:: ตอนที่ 3 ปั่นป่วน ::
“เลิกเรียนตอนไหนก็โทรมาแล้วกัน”
ฉันนั่งทวนคำพูดของแฟรงก์ไปมาอยู่ในหัวหลายรอบหลังนั่งจมอยู่กับเจนนี่ในศูนย์อาหารช่วงพักกลางวัน ระหว่างที่ฉันกำลังลังเลใจว่าจะโทรหาแฟรงก์ตอนนี้เลยดีไหมเพราะว่าคลาสเรียนบ่ายถูกยกเลิกไปเนื่องจากอาจารย์ติดภารกิจอื่น แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจเสียงของเจนนี่ก็ดังขึ้นมา...
“นี่หมอนั่นมาอีกแล้ว”
ฉันเลิกคิ้วพลางมองไปทางที่เจนนี่ชี้ให้ดู แล้วก็ได้เห็นใบหน้าหล่อๆ แบบหวานๆ ของเช็กเดินหน้าตั้งมาทางนี้ ทว่ารอยช้ำที่มุมปากกลับทำให้ใบหน้าหล่อหวานแบบคุณชายอย่างเขาดูผิดหูผิดตาแทบจะกลายเป็นไอ้หน้าอ่อนริอ่านเป็นอันธพาลไปในบัดดล!
เชื่อเถอะว่ารอยด่างพร้อยบนใบหน้าที่เกิดจากความรุนแรงมันฉุดคนให้ดูตกต่ำได้ในพริบตา
“เมื่อวานเป็นยังไงบ้าง” เช็กทิ้งตัวลงนั่งทันทีที่มาถึงโต๊ะของพวกเรา เขาไม่คิดแม้จะเอ่ยทักทายฉันหรือเจนนี่เลยสักคำแต่กลับโพล่งคำถามที่มีเพียงเราสองคนเท่านั้นที่เข้าใจ เจนนี่ถึงกับเลิกคิ้วมองหน้าเช็กอย่างสงสัย
“เมื่อวานพวกนายไปทำอะไรกันมาเหรอ?”
คำถามพาซื่อของเจนนี่ทำเช็กถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ฉันลืมบอกไป หมอนี่มันดีแค่หน้าแต่เรื่องนิสัยใจคอน่ะ โคตรจะเสียเลย อยู่ด้วยมากๆ ประสาทจะกินเลยเชียวล่ะ ฉันเคยลองมาแล้ว... นับตั้งแต่รู้ว่าฉันเป็นคนขับรถชนไมค์ และรู้ว่าฉันกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือแก้แค้นของชิน เช็กก็เริ่มมาวนเวียนอยู่ข้างกายฉันไม่ห่าง ยังดีที่เขาไม่ทำให้เรื่องใหญ่โตและพานดึงคนรู้จักของฉันเข้ามาเกี่ยวด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงอึดอัดและคับข้องใจมากกว่านี้
เหตุใดเช็กถึงเข้ามาเอี่ยวงั้นเหรอ?
ฉันก็ไม่รู้ว่าหมอนั่นคิดยังไง แต่ฉันว่าคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับชินเท่านั้นหรอก ท่าทางเช็กเองก็เต็มใจและกระหายแก้แค้นอยู่แล้ว คงเป็นเพราะเขาเป็นน้องชายของ ‘ไอเฟล’ แฟนไมค์คนที่ถูกฉันขับรถชนและนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ที่โรงพยาบาล
หมอนั่นคงแค้นแทนพี่สาวก็เลยตามมาช่วยฉันแก้แค้นแฟรงก์กับหวายซึ่งไม่ต่างจากชินเท่าไหร่นัก
ฉันเองก็ไม่เข้าใจ ความสัมพันธ์อันซับซ้อนของคนพวกนี้เท่าไหร่นักหรอก แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือฉันพลอย ติดร่างแหไปด้วยเนี่ยสิ
โคตรซวย
“เฮ้! ว่ายังไง หรือเราจะไปคุยกันที่อื่นดี ท่าทางเพื่อนเธอจะอยากรู้เรื่องของเรามากด้วย”
เช็กเอ่ยออกมาอย่างไม่แคร์เจนนี่เลยสักนิดแถมยังเสียมารยาทชวนฉันไปคุยกันสองคนอย่างไม่ไว้หน้าเจนนี่อีก เห็นไหม บอกแล้วว่านิสัยมันไม่ดีเอามากๆ
งี้แหละ ถึงคบกับคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างชินได้ไงล่ะ
อ้อ!! ถ้าไม่เลวอย่างนี้ก็คงสู้รบปรบมือกับแฟรงก์ไม่ได้ด้วยสินะ
แล้วคนขี้เกรงใจอย่างเจนนี่จะพูดอะไรได้นอกจากอ้าปากเหวอกับความตรงไปตรงมาและเอาแต่ใจของเช็ก
“นี่เช็ก ฉันว่านายเลิกทำแบบนี้ได้แล้วนะ” ฉันตะคอกใส่หมอนั่นเสียงเขียว จากนั้นก็เหลือบมองหน้าเจื่อนๆ ของเจนนี่ที่ถูกกันออกไปเหมือนเป็นคนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้วเธอคือเพื่อนสนิทของฉัน แต่กลับไม่รู้อะไรเลย เจนนี่รู้เพียงแค่ว่าฉันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางกับสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่
จะไม่ให้ฉันหงุดหงิดใช่เช็กได้ยังไง ก็ในเมื่อเขาวางโตทำเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เผลอๆ จะกลายเป็นเจ้าชีวิตของฉันอีกคน ซึ่งนั่นมันจะมากเกินไป แค่ชินเพียงคนเดียวฉันก็ขยาดและรู้สึกหดหู่ใจจะแย่
“อย่าพูดมากได้ไหม ลืมไปแล้วเหรอว่าเธอทำอะไรเอาไว้” เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมอ่อนข้อให้หมอนั่นก็มักจะเอา ความรู้สึกผิดของฉันเข้ามาข่มเหงจิตใจอยู่เรื่อย
ตุ๊ดเอ๊ย!
ฉันกัดฟันกรอดอย่างจนใจที่จะโต้เถียงก่อนจะผุดลุกขึ้นตามบัญชาของไอ้คนที่อยากจะเป็นเจ้าชีวิตของฉันอีกคน ก่อนชำเลืองมองเจนนี่ด้วยแววตาที่อ่อนลง โดยไม่ลืมส่งยิ้มเบาๆ ให้ยัยนั่นเพื่อไม่ให้กังวลหรือคิดอะไรมาก “ฉันขอตัวไปคุยธุระสักครู่นะเจนนี่”
“เอ่อ... อืมๆ” เจนนี่ชักสีหน้าไม่สู้ดีนักหลังจากสบสายตาดุๆ ของเช็ก ยัยนั่นแทบจะโบกมือไล่ฉันกับหมอนั่นให้รีบไปไวๆ ด้วยซ้ำ
เมื่อตัดตัวรำคาญใจอย่างเจนนี่ออกไปพ้นแล้ว เช็กก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนหลังจากที่เราสองคนเดินมาหยุดอยู่หน้าบันไดทางเข้าด้านข้างของศูนย์อาหาร เยื้องกับบ่อปลาขนาดย่อม ซึ่งคนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่เพราะมีป้ายห้าม ‘รบกวนปลา’ แขวนอยู่
“หมอนั่นมันว่าไง”
“ก็ไม่รู้สิ สำเร็จมั้ง” ฉันตอบอย่างไม่ค่อยแน่ใจและไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ เมื่อนึกถึงฝีมือการแสดงละครระดับเหรียญทองของเช็ก เพื่อหลอกให้แฟรงก์ตายใจและเข้าใจผิดว่าฉันถูกเช็กคอยตามรังควาน เพื่อที่หมอนั่นจะได้เห็นใจและคอยตามพิทักษ์ฉันจากผู้ชายป่าเถื่อนอย่างเช็ก มันงี่เง่าเนอะว่าไหม
แต่นั่นมันทำให้ฉันของขึ้นและอกสั่นขวัญแขวนเลยทีเดียวตอนที่เขาเงื้อมือขึ้นจะตบฉันน่ะ “ถามจริงเถอะ นายคิดจะตบฉันจริงๆ หรือเปล่า?” ฉันยังคาใจไม่หาย
หมอนั่นย่นหัวคิ้วก่อนจะส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่คิดจะตบเธอเต็มๆ มือหรอกน่า”
“แกจะตบฉันจริงๆ” โอ้พระเจ้า ใครก็ได้บอกฉันทีว่าหมอนี่มันไม่ได้หน้าตัวเมีย ยังมีหน้าพูดอีกว่า ไม่คิดจะตบเต็มๆ มือ
ไอ้เลว
“เลิกโวยวายได้ไหมฉันยังไม่ได้ตบเธอสักหน่อย”
“ฮืมถ้าแฟรงก์ไม่คว้ามือนายเอาไว้ก่อนนายก็คงจะตบฉันไปแล้วล่ะใช่ไหม”
“หึ...” เช็กไม่ตอบแต่แสร้งทำเป็นยักไหล่เสมองอย่างอื่นไปเรื่อยอย่างน่าโมโห ฉันล่ะอยากตบหน้าขาวๆ ของไอ้บ้านี่สักฉาดแล้วถ่มน้ำลายรดหัวมันจริงๆ ให้ตายเหอะ
“...แล้วที่บอกว่าสำเร็จมั้งน่ะหมายความว่าไง” แล้วหมอนั่นก็หันกลับมาจ้องหน้าฉันแบบเต็มๆ ตาเมื่อเพิ่งนึกได้ว่ายังคุยเรื่องที่อยากรู้ไม่เสร็จ
“เขาไม่ได้ตัวคนเดียวหนิจะได้มาคอยตามฉันตลอดเวลา” ฉันบอกเช็กตามสภาพการณ์เผื่อว่าเขาจะยังไม่ลืมว่าแฟรงก์มีผู้หญิงของเขาอยู่แล้ว จะให้เที่ยวตะลอนๆ มาคอยปกป้องผู้หญิงคนอื่นที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานอย่างฉันมันก็จะดีเกินไปแล้วล่ะ
“หึ! ไม่ต้องห่วงหรอกผู้หญิงของมันกำลังจะถูกชินจัดการแล้ว” รอยเหยียดยิ้มหยันจากปากของเช็กทำฉันรู้สึกเสียวไส้อย่างบอกไม่ถูก ขณะเดียวกันก็สยองแทนผู้หญิงคนนั้นด้วย เจอกับชินงั้นเหรอ เหอะ ผู้ชายคนนั้นไม่เคยปราณีหรือเห็นใจผู้หญิงซะด้วยสิ น้ำตาก็ใช้ละลายความใจเหี้ยมของคนอย่างชินไม่ได้ผล เธอไม่รอดแน่ หวาย
“ถ้างั้นก็หมดหน้าที่ของนายแล้วหนิ” ฉันเตือนสติเช็กอีกหน เผื่อว่าเขาจะนึกได้ว่าไม่ควรมายุ่มย่ามกับฉันอีก แต่หมอนั่นก็ตวัดสายตาแข็งๆ มามองฉันราวกับว่าฉันเพิ่งพูดอะไรผิดไปงั้นล่ะ
“อะไร เข้าใจผิดหรือเปล่า งานของเธอยังไม่เสร็จสักหน่อย”
“นายจะให้ฉันทำอะไรอีก” ฉันส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก็เขาเพิ่งบอกเองไม่ใช่เหรอว่า
ชิน จะไปจัดการกับ หวาย ผู้หญิงของแฟรงก์น่ะ ที่เหลือก็แค่รอให้แฟรงก์มาหาฉันเองเท่านั้นไม่ใช่เหรอ
เช็กเหยียดยิ้มซึ่งฉันรู้สึกว่ามันน่าสะอิดสะเอียดที่สุด
“หึ... ทำให้มันสองคนแตกคอกันจนมองหน้ากันไม่ติดไปเลยไงล่ะ”
ฉันนิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก เมื่อมองสบสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาจะเห็นชีวิตคนอื่นพังพินาศไปต่อหน้าต่อตาของเช็ก พลันในใจก็เกิดความสงสัยขึ้นมา... หวายกับแฟรงก์ สองคนนั่นเกี่ยวข้องอะไรกับไมค์ทำไมทั้งชินที่เป็นเพื่อนของไมค์และเช็กน้องชายของไอเฟลแฟนเก่าของไมค์ ถึงได้โกรธแค้นขนาดอยากทำลายชีวิตให้ย่อยยับได้ถึงขนาดนี้
แต่ที่งงสุดๆ ก็คือทำไมฉันคนนี้ต้องเข้ามาอยู่ในวังวนความเคียดแค้นของคนเถื่อนอย่างนี้ด้วยเนี่ย!
ตึ่งตึงตึ้ง~ ตึ่งตึงตึ้ง~
ระหว่างที่ฉันกำลังหงุดหงิดกับความคิดทำลายล้างคนอื่นของเช็กอยู่นั่นเองโทรศัพท์มือถือก็กรีดร้องขึ้นและคนที่โทรมาก็คือ ชิน
“ฮะโหล” ฉันพยายามกดรับสายและทักทายกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ
(ไง! ทำไมเธอถึงปล่อยให้หมอนั่นมาที่นี่ได้) จู่ๆ เขาก็สวนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ร้อนแรงจนฉันปรับอารมณ์แทบไม่ทัน ตกลงว่าชินกำลังหงุดหงิดอะไรสักอย่างแล้วก็มาโมโหใส่ฉัน
โฮ่! ฉันกลอกตาไปมาอย่างพยายามทำใจ เจริญล่ะ!!
“แฟรงก์น่ะเหรอ?”
(ใช่! ไอ้บ้านั่นมาที่บริษัทกับยัยนั่น มันทำฉันเสียอารมณ์)
หมายความว่าแฟรงก์ไปขัดจังหวะของนายใช่ไหม อย่างที่บอกชินคงจะหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อจัดการกับหวาย ส่วนวิธีการจะเป็นแบบไหนนั้นฉันไม่สนใจและไม่อยากรู้หรอก
“ฉันจะไปรู้เหรอ ก็สองคนนั่นเป็นแฟนกัน เขาก็ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นธรรมดาอยู่แล้วหนิ”
(เงียบไปเลยไม่ต้องสาธยายให้ฉันฟัง หน้าที่ของเธอคือกันหมอนั่นออกจากหวาย อย่าให้มันมาเพ่นพ่านใกล้ๆ เวลาที่ฉันกำลังจัดการยัยนั่นอีก ไม่อย่างนั้นเธอเดือดร้อนแน่)
ข่มขู่ฉันเสร็จคนใจร้ายจอมเผด็จการก็ชิงตัดสายไปเลย ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่ว่าหน้าไหนก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ฉันจ้องมองจอมือถือที่เพิ่งดับแสงไปก่อนจะละสายตาไปมองหน้าเช็กที่จ้องมองมาทางฉันตั้งแต่เริ่มต้นคุยโทรศัพท์กับชินแล้ว
“ฉันขอตัวไปสะสางความแค้นของชินก่อนนะ” ฉันบอกด้วยอารมณ์เหนื่อยหน่ายและอ่อนใจ กำลังจะเดินเลี่ยงออกมาเสียงเช็กก็ดังขึ้นมาก่อน
“ชินยังจัดการยัยนั่นไม่ได้อีกเหรอมัวแต่รีรออยู่นั่นแหละเดี๋ยวเหยื่อก็ตื่นหมด”
“นี่เช็ก! นายอย่าพูดเหมือนคนอื่นเขาเป็นผักปลาจะได้ไหม ไม่คิดเหรอไงว่าสองคนนั้นก็มีจิตใจมีความรู้สึกเหมือนกับนาย ทำไมพวกนายถึงต้องแค้นหวายกับแฟรงก์ถึงขนาดนี้ด้วยฮะ” ฉันตะโกนออกไปอย่างเหลืออด รู้สึกขอบตาร้อนผ่าวอย่างไม่ทราบสาเหตุ เพียงเพราะฉันนึกถึงใบหน้าหล่อเข้มของแฟรงก์หัวใจก็ปวดหนึบขึ้นมาดื้อๆ และก็อึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
“เธอมันจะไปรู้อะไร เงียบไปเลย” หมอนั่นตะคอกใส่หน้าฉันเสร็จก็เดินสวนออกไปอย่างเลือดเย็น เหอะ โหดร้ายไม่ต่างจากชินเลยสักนิด
เมื่อเช็กไปแล้วฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรหาแฟรงก์ ใจหวั่นอยู่ลึกๆ ไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่เลยสักนิด ฉันแทบอยากจะชิงกดวางสายทุกครั้งที่เสียงสัญญาณดัง แต่เพราะหน้าโหดๆ ของชินที่ผลุบเข้ามาในหัวทำให้ฉันไม่กล้าแข็งข้อกับเขา!
(ว่าไง)
“แฟรงก์” ฉันแทบจะตะโกนเรียกชื่อเขาไปแล้วเชียว โชคดีที่ยั้งปากทัน ไม่งั้นหมอนั่นได้ตกใจและงงไปหลายนาทีแน่
(มีอะไร)
“คือว่า...”
(มีอะไรก็รีบว่ามาสิ)
“คือเช็กมาป่วนฉันอีกแล้ว ฮือๆ” หาทางออกไม่เจอก็ร้องไห้มันซะเลย มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนถึงเวลาต้องงัดออกมาใช้สู้รบปรบมือกับภารกิจล้างแค้นนี่แล้วล่ะ
(...แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน) เสียงแฟรงก์ดูเครียดจับใจ จนฉันรู้สึกลำคอตีบตันขณะเอ่ยออกไป
“อยู่ศูนย์อาหาร”
(แล้วหมอนั่นล่ะ มันทำอะไรเธอหรือเปล่า)
“ฮือๆ เขา... เขารู้ว่านายจะมาหาฉันเขาก็เลยรีบกลับไปก่อน ตอนนี้ฉันกลัวมากๆ เลยแฟรงก์ ฉันกลัวเขาจะกลับมาทำร้ายฉันอีก”
(โอเคๆ เธออยู่ตรงนั้นก่อนแล้วกันเดี๋ยวฉันจะรีบไป)
เรียบร้อย! เฮ้อ การหลอกล่อผู้ชายนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยให้ตายเถอะ
ไม่นานแฟรงก์ก็โผล่มา เขาดูหงุดหงิดมากและก็โมโหเอามากๆ จนฉันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามหลังจากที่เขามารับฉันที่ศูนย์อาหารและเดินตามเขากลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างมากนัก
“มีอะไรหรือเปล่าแฟรงก์”
หมอนั่นหันกลับมาจ้องหน้าฉันวูบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ฉันจึงรีบทำตาม
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” หมอนั่นตอบกลับมาอย่างไร้เยื่อใยสิ้นดี ชิ คนอุตส่าห์เป็นห่วงนะเออ ทำเป็นเย็นชาไปเถอะ
“แล้วนี่เราจะไปไหนกัน” ฉันมองหน้าแฟรงก์อย่างสงสัยเมื่อเขาสตาร์ทรถและขับออกจากมหาวิทยาลัยโดยไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ
“ฟิตเนส”
“เฮ้ยแต่นี่มันเพิ่งจะบ่ายโมงเองนะ”
“ฉันจะไป ลูปาร์คอยากว่ายน้ำ” แฟรงก์บอกเสียงเรียบแล้วก็นิ่งไปตลอดทางจนถึง ลูปาร์ค ห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากๆ แห่งหนึ่งของประเทศ แต่มันก็อยู่ไม่ใกล้กับมหาวิทยาลัยของเราเท่าไหร่เพราะงั้นนานๆ ทีฉันถึงจะมาที่นี่สักครั้ง
ใบหน้าที่เคร่งเครียดของแฟรงก์ฉันเดาว่าเขาคงจะเจอเรื่องน่าปวดหัวและก็เครียดเอาการมา ถึงอยากไปว่ายน้ำเพื่อดับความร้อนรุ่มที่ลุกโชนอยู่ในใจ
“เธอจะไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะ ฉันจะไปสระว่ายน้ำ” หมอนั่นบอกหลังจากเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าเรียบร้อยแล้ว ฉันเดินไวๆ เพื่อจะตามหลังแฟรงก์ให้ทัน ให้ตายสิ จะรีบไปไหนของเขานะ อีกอย่างเรื่องไรฉันจะปล่อยให้นายอยู่ห่างล่ะ หน้าที่ฉันก็คืออ่อยนายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้นายอยู่ห่างจากยัยหวายอะไรนั่น แง่ง~! นึกถึงเรื่องนี้ทีไรหัวใจก็สั่นรัวทุกที
ไม่รู้ว่าฉันกำลังกลัวหรือหวั่นไหวกับหน้าเข้มๆ ของหมอนี่กันแน่
“ไม่ดีกว่า”
“ไอ้โรคจิตไม่อยู่แถวนี้หรอกน่า” เมื่อเห็นว่าฉันทำท่าจะเกาะติดเขาแจแฟรงก์ก็รีบพูดกันท่าฉันทันที
“ไม่ใช่ แต่ฉันไม่อยากอยู่ห่างนายนี่”
“อะไรนะ?” คำพูดของฉันทำให้หมอนั่นหยุดกึกแล้วหันกลับมาจ้องหน้าฉันอย่างไม่เข้าใจ เอ่อ... แฟรงก์จ้องฉันตาไม่กะพริบราวกับเพิ่งได้ยินความลับระดับชาติก็ไม่ปาน
บ้าจริง เมื่อกี้ฉันพูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย หน้าฉันร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุขณะพยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้เขาเข้าใจ
“ก็... ก็นายอุตส่าห์รีบมาหาฉันแล้วจะให้ฉันทิ้งนายไปได้ยังไงล่ะ” ฉันละล่ำละลักบอกเสียงสั่น
“ฉันไม่คิดมาก”
แหงะ ใจคอนายคอยแต่จะไล่ฉันออกห่างเลยใช่ไหม
“แต่ฉันคิดนี่”
เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองหน้าด้านก็วันนี้นี่แหละ
แฟรงก์มองฉันตาขวาง
“คิดเหรอ? คิดอะไร”
หมอนั่นหรี่ตามองฉันอย่างจับผิด โธ่เอ๊ย แล้วทำไมฉันต้องรู้สึกประหม่าด้วยล่ะเนี่ย
“ปะเปล่า...” ฉันก้มหน้าหลบสายตาคมกริบที่แทบจะฉีกเฉือนเนื้อหนังฉันออกเป็นชิ้นๆ ถ้าฉันบังอาจคิดเกินเลยกับเขา ไอ้หมอนี่มันน่าหลอกให้รักแล้วหักอกให้แตกดังเปราะจริงๆ เกิดมาไม่เคยเจอผู้ชายที่ไหนหยิ่งขนาดนี้ มีอย่างที่ไหนกันท่าผู้หญิงออกจากตัวเอง
“อ้าวแฟรงก์” ระหว่างที่ฉันกำลังนึกสาปแช่งผู้ชายถือตัวคนนี้ในใจ เสียงสดใสดีใจของใครบางคนก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของผู้หญิงรูปร่างเล็กผอม หน้ามน ตากลม ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มน่ารัก ไม่ใช่คนสวยมาก ไม่ได้หุ่นนางแบบ ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ชวนให้คนที่มองแล้วต้องมองอีกหลายๆ ครั้งอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
ผู้หญิงน่ารักคนนี้เป็นใครกัน กิ๊กหมอนี่เหรอ? ฉันเหล่มองหน้าเครียดๆ ของแฟรงก์ที่บัดนี้คลี่ยิ้มออกมาราวกับไม่เคยมีเรื่องหงุดหงิดใจมาก่อน
“มิลล์ มาทำอะไร”
อ่อ... ยัยนั่นชื่อมิลล์
“มาดูหนังกับเพื่อนน่ะ แล้วแฟรงก์ล่ะ”
“มาว่ายน้ำน่ะ ไปด้วยกันไหม”
โธ่แฟรงก์ ชวนคนอื่นต่อหน้าต่อตาฉันเลยเหรอ นายมองข้ามฉันไปแล้วเหรอไง แง่ง!
“อืม... ไม่ดีกว่า เดี๋ยวเพื่อนว่าเอา นี่วันหลังก็โทรหามิลล์บ้างสิ ว่างๆ จะได้ไปเที่ยวกันไง”
“ก็อยากโทรหานะแต่ไม่ค่อยว่างนี่สิ” แฟรงก์ตอบกลับไปอย่างขี้เล่น ฉันสงสัยจังว่าหมอนี่นิสัยใจคอเป็นยังไงเวลาอยู่กันคนอื่น ท่าทางเขาเฟรนลี่มากๆ มากจนฉันรู้สึกอิจฉายัยมิลล์อะไรนั่น
“แฟรงก์ก็อย่างนี้ทุกทีแหละ ชอบลืมมิลล์ชิๆ”
“เอ้า! อย่าเพิ่งงอนสิ”
“ไม่รู้ล่ะ งอนแล้ว... เออนี่แล้วผู้หญิงใหม่ของแฟรงก์ล่ะเป็นไงบ้าง”
ผู้หญิงใหม่? ประโยคนี้ทำฉันหูตาผึ่งขึ้นมาทันควันหลังจากห่อเหี่ยวไปได้สักพักเพราะบทสนทนาที่สนิทสนมกันของทั้งคู่
หมอนั่นชำเลืองสายตามามองฉันหน่อยๆ ก่อนจะหันกลับไปสบสายตายัยมิลล์ เอ๊ะ! ทำไมต้องมองฉันด้วยเนี่ย
“ก็เรื่อยๆ น่ะ ไม่มีอะไรพิเศษเท่าไหร่”
นายหมายถึงหวายใช่ไหม?
“เหรอ เมื่อไหร่จะได้เปิดตัวเนี่ย”
“ไม่รู้จะมีวันนั้นหรือเปล่านะ มิลล์จะไปไหนต่อเนี่ย”
“อ้อ ไปห้องน้ำน่ะ งั้นขอตัวก่อนนะอย่าลืมโทรมาด้วยล่ะ”
“คร้าบ”
“บาย”
แล้วยัยมิลล์อะไรนั่นก็จากไปพร้อมกับรอยยิ้มและทิ้งความสงสัยเอาไว้ให้ฉันกองโต ฉันตวัดสายตาสงสัยมองหน้าหมอนั่น
แฟรงก์ที่สบตากับฉันพอดีจึงเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจหรือแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจก็ไม่รู้ เขายักไหล่อย่างไม่คิดอธิบายอะไรทั้งนั้นก่อนจะเดินนำฉันไปที่สระว่ายน้ำเงียบๆ
หน็อย เห็นฉันไม่สำคัญเลยไม่อยากจะแบ่งปันเรื่องส่วนตัวด้วยอย่างนั้นเหรอ ชิ