Chapter 4
ความซับซ้อนของใจ (2)
"ภูมิคะ ดึกป่านนี้แล้วจะออกไปไหน"
คีติกายืนงงเมื่อจู่ ๆ เจ้าของบ้านก็จะทิ้งหล่อนให้นอนเดียวดายอยู่ในบ้านหลังใหญ่ และดูเหมือนเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็เลยไม่ใยดีกันอีกต่อไป
"ผมจะออกไปธุระน่ะ คุณนอนไปเถอะ"
ตอบโดยไม่หันมามอง นั่นทำให้คีติกาวิ่งตามไปรั้งท่อนแขนแกร่งเอาไว้
"ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ หนิงไม่ยอมให้คุณไป! "
หล่อนออกคำสั่งเสียงแข็ง ประหนึ่งเป็นเจ้าของผู้ชายตรงหน้าทั้งตัวและหัวใจ และนั่นคือความผิดพลาดอย่างมหันต์ หูของหล่อนได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
ภูดิศกระชากแขนออกอย่างแรง ท่าทีต่างกับตอนพาหล่อนมาเมื่อชั่วโมงก่อนหน้าลิบลับ...แววตาดุดันที่ตวัดมองทำให้คีติกายืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่กล้าอ้าปากพูดอะไรอีก
คีติกายืนนับหนึ่งถึงร้อยในใจ ได้แต่มองตามร่างสูงที่เดินห่างไปเรื่อยๆ เขายังคงหยิ่งผยองเหมือนเดิม แผ่นหลังที่หล่อนเคยได้ซุกซบนั้นมองคราใดก็ยังสื่อถึงความยโสโอหัง และหล่อนคิดเข้าข้างตัวเอง สักวันมารยาของตนจะปราบผู้ชายคนนี้ให้ศิโรราบอยู่แทบเท้าได้ เพียงแต่ต้องใจเย็น ทำความเข้าใจเขาไปเรื่อยๆ หล่อนพยายามหลอกตัวเอง
"รีบขึ้นไปกันเถอะครับคุณภูมิ"
เพียงรถจอดที่หน้าคอนโดยังไม่ทันดับเครื่อง ศรุตก็พรวดพรวดพราดลงไปจากรถโดยไม่รอคนขับ ภูดิศดับเครื่องแล้วตามลงไปชายหนุ่มก้าวเร็ว ๆ เพื่อให้ทันเลขาที่ไปยืนรออยู่หน้าลิฟท์
ระหว่างรอลิฟท์ ภูดิศอดที่จะมองคนข้าง ๆ พลางคิดไปด้วยไม่ได้...ศรุตดูร้อนรนเกินเหตุ มันไม่ต่างจากเวลาเขามีท่าทีห่วงใยภริตา
"ผมไม่อยากคิดเลยว่าวินจะทำอะไรบ้า ๆ หรือเปล่า ถ้าเรามาช้าไปล่ะครับคุณภูมิ"
"ฉันว่านายตั้งสติก่อน มันอาจไม่ร้ายแรงขนาดนั้น"
ภูดิศทำได้เพียงบีบเบา ๆ บนบ่ากว้าง เพราะเขาไม่ถนัดเรื่องปลอบประโลมใครเสียด้วย
"ถ้าวินคิดสั้นล่ะครับ"
"ทำไงได้ ก็แจ้งตำรวจว่ามีคนตาย"
คำตอบแบบกำปั้นทุบดินมาพร้อมกับร่างสูงที่พากันเข้าไปในลิฟท์ ศรุตเป็นฝ่ายกดชั้นที่ต้องการ
"คุณไม่รู้สึกอะไรเหรอครับคุณภูมิ อย่างน้อย วินก็คุ้นเคยกับบ้านของคุณ"
ภูดิศกระตุกยิ้ม ทั้งที่ใจคนถามเต้นรัว
"ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะตายแบบไหนเท่านั้น ฉันชาชินกับความสูญเสีย ก็เลยเฉย ๆ เสียแล้วน่ะ"
มันคือการปลอบตัวเองของภูดิศ ใจเขาร่ำไห้ไม่มีใครรู้ กับการตายของบิดามารดาที่ผ่านมาเกือบยี่สิบปีก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้
เป็นอันรู้กัน ศรุตไม่พูดอะไรอีก เขากลัวว่าจะเป็นการไปสะกิดปมในใจของเจ้านาย
จนเมื่อลิฟต์มาหยุดอยู่ชั้นที่ต้องการ ศรุตเป็นฝ่ายเดินนำออกมา อนาวิลบอกเลขห้องเขาไว้ ชายหนุ่มเลยรู้ว่าต้องไปซ้ายหรือขวา
เสียงเคาะประตูห้องดังรัว ๆ อนาวิลดึงตัวเองขึ้นมาจากห้วงภวังค์ หากแต่ยังไม่ลุกไปดู แก้วในมือถูกยกมาจดจ่อที่ริมฝีปาก ก่อนกรอกน้ำสีอำพันที่เหลือติดก้นแก้วลงคอจนหมด แววตาแดงก่ำปรายมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกเงาที่ติดอยู่กับผนังห้อง ผมเผ้าเขายุ่งเหยิงจนดูไม่ได้ น้ำก็ยังไม่ได้อาบมาทั้งวัน สภาพของเขาในตอนนี้ไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับใครทั้งสิ้น แม้เสียงเคาะจะยังคงดังต่อเนื่อง
แน่นอน...สภาพแบบนี้เขาคงไม่ได้สบายดี เขาเป็นฝ่ายถูกทิ้ง จากชายคนรักที่คบกันมานานถึงห้าปี นึกอะไรไม่ออกเพราะสมองเบลอ ความเคว้งคว้างทำให้เขาโทร.ไประบายกับศรุตแบบงง ๆ
เมื่อเสียงเคาะดังจนน่ารำคาญ อนาวิลจึงขยับกายลุกขึ้นอย่างขี้เกียจ สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ทำให้เขาหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
ส่องตาแมวดูจึงรีบปลดล็อก เพราะสองคนที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นไม่ใช่คนอื่นคนไกล สองคู่หูดูโอแต่ต่างสถานะพากันมาเยือนเขากลางดึก
"โล่งไป นี่นายตัวเป็น ๆ ใช่ไหม"
นั่นไม่ใช่คำถามของศรุต แต่มาจากคนที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ
"ดึกแล้วนะ นายลากคุณภูมิมาลำบากด้วยทำไม"
"ฉันกลัวแทบแย่ คิดว่านายจะรมควันฆ่าตัวตายเพราะอกหัก ตอนนี้ยิ่งฮิต ๆ อยู่ คิดอะไรไม่ออกก็รมควันฆ่าตัวตาย กลัวมาเจอนายในสภาพนั้น ก็เลยชวนคุณภูมิมาเป็นเพื่อน"
ศรุตเบาใจไปมาก แม้สภาพคนตรงหน้าจะดูแทบไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้มาเจอในร่างไร้วิญญาณ
'สรุปไอ้คิมมันใช่เหรอ'
ภูดิศลอบสังเกตพฤติกรรมลูกน้อง สายตาที่ศรุตใช้มองอนาวิลมันแปลก ๆ เขาชักจะเอนเอียงเสียแล้ว เพราะอยู่กับเขามาหลายปีศรุตไม่เคยควงแฟนให้เห็นเลยสักครั้งเดียว
เขาหมายถึงแฟนที่เป็นผู้หญิง ไม่เคยเห็นศรุตจีบใคร
จากการผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนสามสิบกว่า และสัญชาตญาณส่วนตัว ภูดิศจึงเอ่ยปากขอตัวไปนั่งรอที่ลอบบี้ชั้นล่าง ปล่อยให้สองคนวัยเดียวกันอยู่กันเพียงลำพัง เขาโตกว่า บางทีอาจคุยอะไรกับสองหนุ่มไม่รู้เรื่อง ที่สำคัญ ตอนนี้ใจเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่ภริตาเห็นชนิดจัดเต็ม นับวันยิ่งแคร์ความรู้สึกของหล่อน นี่คือสาเหตุที่เขาไม่ยอมคบใครจริงจังจนถึงขั้นแต่งงาน