“เป็นยังไงบ้าง” น้ำค้างเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะมันต้องนั่งรอฉันอยู่ด้านนอก
“เย็นวาบ อย่างกับห้องมืด” ฉันพูดแล้วลูบแขนตัวเองเป็นการอธิบายความรู้สึกทั้งหมด
“ตื่นเต้นแทนแล้ว” ยัยน้ำค้างทำท่าทางลุ้น เมื่อพี่บ๊วยเดินออกมาพร้อมกับรุ่นพี่คนอื่น ๆ
“โอเคค่ะน้อง ๆ เนื่องจากปีนี้เรามีเวลาค่อนข้างจำกัดเพราะทางมหาวิทยาลัยแจ้งมาค่อนข้างช้า เลยไม่มีเวลาประกวดเพื่อคัดคนลงแข่ง แต่พวกพี่ก็มีความเห็นแบบเดียวกันว่าเลือกคนนี้ลงประกวด” พี่บ๊วยพูดอธิบายก่อนจะหันไปหาเพื่อนของตัวเองแล้วหันหน้ามาทางพวกเรา แล้วสายตาคู่นั้นก็หยุดอยู่ที่ฉัน เล่นเอาเสียวสันหลังวาบ “พี่ ๆ เลือกน้องระรินนะคะ ขอบคุณน้อง ๆ ที่ให้ความร่วมมือกับพวกพี่มาก ๆ ค่ะ กลับไปทำกิจกรรมกันต่อได้เลย”
แค่พี่บ๊วยพูดไปแบบนั้นทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย ยกเว้นพวกปีหนึ่งที่ถูกเรียกมาพร้อมกันนี้ บางคนก็ทำเหมือนไม่ค่อยพอใจเท่าไร จะมีก็แต่ยัยน้ำค้างนี่ละที่หน้ายิ้มเหมือนเชียร์ฉันอยู่ข้างเวที
“สู้ ๆ นะแกทำได้อยู่แล้ว แกเก่ง แกสวย” ยัยน้ำค้างให้กำลังใจ แต่บอกตามตรงมันไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย
ฉันไม่เคยคิดที่จะทำอะไรแบบนี้ ชอบใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่อยากเป็นจุดสนใจหรืออยู่ในที่ที่ใครต่างก็จับจ้อง เพราะอย่างที่บอกกับพี่บ๊วยว่าฉันเป็นคนไม่มีความมั่นใจหลังจากที่ห่างเวทีมานาน
“ระรินต้องซ้อมคู่กับน้องกายนะ เวลาซ้อมก็จะซ้อมด้วยกัน เดี๋ยวพี่กับรุ่นพี่ปีสี่คนอื่นจะเป็นพี่เลี้ยงให้ ทำความรู้จักกันไว้เลยลูก”
หลังจากที่ปล่อยให้เพื่อนคนอื่นไปทำกิจกรรมเชียร์เหมือนเดิมฉันก็ยังต้องอยู่ฟังพวกพี่ ๆ ที่รับผิดชอบงานนี้เรียกคุยต่อ มีเพื่อนรุ่นเดียวกันอีกคนอยู่ด้วย ชื่อ ‘กาย’ ซึ่งเป็นตัวแทนประกวดเดือนของคณะเราในปีนี้ พอจะรู้จักกันอยู่บ้างจากการทำกิจกรรมรับน้องที่ผ่านมา
“ตื่นเต้นเหรอระริน หน้าซีดเชียว” กายถามแล้วยิ้มแบบกลั้วขำไปด้วย
“อือ นิดหน่อย” จะบอกว่าตื่นเต้นก็ใช่ ลำบากใจก็ใช่
พี่ปีสามและปีสี่ชี้แจงวันเวลาที่จะต้องซ้อมเดิน ซ้อมการแสดงและกิจกรรมที่ต้องเข้าร่วมกับทางมหาวิทยาลัยช่วงประกวดดาวเดือน รวมแล้วคงใช้เวลาประมาณเกือบสองเดือนได้ ตั้งแต่ช่วงซ้อม โพรโมตจนถึงวันประกวดจริง
หากชนะการประกวดก็จะมีเงินรางวัลสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากผู้สนับสนุนและเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งฉันคงไปไม่ถึงขั้นนั้นเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะดีเด่นอะไรมากมาย
“ส่วนการแสดง ระรินอยากทำอะไรคะ การแสดงเขาจะให้ทำคู่กันเลย น้องกายเขาเคยเป็นนักร้องในวงของโรงเรียนพอดี ให้กายร้องระรินเล่นเปียโนดีไหม หรือเราอยากทำอะไรที่ถนัด” รุ่นพี่สาวสองคนหนึ่งถาม นั่นทำให้ฉันคิดหนัก
“บ๊วย!”
“แม่มึงตาย! ตกใจหมด อะไรของมึงเนี่ยอิเนอร์!...”
ขณะที่สมองกำลังคิดคำตอบ ทุกอย่างก็ถูกหยุดชะงักลงเพราะเสียงของใครบางคนที่ตะโกนเรียกพี่บ๊วยจนทุกคนในห้องนี้หันไปมองเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้แต่ฉัน
ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะและขำกันไปกับคำด่าของพี่บ๊วยที่ตกใจเสียงและมือที่ยื่นมาจิ้มเอวจนคนคนนั้นเกือบโดนฝ่ามือหนา ๆ ของพี่แกตบเข้าที่หน้าหล่อเหลานั่น
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาคนนั้นดูดีมาก ๆ จนเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสะกดสายตาของฉันให้มองค้างจนไม่กล้ากะพริบตา กลัวว่าถ้าลืมตาขึ้นมามองอีกครั้งเขาจะหายไปจากตรงนี้
เขาเป็นใครกันทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นหน้าตลอดระยะเวลาสองเดือนในรั้วมหาวิทยาลัยนี้เลย
“เสร็จยังงานมึงอะ ทำของกูด้วย” รุ่นพี่คนนั้นถามพี่บ๊วยแล้วขยับไปนั่งลงข้างเพื่อนตัวเอง
“เออ รู้แล้ว โอนเงินให้กูด้วยอีเนอร์ ไม่ใช่เอาไปเลี้ยงสาวหมด”
“รู้แล้วครับคนสวย แค่ลืม”
หนุ่มรุ่นพี่พูดกับพี่บ๊วยพลางยกมือถือขึ้นมากด แล้วเหมือนเขาจะเพิ่งเห็นว่าฉันนั่งอยู่ด้วย พอเห็นว่าฉันมองอยู่เขาก็ส่งยิ้มมาให้ ยิ้มทั้งปากทั้งตา จนฉันต้องยิ้มตอบด้วยหัวใจที่สั่นระรัว
ตั้งแต่แว็บแรกที่เห็น ฉันก็พูดได้เลยว่าเขาหล่อมาก หน้าตาดี หุ่นดีอย่างกับนายแบบ หัวใจมันวูบวาบเหมือนมีคลื่นอะไรบางอย่างพัดผ่านไปมา
“อย่ามามองเด็กกูแบบนั้นค่ะ โอนเงินมาแล้วรีบไป”
“มองก็ไม่ได้ ทำมาหวง”
“ไว้ใจไม่ได้หรอกมึงน่ะ”
พอพี่บ๊วยพูดจบรุ่นพี่คนนั้นก็หัวเราะชอบใจ ก่อนจะหันไปมองกายที่มองพี่เขาอยู่เหมือนกัน แล้วเขาก็หันกลับมามองฉันอีกรอบ สายตาที่เขามองมามันอธิบายไม่ถูกว่าหมายถึงอะไร แต่สายตาของเขามันฉายแววความขี้เล่นปนจริงจังอยู่ในนั้นจนชวนสับสน
“มึงคัดเองเหรอ”เขาหันไปถามพี่บ๊วยแล้วยิ้ม
“เออ ทำไม จะพูดอะไรไอ้เนอร์ กูตาดีค่ะ”
“ก็เห็นน่ารักดี” เขาพูดหน้าตาเฉย ใบหน้าหล่อเหลานั้นเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา มันมีเสน่ห์จนชวนให้ใจสั่น
“อย่าคิดอะไรเชียว”
“เบื่อว่ะกะเทย ห้ามเก่ง แต่ห้ามกูรักน้องเขาไม่ได้นะ” พูดจบเขาก็ขยับตัวลุกขึ้น “กูโอนไปแล้ว รีบทำงานให้ด้วยนะ เดี๋ยวไม่ทัน”
“เออ รู้แล้ว ทันแน่นอน”
“พี่ไปแล้วนะ”
“คะ...ค่ะ”
ประโยคหลังเขาหันมาทางฉันจึงต้องตอบกลับไปอย่างติดขัด รอยยิ้มของเขาทำเอาจังหวะการหายใจของฉันมันสะดุดไปหมด
พอเขากลับไปพี่บ๊วยก็คุยเรื่องงานต่อ พวกเราต้องกลอกข้อมูลส่วนตัวของตัวเองให้รุ่นพี่ด้วยเพื่อที่พวกเขาจะได้ดูแลและเพื่อให้งานทุกอย่างออกมาดีที่สุด ขณะที่ฉันเองยังสับสนว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองต้องมาทำอะไรแบบนี้ ตั้งใจจะใช้ชีวิตปีหนึ่งแบบสบาย ๆ กินเที่ยว ทำกิจกรรมกับเพื่อนไปวัน ๆ เท่านั้น
“แกอย่าเครียด แกทำได้อยู่แล้วน่า”
หลังจากออกมาจากพวกพี่ ๆ ฉันก็กลับมานั่งกลุ้มกับเพื่อนต่อเพราะหนักใจกับสิ่งที่ต้องทำให้ได้ แบกความคาดหวังของใครหลาย ๆ คนเอาไว้แบบนี้มันโคตรกดดันเลย
ตอนนี้เราอยู่ที่ร้านนม ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย เป็นร้านที่พวกเรามักจะมาแวะหลังจากทำกิจกรรมเลิกดึก ส่วนน้ำค้างมันจะไม่ค่อยได้มานั่งเล่นกับพวกเรานักหรอกเพราะมันต้องทำงานกลางคืน แต่วันนี้โชคดีที่ไม่ตรงกับวันทำงาน
“ถ้าเป็นยัยค้างคงดีกว่า”
“แกนั่นแหละดีแล้ว ฉันจะเอาอะไรไปสู้” น้ำค้างว่าแล้วหัวเราะเบา ๆ
“แกน่ารักไง”
“แกไม่น่ารัก ไม่สวยตรงไหนยัยระริน มีความมั่นใจหน่อยเพื่อน แกสวย ยิ้มก็สวย แค่ยิ้มกรรมการก็เทคะแนนให้แล้ว” ยัย จินเพื่อนสนิทอีกคนว่า
“ไม่อะ ไม่จริง แกอย่ามาพูด”
“แกนี่นะ ฉันอยากจะทุบกบาล” ยัยน้ำค้างส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“ไม่มั่นใจ ฉันกลัว”
“เดี๋ยวพวกพี่เขาก็สอน เดี๋ยวเขาก็พาออกงาน ใจกล้า ๆ หน่อย ถ้าแกทำได้ฉันจะเลี้ยงข้าวแกเดือนหนึ่ง” ยัยจินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“สองเดือนได้ไหม ฉันจะได้มีแรงพยายาม”
“ยัยขี้งก”
ฉันหัวเราะไปกับพวกมัน พลางแอบสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด บอกตัวเองในใจว่าทำได้ ทำได้แน่ ในเมื่อทุกคนคาดหวังขนาดนี้ก็ต้องทำให้ดีที่สุดแล้วล่ะ