เรื่องบังเอิญ

1020 คำ
เราทักทายกันได้นิดหน่อย พอได้ความว่าฉันพลัดหลงกับญาติ ส่วนเฟิร์สก็เพิ่งเอาเมล็ดกาแฟมาส่งที่ร้านนี้เสร็จพอดี เราเลยชวนกันเข้าไปนั่งเล่นในร้าน รอน้าสาวมารีบฉันกลับ "ไม่เจอกันนานเลยนะ" เฟิร์สเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน ระหว่างที่เรากำลังรอเครื่องดื่ม "น่าจะ 5 ปีใช่ไหม" ฉันพูดต่อ ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้วันเวลาเท่าไรนัก เพราะถูกตัดขาดจากเครื่องมือสื่อสารแทบทุกอย่าง บางเดือนไม่ได้ดูปฏิทิน ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาตอนนั้นอยู่เดือนอะไร "สบายดีไหม ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ" ตอนเดินชนกันที่หน้าร้าน เราแค่ทักทายกัน ไม่ทันได้พูดคุยรายละเอียดอะไร ฉันเองก็มีหลายเรื่องที่อยากจะถามเขาอยู่เหมือนกัน "เราย้ายมาอยู่กับยายที่น่าน เฟิร์สล่ะคงจะย้ายมาอยู่กับตายายที่ตากล่ะสิ" เขาเพียงพยักน่ารับ แต่ก็ขมวดคิ้วสงสัย "ยาย?" ถ้าจำไม่ผิดฉันเคยเล่าเรื่องครอบครัวให้เขาฟังแล้ว ฉันบอกเขาว่าฉันมีแค่แม่เป็นญาติเพียงคนเดียว ก็คงจะแปลกใจที่ได้ยินว่าฉันมียายด้วย "เราก็เพิ่งรู้คิดว่ายายตายไปแล้วมาโดยตลอด" ฉันก็ตอบไปตามความจริง หากแม่ยังมีชีวิตอยู่ ฉันคงไม่มีโอกาสได้รู้เลย่า ตัวเองมีญาติคนอื่นด้วย "อ๋อ..." "ตากับยายสบายดีหรือเปล่า" ฉันไม่อยากจะพูดอะไรต่อจึงได้ตัดบทด้วยคำถาม แต่เฟิร์สกลับทำหน้าเศร้า ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ฉันรู้สึกถึงความสูญเสียอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะฉันเองก็เคยผ่านจุดที่ต้องสูญเสียแม่มาก่อนแล้ว "ตาเสียไปได้ 2 ปีแล้ว" ฉันรู้สึกชาวืดไปทั้งตัว ไม่รู้สิ...แต่ฉันรู้สึกผิด และคิดว่าไม่น่าถามคำถามนี้เลย ฉันรู้ว่าเฟิร์สรักตามากแค่ไหน เขาคงจะเสียใจมากแน่ๆ "เสียใจด้วยนะ" ในหัวของฉันไม่มีคำพูดอื่นเลย ก็คงมีแค่คำนี้เท่านั้น "ไม่เป็นไรๆ ก็เพราะเรื่องนี้แหละ พอเราสู้คดีชนะแล้ว ได้ออกมาจากสถานพินิจ เราก็เลยขอแม่มาอยู่เป็นเพื่อนยายที่นี่" เฟิร์สพูดต่อ "เกิดแก่เจ็บตายมันเรื่องธรรมชาติ แต่ก็เข้าใจได้ ถ้าจะรู้สึกเจ็บปวดกับการสูญเสีย" ฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มทำใจเกี่ยวกับเรื่องการจากลาในรูปแบบของความตายได้บ้างแล้ว อาจจะเป็นเพราะหนังสือธรรมมะที่ยายเอามาให้อ่าน "กว่าจะผ่านมาได้แทบตายเลย เรารักตามาก แต่ก็อย่างที่สตาร์บอก เกิดแก่เจ็บตายมันเรื่องธรรมชาติ" "เราเข้าใจ แล้วตอนนี้เฟิร์ส...สบายดีไหม" ตอนแรกฉันว่าจะถามว่าเขาทำอะไรอยู่ แต่คิดว่าพอจะเดาได้ก็คงจะทำได้กาแฟ เดาจากที่เขาบอกว่าเขามาส่งเมล็ดกาแฟที่ร้านนี้ "ก็สบายใจ แต่เหนื่อยกายน่ะ เราเรียนไม่จบ จะไปหางานอะไรทำก็ยาก อย่างที่สตาร์รู้นั่นแหละ เรามีคดีติดตัวไปซะแล้ว" ฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่พยักหน้ารับสิ่งที่เขาพูดเท่านั้น "สตาร์ล่ะ ไม่ได้เรียนต่อเหรอ?" ฉันไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไงดี เขาก็คงเดาเอาเหมือนที่ฉันเดานั่นแหละ เพราะถ้าฉันยังเรียนอยู่ ฉันไม่ควรมานั่งอยู่ตรงนี้ในตอนนี้ "เรา...เราก็เรียนไม่จบหรอก" คำตอบของฉัน ทำให้เฟิร์สอึ้งจนแสดงออกมาทางสีหหน้าเชียวล่ะ "เพราะเราหรือเปล่า?" เขาเอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด ฉันจึงรีบสั่นหน้าไปมาแทนคำตอบ "ไม่เกี่ยวกับเฟิร์สหรอก" "แล้ว? ทำไมล่ะ เพราะแม่ป่วยเหรอ" ฉันจำไม่ได้ว่า เฟิร์สรู้เรื่องแม่ป่วยได้ยังไง แต่นั่นก็ยังไม่ใช่คำตอบอยู่ดี "เพราะ...เราป่วย" ฉันตัดสินใจพูดความจริง ไม่รู้สิ...ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว แต่ฉันกลับยังรู้สึกว่าเฟิร์สยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัย สำหรับฉันเหมือนตอนที่เรายังคบกันอยู่เลย "เราถามได้หรือเปล่า ว่าสตาร์เป็นอะไร" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างระมัดระวัง ถ้ามองจากสภาพร่างกายภายนอก ฉันคงดูไม่เหมือนคนป่วยเท่าไหร่นัก เพราะยายฟูมฟักเป็นอย่างดี นับตั้งแต่วันที่รับฉันกลับมาอยู่ที่น่าน ไม่สิ...นับตั้งแต่วันที่ได้เจอกันครั้งแรกเลยล่ะ "เรา..." "ตุ๊กตา!!!" เสียงน้าสาวดังแทรกเข้ามา ทำให้ฉันต้องหยุดชะงัก แล้วหะนไปมองที่ต้นเสียง น้าสาวมองมาที่ฉัน สลับกับหันไปมองที่เฟิร์ส ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน "ใคร?" น้าสาวเอ่ยถามทันที คงจะเป็นเพราะว่า เฟิร์สเป็นผู้ชายนั่นแหละ ทั้งสายตาและน้ำเสียง ของน้าสาว ดูไม่ไว้ใจเขาเอาซะเลย "เพื่อนหนูเองค่ะ เพื่อนสมัยเรียน" ฉันไม่รู้จะตอบยังไง แล้วเหมือนว่าคำตอบนี้จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในเวลานี้ จึงได้เลือกตอบไปแบบนั้น แต่เฟิร์สกลับทำหน้าเหมือนกำลังติดใจอะไรบางอย่าง ในคำตอบของฉัน "สวัสดีครับ เอ่อ...ตุ๊ก ตา?" ไม่ใช่หรอก เขาไม่ได้ติดใจคำตอบของฉัน แต่สงสัยในชื่อที่น้าสาวใช้เรียกฉันต่างหาก เขายกมือไหว้น้าสาว ก่อนจะหันมาทวนชื่อของฉันทีละคำพร้อมมองมาด้วยสายตาสงสัยะสาว "เรื่องมันยาวน่ะ เราขอตัวก่อนนะ" เมื่อน้าสาวมาถึงแล้ว แถมยังมาคนเดียวอีก คงจะพาเด็กๆ กลับไปส่งที่บ้านหมดแล้ว ถึงย้อนกลับมาตามหาฉัน ฉันคิดว่าฉันไม่ควรนั่งต่อ แม้ว่าจะยังอยากนั่งคุยกับเขาต่ออีกนานๆ ก็ตาม และก็ไม่รู้อีกด้วยว่า จะได้เจอกันอีกเมื่อไร
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม