“จะทำแบบนั้น ถ้านายรู้พวกผมตายแน่ ๆ เลยครับ” น้ำเสียงหวาดหวั่นของบอดี้การ์ดที่ตามติดชีวิตของฉัน
พวกเขาตามติดตั้งแต่ที่ฉันย่างก้าวเข้ามาอยู่ในวงจรของคำว่า ‘เด็กเสี่ย’
“ถ้าพวกคุณไม่พูด เขาไม่มีทางรู้หรอกค่ะ” ฉันชี้แนะนำทางด้วยความมั่นใจ
เพราะนาน ๆ ทีเสี่ยผู้มีพระคุณถึงจะโผล่หัวมาให้ฉันเจอ ชีวิตของฉันส่วนมากจึงมีแต่บอดี้การ์ดที่เห็นหน้าเป็นประจำ
“นายไม่ใช่คนโง่นะครับ” เสียงของบอดี้การ์ดคนที่สองแย้งขึ้น
“แต่พีชจะทำค่ะ” ฉันยิ้มตาหยี ทำหน้ามึนทึนไม่สนโลก
“แต่...” บอดี้การ์ดเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง
“ไม่มีแต่ค่ะ พีชแค่ให้เพื่อนรักมาอยู่ด้วย พีชไม่ได้เอาผู้ชายมาอยู่ด้วยสักหน่อย พวกคุณจะกลัวอะไรกันนักหนา ถ้าเสี่ยรู้เดี๋ยวพีชเคลียร์เองค่ะ” ฉันร่ายเรียงคำพูดเสร็จก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าโรงเรียนเอกชนชื่อดังทันที
ฉันชื่อ ‘พีชญา’ หรือเรียกสั้นๆว่า ‘พีช’ ฉันอายุ18จะย่างเข้า19 กำลังจะจบออกจากรั้วโรงเรียน เพื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยที่ฉันไม่ได้สอบ ไม่ได้เอ็น ไม่ได้พยายามอะไรเหมือนคนอื่น ฉันมีหน้าที่แค่ไปเรียนตามตารางชีวิตที่ผู้มีพระคุณจัดเตรียมไว้ให้
ชีวิตฉันไม่ต้องห่วงใคร เพราะไม่มีใครให้ห่วง บุพการีสิ้นชีพเพราะโดนรถยนต์พุ่งชนตอนฉันอายุได้15ปี คนชนขับรถหนีทันที บนถนนไร้รถสัญจร แม่สิ้นใจในเวลาเพียงไม่กี่นาที
เหลือเพียงพ่อที่อาการหนักหนาสาหัส! จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครขับรถผ่านถนนเส้นนี้
ผ่านไปหลายสิบนาที ความหวังที่พ่อจะรอดก็ส่องสว่างพร้อมกับดวงไฟหน้ารถที่กำลังสาดแยงเข้ามาในดวงตาฉัน
พลเมืองดีที่ขับผ่านลงมาจากรถและให้การช่วยเหลือ
แต่ก็ไม่ทันได้ไปส่งโรงพยาบาล พ่อของฉันสิ้นใจเสียก่อน
เฮือกสุดท้ายของพ่อคือฝากฝังฉันไว้กับชายพลเมืองดี พ่อเอ่ยชื่อเขาเสมือนว่ารู้จักกับเขา
และพลเมืองดีคนนั้นก็ตกปากรับคำ
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาดีจริงไหม?
ด้วยความที่ว่าชีวิตฉันไม่มีญาติที่ไหนเลย พลเมืองดีคนนั้นก็เลยจัดการเป็นธุระเรื่องงานศพของพ่อแม่
และรับฉันเข้ามาอยู่ในความดูแลเพียงเพราะคำว่า...แค่สงสาร
‘ฉันแค่สงสารเธอ’
เขาพูดคำนี้ประจำ ตลอดเวลาเกือบ4ปีที่ฉันอยู่ในการดูแลของเขา
ฉันไม่คิดใส่ใจคำพูดของเขาสักนิด เพราะเขาก็ไม่ได้คิดใส่ใจฉัน
“พีชทางนี้” เสียงหวานๆเอ่ยเรียกฉัน และเมื่อฉันหันไปมองก็เห็นผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มกำลังยืนโบกมือเรียกฉัน
ชื่อของเธอคือ ‘ฟิล์ม’ เพื่อนรักเพียงหนึ่งเดียวของฉัน
ฉันไม่ค่อยชอบคบใครเท่าไหร่ก็เลยมีฟิล์มที่สนิทที่สุด ส่วนเพื่อนที่เหลือก็พอคุยได้ แต่ถ้าให้สุงสิงก็คงไม่
“คิดถึงจังเลย” ฉันเอ่ยทักพร้อมด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
“เมื่อคืนก็คุยกันทั้งคืน จะคิดถึงอะไรขนาดนั้น” ฟิล์มยื่นมือมาบีบที่แก้มของฉัน เมื่อฉันเดินเข้าไปถึงตัวเธอ
“เข้าห้องสอบกัน” ฉันจับมือที่แสนบอบบางของฟิล์มเดินเข้าห้องสอบ วันนี้เราสอบวันสุดท้าย
แล้วจากนี้เราก็จะย้ายไปอยู่ด้วยกัน...
“ทำได้ไหม” ฟิล์มถามไถ่หลังจากที่เราสอบเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน
“ได้สิ ระดับพีช” ฉันอวดอ้างพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“จ้า พีชคนเก่งของฟิล์ม”
“งั้นเย็นนี้จะให้พีชไปรับที่บ้านหรือฟิล์มจะให้คนขับรถที่บ้านมาส่ง” ฉันพูดเป็นการเป็นงาน หลังจากที่พูดหยอกล้ออยู่นาน
“เดี๋ยวฟิล์มโทรบอกอีกที งั้นฟิล์มกลับบ้านก่อนนะ แม่คงรอแล้ว” ฟิล์มบอกกล่าวและล่ำลา
“โอเคจ้ะ” ฉันพยักหน้ารับรู้ ฟิล์มก็เลยเดินแยกออกไป ฉันจึงเดินมาที่ลานจอดรถ ซึ่งบอดี้การ์ดคอยอยู่แล้ว
“นายจะคุยกับคุณพีชครับ” พอฉันเข้ามานั่งในรถ บอดี้การ์ดก็เอ่ยปากพร้อมกับยื่นมือถือของฉัน มาให้ฉัน
เวลาเรียนฉันไม่ชอบพกโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่ว่าตั้งใจเรียน เพียงแต่ฉันไม่จำเป็นต้องมีธุระคุยกับใคร
“ค่ะ” ฉันขานเรียกปลายสายสั้นๆ
(กำลังจะทำอะไร) เสียงทุ้มต่ำติดไปทางเย็นชาเอ่ยถามขึ้น
“กลับห้องไงคะ” ฉันบอกไปตามความจริง ก็ฉันกำลังจะกลับคอนโดจริง ๆ
(พีชญา) เมื่อเขาเรียกแบบนี้แสดงว่าเขากำลังโกรธ
“ว่ายังไงคะคุณธนภพ” ฉันทำเป็นไม่รู้เรื่อง
(การ์ดบอกเธอจะเอาเพื่อนเข้าไปอยู่ด้วย) เขากัดฟันพูด เหมือนกับว่ากำลังเก็บอารมณ์โมโหที่มีต่อฉัน
“ใช่ค่ะ หนูจะเอาเพื่อนมาอยู่ด้วย” ฉันยอมรับไปตามความจริง
บอดี้การ์ดขี้กลัว บอกเขาเรื่องนี้ชัวร์!
(ฉันบอกเธอไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันไม่ชอบอะไรบ้าง) เขาย้อนความถึงคำพูดที่เคยสั่งห้ามฉันทำ
“หนูจะ19แล้วนะคะ หนูแค่ให้เพื่อนมาอยู่ด้วยเอง” ฉันถกเถียง
(เธอกำลังพูดไม่รู้เรื่อง ฉันคิดว่าเราคงจะต้องคุยกันซึ่งๆหน้านะ เดี๋ยวการ์ดจะมาส่งเธอ เตรียมคำพูดของเธอไว้ล่ะ) เสี่ยภพผู้มีพระคุณหนักหนาตัดสายไปหลังจากที่ออกคำสั่งกับฉัน
เขาเป็นผู้ชายที่ทำตัวเหมือนคนขวางโลก
ฉันโคตรไม่ได้รับอิสระเลย ฉันเคยบอกว่าฉันไม่ต้องการอยู่ในความดูแลของเขา
แต่เขาหาได้สนใจคำพูดของฉันสักนิด เขามันคนเอาแต่ใจ!