"อืม เข้าเรียนได้ละ” พอกดซ่อนความร้าวรานไว้อย่างแนบเนียนเช่นทุกที ฉันก็คว้าข้อมือเล็ก จับจูงมันออกมาจากโรงอาหารที่แออัดขึ้นทุกชั่วขณะโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมอง “เออ เดี๋ยวฉันเข้าห้องน้ำก่อนนะ แกไปก่อนเลย”
แต่เพราะเกิดปวดท้องน้อยกะทันหัน เมื่อมาถึงตึกเรียนของคณะศิลปศาสตร์ ฉันจึงกล่าว
“อะเค อย่าเข้าสายนะ วันนี้มีควิซ” ด้านเอยพยักหน้า ทว่าก่อนจากกันก็ไม่ลืมเตือนความจำเรื่องควิซที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่สิบนาทีข้างหน้า
ฉันระบายยิ้มแทนคำตอบรับ รอจนแผ่นหลังบอบบางเลือนหายจากระยะสายตาถึงค่อยเดินย้อนกลับไป ทว่าไม่ทันไรก็มีผู้ชายตัวผอมแห้งวิ่งกระหืดกระหอบมาดักหน้าคล้ายรอจังหวะนี้อยู่แล้ว มือซ้ายถือกล่องปริศนาขนาดกระทัดรัดที่มีลักษณะคล้ายกล่องใส่เครื่องประดับ
ชำเลืองมองสิ่งนั้นเพียงไม่นานก็ลากสายตาขึ้นไป...
“มีอะไร” ฉันถาม
นักศึกษาคนดังกล่าวซึ่งคาดว่าเป็นเด็กปีหนึ่งแสดงท่าทีประดักประเดิดให้เห็นเล็กน้อย ก่อนยื่นกล่องพลาสติกนั่นมาให้ฉันในเวลาต่อมา
“พี่ครามฝากมาให้เพื่อนพี่ครับ เอ่อ...พี่ที่ชื่อเอยน่ะครับ”
ฉันยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ” หลังเอ่ยขอบคุณก็ไม่มีบทสนทนานอกเหนือจากนี้อีก ฉันเดินจากมา มุ่งหน้าสู่ห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก ก่อนปิดประตูลงกลอนอย่างเงียบงัน เมื่อโลกใบเล็กปราศจากใครอื่น ฉันถึงทิ้งตัวนั่งบนฝาชักโครก ยกกล่องนั่นขึ้นระดับสายตา เชยชมชิดใกล้พลางบิดยิ้มเช่นคนโง่ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสในการทำใจยอมรับความจริง
โดนมีดกรีดจนไม่เหลือพื้นที่ให้แผลใหม่เบียดแทรก แต่คำว่า ‘ชินชา’ ยังห่างไกลจากพจนานุกรมของฉันอยู่ดี
ใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวไม่นานถึงก็ออกมาล้างไม้ล้างมือ ทว่าก่อนเข้าห้องเรียน...ก็ไม่ลืมโยนไอ้กล่องนี่ลงถังขยะ ปล่อยมันนอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้นอย่างที่ควรเป็น
ทีหลังถ้าจะให้ ก็เอาไปให้เอง ไม่ต้องมาฝากกัน
แล้วก็ไม่ต้องถามถึงจิตสำนึกขั้นพื้นฐานจากฉันด้วย ฉันมาไกลเกินกว่าจะทำตัวเป็นนางเอก เกินเลยคำว่าคนดีมาไกลโขแล้ว
หมับ!
สนองด้านมืดในใจเสร็จสรรพก็ก้าวเท้าออกมา ทว่าพ้นประตูห้องน้ำเพียงคืบเดียวกลับต้องชะงัก...เมื่อถูกฝ่ามือปริศนาคว้าหมับเต็มข้อมือ ทั้งยังบีบบังคับด้วยพละกำลังมหาศาล กึ่งดึงกึ่งกระชากให้หันกลับไปเผชิญหน้าอย่างเอาแต่ใจ
พละกำลังที่เปรียบดั่งโซ่ตรวนนั้นทรงพลังเกินกว่าจะเค้นเรี่ยวแรงมาต้านทาน การด่าทอจึงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันพอจะทำได้บ้างในสถานการณ์นี้ ทว่าวินาทีที่หันกลับไป คำบริภาษหยาบคายนับร้อยกลับหลุบหายอย่างน่าประหลาด เหมือนเส้นเสียงถูกทำลายลงชั่วคราว
คำตอบที่ว่าเขาคือคราม...ประจักษ์ชัดในระยะเผาขน กลิ่นน้ำหอมอ่อนจางผสานกับกลิ่นบุหรี่เผาไหม้ยิ่งช่วยตอกย้ำว่าฉันไม่ได้ตาฝาดไป
“...” ฉันลอบกลืนน้ำลาย
แน่นอนว่าด้วยช่องว่างที่รับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน...ส่งผลให้มองเห็นแม้กระทั่งแววตาดุกร้าวและรังสีมอดไหม้จากเขา เดาว่าคงเห็นตอนฉันเอาของชิ้นนั้นโยนลงถังขยะอย่างไม่ใยดีละมั้ง
มองสบตากันชั่วอึดใจ ริมฝีปากหยักบางก็ขยับเป็นน้ำเสียงเย็นเยียบ “ทำแบบนี้ อยากลองดีใช่ไหม?”
ไม่กี่วินาทีนับจากนั้น ฉันถูกครามลากมาหลังคณะโดยไม่ถามความสมัครใจ
จริงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ครามโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่จากสัมผัสแนบแน่นบริเวณข้อมือที่รุนแรงมากกว่าครั้งไหน เป็นเครื่องชี้ชัดว่าการกระทำของฉันคงทำเส้นความอดทนของเขาขาดสะบั้นโดยสมบูรณ์แล้ว
“จะเอาไง?” ทันทีที่แผ่นหลังทาบติดกำแพงจากแรงดุนดันของคราม เสียงแหบห้วนชวนหาเรื่องก็ดังขึ้นในเวลาต่อมา
“อยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา “จะว่าไป ลากมาในที่ลับตาคนแบบนี้ นายคงมีแผนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วถามกันทำไมว่าจะเอาไง?”
“เพลิง” ครามขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน รัศมีแข็งกร้าวฉายชัดในแววตา ไม่เว้นแม้แต่ภาษากายที่เปลี่ยนจากการยืนประจันหน้าเป็นใช้มือทั้งสองข้างยันกับกำแพง จงใจกักขังฉันไว้ตรงกลางแล้วเค้นเสียงตามมา “ช่วยหยุดอวดดีสักทีมันจะตายไหม”
ฉันแค่นหัวเราะ หาได้หวั่นเกรงต่อแววตาเยือกเย็นทว่าร้อนระอุดุจเปลวไฟ
รู้ทั้งรู้ว่าเขาอันตราย เลือดเย็น และทำได้ทุกอย่างหากหมดความอดทน ทว่าฉันไม่คิดหลบเลี่ยงสายตา ไม่กระตือรือร้นในการเอาตัวรอดแม้ในอนาคตข้างหน้าอาจต้องเจอดี
“แบบไหนที่เรียกว่าอวดดี?” ฉันเอียงคอ “ฉีกยิ้มให้กับนิสัยแย่ ๆ ของนาย ทนรองรับพฤติกรรมไม่เอาไหนของนาย หรือแค่โยนของของนายทิ้ง?”
“...”
“ถ้าเป็นอย่างหลัง ทีหลังก็เอาไปให้มันเองสิ จะฝากรุ่นน้องมาทำไม จะฝากฉันทำไม เก่งกล้านักแล้วจะหลบอยู่หลังคนอื่นทำไมไม่ทราบ?” ฉันบิดยิ้ม ใช้นิสัยอวดดีอำพรางความชอกช้ำ “ขี้ขลาดแบบนี้ไง นายเลยทำได้แค่มอง”
“แล้วเธอไม่ขี้ขลาดตรงไหน?” อยู่ดี ๆ ครามก็ใช้มือซ้ายรั้งปลายคางฉัน ไม่รุนแรง...ทว่าห่างไกลจากความนุ่มนวลหลายส่วน นัยน์ตาคมกริบฉายแววเยาะเย้ยเหมือนสมเพชฉันไม่ต่างกัน... “ต้องคอยเอาของของฉันทิ้งลับหลังเพื่อน แกล้งทำตัวเป็นเพื่อนผู้แสนดีแต่จริง ๆ แล้วอิจฉาจนตัวสั่น”
“...” ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างเงียบเชียบ จับจ้องผู้ชายที่ตัวเองควักหัวใจให้ทั้งดวง ผู้ชายคนนั้นที่เคยดีที่สุดในชีวิต และเป็นคนเดียวกันที่เลวทรามชั่วช้าไม่มีใครเกิน
ก็อยากสลัดทิ้งให้พ้นทาง อยากเหยียบย่ำเขาเหมือนอย่างที่เขาย่ำยีหัวใจของฉัน แต่บทจะลงมือกลับสั่นเทาไปทั้งตัว
“รู้ตัวบ้างก็ดีนะเพลิง” ครามมองลึกเข้ามาในดวงตาของฉัน ดวงตาที่ครั้งหนึ่ง...เขาเคยเอ่ยปากชมว่าสุกใสและงดงาม เป็นหนึ่งในอวัยวะที่เขาทั้งหวนแหนและอยากจับจ้องเพียงคนเดียว แต่สำหรับตอนนี้...มันคงกลายเป็นสิ่งที่เขาสะอิดสะเอียนเมื่อได้มองแล้วละมั้ง “ถ้าจะหาคนขี้แพ้จริง ๆ ในสถานการณ์นี้ มันไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็นเธอที่ทำได้แค่แอบมองฉันอยู่ในเงามืด”
“...”
“เป็นเธอที่เต้นเร่าเวลาเห็นคนอื่นมีความสุข”
“...”
“จำเอาไว้นะ” ความเย็นชาที่เขาหยิบยื่นให้ ไม่ใช่แค่การขยับถอยจนเกิดช่องว่างอันเหินห่าง แต่ยังรวมถึงการย้ำเตือนผ่านประโยคชัดถ้อยชัดคำ... “เธอไม่สำคัญพอจะก้าวก่ายการตัดสินใจของฉัน ไม่มีสิทธิ์ล้ำเส้นฉัน”
“...” นั่นสินะ
“ฟังแล้วก็กดใส่หัวไว้ เพราะฉันจะไม่พูดซ้ำสอง” เฉือนความรู้สึกกันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสร็จก็หมุนตัวเดินจากไป ปล่อยฉันยืนเลือดไหลตรงนี้เพียงลำพัง
เมื่อเสียงฝีเท้าคู่นั้นไกลห่าง ฉันจึงยกมือขึ้นกุมอกซ้าย ขยุ้มจนเสื้อนักศึกษายับย่นไม่เป็นทรง ระหว่างนั้นริมฝีปากก็ไม่วายบิดยิ้มอย่างร้าวราน
ในอดีต ใครกันวิ่งแจ้นมาหาฉัน ใครกันขอให้ฉันตระกองกอดตอนร้องไห้ ใครกันพร่ำบอกว่ารักอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย ใครกันสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต
คนที่เคยเรียกร้องทุกสิ่งจากฉัน จะเป็นจะตายเพราะขาดฉันไม่ได้ ตอนนี้กลับมีหน้ามาดูถูกดูแคลน ทิ้งขว้างความรักที่ฉันมอบให้เช่นขยะเน่าเปื่อย
ผู้ชายอย่างคราม ไม่คู่ควรกับการเป็นคนถูกรักเลยสักนิด
ฉันอยากเกลียดเขานะ อยากขยะแขยงเขา มองข้ามเขา ให้ค่าเขาเพียงก้อนกรวดที่ย่ำเหยียบ
แต่ความพยายามของฉันมันช่างสูญเปล่า เหมือนถูกสาปให้รักคนอย่างเขาไปจนตาย
โคตรไม่แฟร์เลย