Area 9 : ความเชื่อใจ

3099 คำ
"อ่ะ..อื้ออ" มือเรียวพยายามดันตัวคนที่อยู่ดี ๆ ก็เกิดผีเข้าหรืออย่างไร ถึงกล้าเอาปากลงมาแนบประกบกันเฉยเลย ซามูร์ยอมละใบหน้าตนเองออกด้วยแววตาอ่านยาก นิ้วยาวช้อนปลายคางมนเอาไว้มั่นอีกครั้ง ก่อนจะก้มเข้าไปใกล้ชิดหวังประกบริมฝีปากนุ่มหยุ่นตรงหน้าอีกรอบ ทว่าหนนี้กลับเป็นน้ำค้างที่เบี่ยงหน้าหลบได้ทัน แม้นใบหน้าทั้งคู่จะไม่ได้สบมองกัน แต่ทว่านัยน์ตากลับกำลังสั่นไหวในสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าอย่างไม่เข้าใจเลยสักนิด มือเรียวออกแรงแกะมือหนาที่ยังแตะต้องอยู่กับปลายคางและเอวสะโพกของตนไว้แน่นให้ออกห่างไปสักที "จะมืดแล้วกลับกันเถอะ" น้ำค้างพูดทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะรีบหันหนีแล้วก้าวเดินนำหน้าอย่างเช่นตอนที่เดินมาสระมรกตด้วยความสนุกสนาน ทว่าขากลับนั้นกลับมีเพียงแค่เสียงฝีเท้าย่ำลงบนใบไม้ใบหญ้า กับเสียงของจิ้งหรีดเรไรที่ส่งเสียงเซ็งแซ่ออกมาเท่านั้น ราวกับว่าสองร่างที่กำลังเดินตามหลังกันมานั้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยก็ว่าได้ มื้อค่ำวันนี้น้ำค้างเลือกที่จะเดินไปนั่งลงข้างๆ ชาลรีแทนที่จะนั่งลงประจำที่อย่างเช่นทุกวัน จนบรรยากาศระหว่างทั้งคู่มันดูแปลกๆ ผิดปรกติไปหมด ทำเอาชาลรีอดที่จะแอบลอบมองใบหน้าของทั้งคู่สลับกันไปมาอยู่นานไม่ได้เลย หลังจบมื้ออาหารค่ำที่มื้อนี้ น้ำค้างเอาแต่ยกน้ำชาสลับกับนมสดขึ้นดื่มแบบที่แทบจะไม่แตะอาหารตรงหน้าเลย เจ้าตัวหน้ามู่ทู่ดูไม่เจริญอาหารเอาเสียเลยทั้งที่วันนี้อาหารเป็นอาหารที่กินง่ายแท้ๆ อย่างเช่นซุปมันฝรั่งกับผัดผักใส่เนื้อรวนเค็ม ทั้งคู่เดินเข้ากลับมาเข้าที่พักในบ้านเช่นเคย แต่บรรยากาศแสนจะมาคุจนดูอึดอัดแผ่ไปทั่วบ้านทั้งหลัง น้ำค้างเลือกทิ้งตัวลงบนแคร่ไม้แล้วเลือกที่จะนั่งหันหน้าออกไปทางหน้าต่างแทน เพื่อหลีกเลี่ยงและหลบหน้ากับอีกคนที่ต้องแชร์เตียงนอนร่วมกันอยู่ดี ทว่าน้ำค้างกลับต้องรู้สึกเหมือนอีกหนึ่งชีวิตได้หายไปจากวงโคจรภายในบ้าน ใบหน้าบูดบึ้งจึงหันกลับมามองภายในบริเวณบ้านจนถี่ถ้วนดีแล้ว แต่กลับไม่เจอคนที่เขาอยากจะหลบหน้าแทบตายคนนั้นจริงๆ แล้วด้วย "อ่าว หายไปไหนวะ" ดวงตากลมสอดส่องมองหาไปทางด้านนอกอีกครั้งก็ไม่เจอ "ไม่อยู่ก็ดี จะได้ไม่ต้องหาเรื่องหลบหน้าให้ยุ่งยากเหนื่อยใจ" นิ้วเรียวเผลอยกขึ้นมาแตะสัมผัสลงบนริมฝีปากที่บ่นนุ้บนิ้บอย่างไม่รู้ตัว เสียงเอะอะอึกทึกอยู่ด้านนอกทำเอาน้ำค้างสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เจ้าตัวไม่รู้ว่าตนเองนั้นเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อลุกขึ้นนั่งดูความผิดปกติสิ่งแรกที่พบคือ คนด้านข้างที่ควรจะนอนเบียดกายเข้าหากันแล้วชอบยื้อแย่งผ้าห่มขนสัตว์กันทุกคืนนั้นได้หายตัวไป "ซะ..ซา.." โครม!! น้ำค้างสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างตกกระทบรุนแรงอยู่ตรงหน้าบานประตู คนที่เคยตื่นตูมตกใจกับอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว ยิ่งทำให้เกิดอาการหวาดกลัวถึงขั้นปอดแหกได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก น้ำค้างเกิดอาการลุกลี้ลุกลนคอยชะเง้อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง จึงได้เห็นพวกคนหน้าประหลาด ไม่สิต้องเรียกว่าพวกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ได้พากันบุกเข้ามาหลายคนแถวบริเวณบ้านนี้เลยก็ว่าได้ น้ำค้างรีบดีดตัวลงจากแคร่ไม้แล้วคลานต่ำไปหาที่หลบมุม ซึ่งมันก็มีเพียงแค่ตรงหีบเก็บผ้าแม้จะมีซอกเวิ้งอันน้อยนิดก็ตาม แต่มันก็ยังดีกว่าถีบประตูเข้ามาแล้วถูกหาเจอตัวได้อย่างง่ายดายเลยนั่นแหละ คนจิตตกย่อมจินตนาการไปไกลแล้วต้องสะดุ้งเฮือกจนตัวโยนอีกครั้ง มือเรียวรีบยกขึ้นมาอุดปากตัวเองทันที เมื่อดวงตาตื่นกลัวสบเห็นเข้ากับคนแปลกหน้าได้ถีบประตูบ้านหลังนี้เข้ามาจริง ๆ ด้วย น้ำตารื้นคลอเบ้าขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เมื่อได้มองเห็นชายแปลกตาที่ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยชิ้นผ้าราวกับโจรห้าร้อย เพราะใช้ผ้าสีดำพลางลายทางสีเขียวเข้มครอบศีรษะเอาไว้จนมิดชิดดูไม่น่าไว้ใจ คนแปลกหน้าที่อุกอาจก้าวเท้าเข้ามาภายในบ้านของคนอื่นยามวิกาลเช่นนี้ เพียงคนเดียวก็ว่าน่ากลัวมากแล้ว แต่นี่เริ่มพากันแห่บุกรุกเข้ามาในบ้านด้วยกันถึงสามคน ทำเอาน้ำค้างนั่งตัวสั่นงกเงิ่นทำตัวลีบเล็กแอบอยู่ด้วยความหวาดกลัวมากกว่าเดิมเข้าไปอีก บ้านที่ดูคับแคบลงไปถนัดตาเมื่อได้มีร่างสูงใหญ่น่ากลัวเข้ามาเดินป้วนเปี้ยนกันอยู่แบบนี้ น้ำค้างเริ่มรู้ชะตากรรมของตนเองแล้วว่าอีกไม่นานหนึ่งในสามคนนี้ต้องหาตนเองเจอแน่ แววตาสั่นระริกจนต้องหลับตาหนีกระชับมืออุดปากจนแน่น แล้วปล่อยน้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลออกมานองเต็มใบหน้าอย่างขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว "โอ๊ะ แอบอยู่นี่เอง / เจอแล้ว มันอยู่นี่" น้ำเสียงที่ฟังดูไม่คุ้นชินกลับทำให้น้ำค้างเข้าใจความหมายได้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร คนถูกพบเจอตัวแล้วโดนล็อกเข้าที่ท้ายทอยจนน้ำค้างดิ้นทุรนทุรายทันที เมื่อถูกชายฉกรรจ์คลุมหัวอำพรางใบหน้าทั้งสามคนลากตัวออกมากลางลานหน้าบ้าน แล้วถูกลากตัวอย่างถูลู่ถูกังออกห่างจากประตูบ้านกันเป็นทางไปเรื่อย ๆ คมดาบที่ถูกจ่อลงบนผิวหน้าผากนวลทำให้น้ำค้างดีดดิ้นกรีดร้องขอความช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถมาช่วยใครได้เช่นกัน เพราะเมื่อได้ลองเพ่งสายตามองไปทางไหนก็ตาม ดวงตานองไปด้วยหยาดน้ำตาก็ได้เห็นเพียงแค่เปลวไฟที่กำลังลุกลามไหม้บ้านเรือน ส่วนพวกชาวบ้านต่างก็กุลีกุจอพยายามหาทางหนีกันอย่างจ้าละหวั่น บางคนถูกฉุดกระชากลากถูอีกทั้งยังโดนรุมทำร้ายกันอยู่อย่างสาหัสด้วย น้ำค้างรู้สึกว่ามันคงหมดสิ้นหนทางจะหนีไปไหนได้แล้ว ความหวังเริ่มริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ แต่ในใจของน้ำค้างกลับนึกถึงคนที่ตนเองหลบหน้าช่วงเย็นแบบแทบเป็นแทบตาย ทว่าบัดนี้กลับเอาแต่นึกถึงซามูร์เป็นคนแรกขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ "ซามูร์..ฮึก" น้ำเสียงสิ้นหวังเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา แววตาหวาดกลัวยังพยายามมองหาที่พึ่งเดียวผ่านม่านน้ำตาที่เข้ามาบดบังวิสัยทัศน์จนหมดสิ้น ครั้งนี้น้ำค้างคงภาวนาได้เพียงแค่ อย่าถูกทำอะไรที่มันทรมานแสนสาหัสจนร่างกายรับไม่ไหวเลย แต่ถ้าหากจะต้องตาย.. ก็ขอให้ได้ตายด้วยคมดาบทีเดียวเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทรมานจนทนไม่ไหว ☘ ซามูร์ต้องวิ่งโร่ออกมาช่วยพลยามพร้อมกับชาลรี หลังที่ได้ยินเสียงตีฆ้องดังขึ้นยามที่ถูกข้าศึกบุกรุกเข้ามาช่วงเวลายามที่สาม * ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังหลับใหลได้ที่ เจ้าตัวที่เคยชินกับการเคลื่อนไหวของทีมสำรวจนั้น จึงรู้สึกตัวได้เร็วแล้วจำต้องรีบลุกออกมาจากที่นอนโดยฉับพลัน เมื่อออกมาถึงด้านหน้าประตูซุ้มของเผ่าก็ต้องเกิดความเกรี้ยวกราดและสะเทือนใจไปพร้อมๆ กัน เมื่อได้เห็นสภาพของพลยามเฝ้าหน้าประตูที่ถูกกำจัดทิ้งไปอย่างอเนจอนาถด้วยกันถึงหกนาย ทั้งที่ใจกำลังเต้นระส่ำกลัวว่าคนที่นอนหลับอยู่ในบ้านจะเป็นอันตรายไปด้วย แต่ทว่าตอนนี้กลับต้องช่วยรับมือปราบกองโจรที่เข้ามาบุกปล้นตอนดึกเช่นนี้เสียก่อนอยู่ดี หลังจากซามูร์จัดการพวกโจรโพกผ้าไปได้หลายคนแล้ว จึงคิดจะละมือแล้ววกกลับไปดูคนที่แสนจะเป็นห่วง แต่มันก็ทำได้เพียงแค่คิด เพราะเมื่อได้หันไปมองทางฝั่งของชาลรีที่กำลังรับมืออยู่ก็ดูจะเต็มกลืนเสียเต็มประดา แล้วแบบนี้จะปลีกตัวหนีจากตรงนี้ไปได้อย่างไรกัน เผ่าคองกี้ที่มีพันธมิตรเป็นเผ่ากรีนเคิร์กกับเผ่าคาร์ช รวมไปถึงชนเผ่าละแวกใกล้เคียงกันนี้ ทันทีที่ได้รู้ข่าวสาร แต่ละเผ่าก็ได้รีบส่งคนไปช่วยปราบกองโจรอย่างเร่งด่วนด้วยเช่นกัน จึงทำให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายดีขึ้น กองโจรบางส่วนรีบชิงหนีไปซะก่อนเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้และอาจจะตายเปล่า จึงรีบละทิ้งวางข้าวของที่ปล้นมาได้จนกระจัดกระจายไปทั่วพื้นดิน กลายเป็นขยะกองทิ้งอิเหละเขะขะไว้ให้เจ้าของได้ดูต่างหน้าแทน ซามูร์วิ่งผ่านร่างไร่วิญญาณนับสิบของชาวบ้านจนต้องรู้สึกหดหู่ใจ อีกทั้งมีผู้คนที่บาดเจ็บล้มตัวนอนร้องโอดโอยอยู่ตามรายทางมากมายด้วย เมื่อสองขาพาวิ่งจนมาถึงส่วนกลางของชาวบ้านแล้วได้สบเห็นในสภาพตรงเบื้องหน้าที่ได้เห็นแล้วยิ่งต้องหวาดหวั่นใจสุดขีด ซึ่งไม่อยากจะให้เป็นไปในแบบที่คิดเลย สองขายาวที่แสนจะแข็งแกร่งนั้นสามารถพาวิ่งฝ่ากองศพของพวกกองโจรโพกผ้ามาได้ตั้งนานนม กลับต้องมาหมดเรี่ยวแรงเอาเสียดื้อๆ ในเวลานี้ เมื่อสองขาที่ขยับยากได้เดินเข้ามาถึงภายในบริเวณบ้านพักที่ไร้ซึ่งร่างของเจ้าตัวปัญหาที่ควรจะต้องนอนอยู่หรือนั่งตัวสั่นอยู่ตรงสักมุม ทว่ากลับว่างเปล่าไปหมด ดวงตาคมดุสลดลงทันทีเมื่อได้เดินกวาดมองหาร่างของอีกคนจนทั่วแล้วก็ไม่เจอแม้แต่เงา ซึ่งเหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าก็แค่เพียงร่องรอยของการถูกลากตัวออกไปทางประตูบ้านเท่านั้น ซามูร์พยายามลากขาไร้เรี่ยวแรงให้ฝืนก้าวเดินออกมายังกลางลานโซนด้านหลังของเผ่าคองกี้ แววตาเศร้ากวาดมองไปรอบทิศ ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน ก็เห็นแต่ภาพที่บ้านเรือนกำลังวอดวายมอดไหม้อยู่ในเปลวเพลิง จนควันไฟโขมงลอยคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณเผ่า ชาวชนเผ่าต่างพากันวิ่งขวักไขว่ บ้างก็ร้องโอดโอยเพราะความเจ็บปวด บ้างก็ร่ำไห้กันเสียงดังระงม เมื่อสบเห็นว่าญาติของตนเองนั้นได้รับบาดเจ็บจนถึงสิ้นลมหายใจไปก็มี ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นร่างไร้วิญญาณที่ถูกลากกองไปรวมกันเอาไว้ แล้วสิ่งที่ทำเอาหัวใจแทบจะตกฮวบลงไปอยู่ตาตุ่มทันที เมื่อดวงตาสั่นระริกได้สบเห็นเข้ากับผ้าพันข้อเท้าที่หลุดลุ่ยถูกปล่อยกองทิ้งไว้บริเวณนั้นด้วย นั่นมัน ผ้าพันข้อเท้าของน้ำค้างไม่ใช่รึ? ร่างกำยำที่น้ำค้างชอบเรียกว่าไอ้ยักษ์ บัดนี้ซามูร์เหมือนกับเป็นคนไร้เรี่ยวแรงลงไปแบบทันตาเห็น เพราะร่างบึกบึนได้ทรุดตัวฮวบลงไปนั่งฟุบลงกับพื้นแล้วคว้าผ้าพันแผลขึ้นมามองด้วยแววตาสั่นไหว กระบอกตาเริ่มทำหน้าที่ขับหยาดน้ำตาใสให้ตีตื้นจ่อขึ้นมายังขอบตาจนปริ่มแล้ว อึก.. "ฮื้อ..ซามูร์.." ทว่าดวงตาคมเบิกโพลงทันทีราวกับว่าเหมือนได้ยินน้ำเสียงสั่นเครือที่เอาแต่เรียกชื่อของตนเองอยู่ ใบหน้าสลดเมื่อครู่รีบหันซ้ายมองขวาจึงต้องผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วรีบก้าวขาออกเดินควานหาคนที่ต้องการพบเจอตัวมากที่สุดให้เจอให้ได้ "น้ำค้าง!" ซามูร์ป้องปากตะโกนเรียกเจ้าของชื่อคนที่กำลังถวิลหาด้วยน้ำเสียงดังกึกก้องตามรายทางไปเรื่อย ๆ "น้ำค้าง!!" ทันทีที่ได้สบเห็นรูปร่างคนที่คุ้นเคย กับสภาพร่างที่ดูร่อแร่ของคนที่ตนกำลังออกตามหามานานนับหลายนาทีก่อนหน้านั้นแล้ว ยิ่งเกิดความสะเทือนใจยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก "น้ำค้าง.." ริมฝีปากหนาที่ตะโกนลั่นปาวๆ กลับสั่นเทาแล้วเดินเร็วฝ่าดงคนเจ็บเข้าไปหาตัวคนที่ต้องการพบหน้ามากที่สุด ครั้งนี้ซามูร์ขอเห็นแก่ตัวสักครั้งในชีวิตเถอะ ที่จำเป็นต้องเพิกเฉยปล่อยวางและทำตัวใจดำใส่แบบไม่ได้ไยดีกับคนเจ็บรอบข้างเลย "ซะ..ซามูร์.." ดวงตากลมแดงก่ำหลังผ่านการร่ำไห้มานานจากความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ระทึกขวัญ ซามูร์ยอบตัวนั่งลงไม่ทันถึงพื้นดีก็ถูกคนที่หลบหน้ากันเมื่อเย็นโผตัวเข้ากอดแล้วปล่อยโฮใส่ออกมาเสียงดังลั่น ราวกับเด็กน้อยหลงทางแล้วดีใจที่ได้พบเจอกับผู้ปกครองอีกครั้งเลยทีเดียว "ซามูร์ ฮึก ข้ากลัว ฮึก ฮื้ออ" ฝ่ามือใหญ่กระชับกอดปลอบคนเสียขวัญตรงหน้า พลางลูบแผ่นหลังบางอันสั่นเทาที่เอาแต่สะอึกสะอื้นพูดออกมาอย่างไม่รู้ความไปซะแล้ว "บาดเจ็บรึเปล่า" ท่อนแขนเล็กยอมคลายออกเล็กน้อย พร้อมกับดึงใบหน้าออกมาจากอกแกร่ง เพื่อมองหน้าคนถามให้เห็นได้ชัด ใบหน้าเปื้อนรอยเลือดบางจุดและเต็มไปด้วยคราบน้ำตาส่ายไปมา อาจจะเพราะหวาดกลัวจนลืมความเจ็บสิ้นไปหมดแล้วก็ได้ ฝ่ามือใหญ่ปาดน้ำตาออกให้ ถึงได้เห็นกับรอยแผลขูดขีดทั้งบนใบหน้าและตามลำตัวอย่างชัดเจน แถมบนหน้าผากมนยังมีร่องรอยแผลที่ติดคราบเลือดแห้งกรังเกาะติดปรากฏขึ้นมาด้วยอีก ราวกับถูกของแหลมคมกดลึกลงไปจนได้เลือดด้วยซ้ำไป ซามูร์ไม่รอช้ารีบช้อนร่างคนเจ็บออกเดินเพื่อรีบพากันกลับเข้าบ้านพักก่อน ส่วนตนเองนั้นจะต้องรีบออกไปบ้านพ่อเฒ่าเพื่อไปเอายามาโปะลงบนบาดแผลให้คนเจ็บก่อนจะติดเชื้อเอาได้ แต่ทว่าเมื่อจะละตัวเดินออกไป กลับถูกดึงรั้งกันเอาไว้พร้อมถูกสวมกอดรัดด้านหลังเอาไว้อย่างรุนแรง จนมันยากจะขยับตัวออกได้เลย "น้ำค้าง.." ซามูร์หยุดชะงักการก้าวขาออกเดินและยอมหันหน้ากลับมาหาคนที่ยังคงเอาแต่ร้องไห้โยเยเกาะแกะใส่กัน "ข้าจะไปเอายามาทาให้เจ้า" ซามูร์พูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลมอย่างใจเย็นพลางอธิบายให้อีกคนเข้าใจ แต่ทว่ากลับได้รับคำตอบจากคนที่รั้งดึงกันเอาไว้แน่นมาเป็นการส่ายหน้าไปมา พร้อมกับแรงกระชับกอดแน่นขึ้นมากกว่าเดิมอีก "ข้ากลัว ฮึก อยู่ด้วยกันเถอะนะ" นัยน์ตาสีเข้มสั่นระริก บ่งบอกถึงความหวาดหวั่นในใจที่ยังไม่หายวิตกกังวล "ข้าไปแค่แป๊บเดียวเอง" ซามูร์จับท่อนแขนเรียวให้ปล่อยตนเองออกก่อน "ไม่เอา ซามูร์..ข้ากลัว เจ้าจะทิ้งข้าไปไหนอีก" คนงอแงไม่สนใจอะไรแล้ว คำพูดที่พูดออกมาก็แสนจะเอาแต่ใจ จนซามูร์ต้องลอบถอนหายใจและยอมแพ้ไปในที่สุด เมื่ออีกคนดึงดันไม่ให้ไป ซามูร์จึงจับจูงคนขี้แยกลับไปนอนลงบนแคร่ไม้แทน มืออุ่นดึงผ้าขึ้นมาห่มคลุมให้กับร่างเล็กแบบที่ชอบแอบดูแลใส่ใจกันเช่นทุกคืน "เจ้าก็นอนลงด้วยสิ" น้ำเสียงอู้อี้ขึ้นจมูกเริ่มออกคำสั่งมากกว่าคำออดอ้อนเปล่งออกมาอย่างเอาแต่ใจ พร้อมกับดวงตากลมจ้องมองใบหน้าที่ยังมีหยาดเลือดกระเซ็นใส่ประปราย "ไม่กลัวข้าแล้วรึ" ซามูร์เอ่ยถามคนที่ยังคงมองหน้าตนเองอย่างไม่วางตา "เจ้าไม่ใช่พวกโจรหนิ เจ้าไม่เคยทำร้ายข้า ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก ซามูร์" ใบหน้าหวาดหวั่นเมื่อครู่เริ่มคลี่ยิ้มออกมาได้บ้างแล้ว อีกทั้งมือเล็กที่ยังคงดึงรั้งท่อนแขนล่ำสันให้ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กันสักที น้ำค้างควานหาเศษผ้าที่เคยทิ้งไว้ด้านข้างพื้นที่ว่างของแคร่ไม้ แล้วจึงนำมายื่นให้กับซามูร์เพื่อได้ใช้เช็ดคราบเลือดเกรอะกรังออก มือใหญ่รับมาเช็ดถูเองแล้วทว่ามันกลับไม่ออก น้ำค้างจึงเอ่ยปากว่าควรจะไปอาบน้ำเพื่อล้างมันออกดีไหม ซามูร์เห็นด้วย แต่ก็ห่วงว่าอีกคนว่าจะนอนคนเดียวได้อีกรึไม่ เพราะถ้าหากปลีกตัวออกจากห้องไปแล้ว นอกจากจะไม่ได้อาบน้ำแล้วอาจจะต้องไปช่วยขนย้ายศพและช่วยเหลือพวกชาวบ้านผู้บาดเจ็บด้วยอีก เมื่อคิดได้ดังนั้นซามูร์จึงดึงชิ้นผ้าออกจากมือเล็กที่ถูกแย้งออกจากมือเขาไปบรรจงเช็ดให้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ "ข้ารอเจ้าหลับก่อน แล้วข้าค่อยไปล้างออกเอง" "ไม่เอา เจ้าห้ามทิ้งข้าไปอีกนะ พรุ่งนี้ค่อยไปอาบด้วยกันสิ" ริมฝีปากที่ถูกสัมผัสชิมรสไปเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมานั้น บัดนี้กำลังเอาแต่พ่นคำที่ดูแสนเอาแต่ใจ ออกแนวคำสั่งมาให้คนที่นอนมองกันอยู่ด้านข้างเสียด้วยซ้ำไป จนเจ้าตัวจำต้องยอมตอบคำที่อีกคนพึงพอใจออกมาอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อนเช่นกัน ว่าตนเองนั้นจะยอมตามใจใครได้ง่ายเท่าคนต่างถิ่นตรงหน้านี้อีกแล้วล่ะชีวิตนี้ "เจ้านอนเถอะ ข้าไม่หนีเจ้าไปไหนแล้ว ไม่ต้องกังวลใจไป" น้ำค้างยอมพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย ก่อนจะขยับตัวเบียดเข้าหาแผ่นอกกว้างแต่ช่างอบอุ่นและคุ้นชิน จนเผลอหลับลึกไปอย่างง่ายดายอย่างคลายความกังวล ซึ่งนี่อาจจะเป็นเพราะรู้ว่ามีซามูร์อยู่เคียงข้างกาย จึงทำให้น้ำค้างรู้สึกปลอดภัยและมั่นคงต่อจิตใจได้นั่นเอง -- เชิงอรรถ -- ยามที่สาม * หมายถึง หลัง 24 นาฬิกา ไปถึงตี 3 (3 นาฬิกา) เราเรียกว่า ยาม 3
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม