องถนนด้วยความเร็วร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้มือน้อยชื้นเหงื่อ ต้องบีบประสานกันบนตัก ดวงตากลมๆ ทั้งสองข้าง มองภาพทิวทัศน์ของตึกรามซึ่งผ่านม่านตาไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง กลีบปากสีซีด เม้มติดกันจนเป็นแถบตรง ไม่นานดวงตาทั้งสองข้างก็หรี่แคบ จนปิดสนิทกัน ทว่าไม่ถึงสิบนาที ต้องสะดุ้งน้อยๆ เพราะความเย็นเฉียบของฝ่ามือร้อนผ่าว ทาบทับเข่ามนและทำท่าจะเลิกชายกระโปรงผ้านิ่มขึ้นสูง “ปล่อย!” เธอเปิดเปลือกตาจ้องเจ้าของมือร้ายกาจ ตาแทบถลนออกนอกเบ้า “คุณควรจะตั้งใจขับรถ มากกว่าหาทางเอาเปรียบฉันนะคะ” “ถึงฉันจะลูบๆ คลำๆ เธอจนเนื้อเปื่อย แต่รับรองได้ว่า ความสามารถในการขับรถของฉัน มันไม่ลดน้อยลงหรอก เธอได้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแน่ รับรองด้วยเกียรติคนหล่อแห่งปี” ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน เธอคงจะหัวเราะร่วนจนดวงตายิบหยี แต่ตอนนี้ เธอไม่รู้จักเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมาร่วมปี จึงได้แต่เบือนหน้าหนี โดยไม่ลืมปัดอุ้งมือร้อนผ่าวลูบเข่ามนทิ้ง แทบอยากจะจิกเนื้อของเขาให้ขาดวิ่นติดปลายนิ้ว “นั่งนิ่งๆ ลูกหว้า ให้ฉันจับไปแบบนี้ ขาเธอคงไม่สึกหรอก” “ช่วยให้เกียรติฉันหน่อยได้ไหมคะ” เธอเงยหน้าจ้องตาเขา ขอบตานั้นร้อนผ่าว “ฉันรู้ค่ะ ว่าเกียรติฉันมันคงไม่เหลือแล้ว แต่ได้โปรดอย่าย่ำยีความเป็นคนของฉันมากไปกว่าอีกนี้เลย ถ้าคุณไม่เห็นฉันเป็นคน ทำไมไม่ล่ามโซ่ โยนข้าวให้ทาน เหมือนพวกสัตว์เลี้ยงถูกขังอยู่ในกรงล่ะ ถ้าทางมันคงจะสาแก่ใจคุณดี” ริมฝีปากสีซีด เอ่ยขึ้นด้วยความโกรธเคืองอัดแน่นในใจ “จริงสิ! ฉันว่าไปซื้อกรงกับโซ่มาล่ามเธอก็คงดีเหมือนกัน” มือของคนพูด บีบต้นขาเล็กอย่างแรง พร้อมรั้งชายกระโปรงขึ้น จนเห็นเรียวขาอ่อนขาวโพลน ปลายนิ้วนั้นกดและเคล้นสุดแรงที่มี “เธอจะได้สำนึกตัวเองได้ว่า ควรใช้คำพูดกับฉันยังไง ไม่ใช่มาแสดงท่าทีฮึดฮัดเป็นหมาช่างกัดแบบนี้” ว่าจบก็ผลักเรียวขาเล็กๆ จนไปกระแทกกับประตูรถโครมใหญ่ น้ำตาเม็ดเล็กไหลอาบแก้มนวลทันที ดวงตากลมๆ ต้องรีบกะพริบถี่ๆ เพื่อไล่ความเห่อร้อนซึ่งอุ่นขึ้นรอบดวงตา เบือนหน้าหนีไปมองทิวทัศน์พาดผ่าน ขณะที่มือบางข้างหนึ่งกำลังลูบแผ่วๆ บนเรียวขา ซึ่งคงบอบช้ำเพราะถูกแรงกระแทก ร่างอรชรนั่งแข็งทื่อ ไม่พูดไม่จา ทำเหมือนตัวเองไร้ชีวิต ปล่อยให้คนตัวโต เหยียบคันเร่งไปเรื่อยๆ แม้จะวิ่งเร็วขนาดไหนเธอก็หวั่นกลัวอีกแล้ว หากเป็นไปได้ อยากให้เขาขับรถชนเสาไฟฟ้า หรือไม่ก็ตกลงข้างทาง และขอให้เธอสิ้นใจตายคาที่ ส่วนเขาขอให้รอดชีวิต และอยู่กับความสาแก่ใจ อย่าให้เขาได้ตายตามตกไปตามเธอ เพราะไม่ว่าชาติไหนๆ เธอกับเขาขอให้สิ้นสุดต่อกัน อย่าได้พบเจอกันอีกเลย! ภีรภพปรายหางตามองร่างแน่งน้อยด้วยความรู้สึกบรรยายไม่ถูก ทำไมเมื่อครู่ เขารู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป แต่ความรู้สึกแบบนั้นก็เลือนหาย เหลือทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มลิงโลดประดับบนดวงหน้า เขาต้องท่องจำให้ขึ้นใจ ว่าผู้หญิงคนนี้ ต้องเจ็บ เจ็บเหมือนที่กีรการได้รับ และเธอต้องทรมานจนใจแทบขาด อยากตายก็ไม่มีสิทธิ์ตาย จำเอาไว้สลิลลา อัศวมนตรี!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม